Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Congestive Heart Failure (CHF), เมื่อไตได้รับเลือดน้อยลง…

- - - - 2.ไตวาย (Renal Failure)
        เมื่อหัวใจไม่สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงไตได้เพียงพอ อาจส่งผลให้การกรองของเสียลดลง ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะไตวายและการคั่งของของเสียในร่างกาย
        
        3.โรคตับวาย (Hepatic Dysfunction หรือ Cardiac Cirrhosis)
        ภาวะหัวใจวายเรื้อรังอาจทำให้เลือดคั่งในหลอดเลือดตับ ส่งผลให้ตับถูกทำลายและเกิดภาวะตับแข็งจากหัวใจ (Cardiac Cirrhosis) ซึ่งจะทำให้การทำงานของตับแย่ลง
        
        4.ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmias)
        หัวใจที่ทำงานหนักและมีการขยายตัวเกินปกติอาจเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โดยเฉพาะ Atrial Fibrillation ที่เสี่ยงทำให้เกิดลิ่มเลือดในหัวใจและอาจหลุดไปอุดตันในสมองทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง
        
        5.ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน (Thromboembolism)
        เลือดที่คั่งอยู่ในหัวใจอาจเกิดการแข็งตัวเป็นลิ่มเลือด ส่งผลให้ลิ่มเลือดหลุดไปอุดตันในหลอดเลือดสมอง (ทำให้เกิดอัมพาต) หรือในปอด (Pulmonary Embolism) ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
        
        6. ภาวะเลือดคั่งในระบบหลอดเลือดดำ (Venous Congestion)
        การคั่งของเลือดในหลอดเลือดดำจะทำให้เกิดอาการบวมที่ขาและเท้า และอาจส่งผลให้เกิดภาวะน้ำคั่งในช่องท้อง (Ascites) ทำให้ท้องโต
        
        7.Cardiogenic Shock เป็นภาวะหัวใจสูบฉีดเลือดไม่พอจนความดันโลหิตลดลงอย่างมาก ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ขาดเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยง อาจเป็นภาวะฉุกเฉินที่อันตรายถึงชีวิต
        
        2 more items...
- - - - หัวใจบีบตัวได้ไม่เต็มที่ สูบฉีดเลือดได้ลดลง ทำให้ปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงร่างกายลดลง
        
        ทำให้เกิดการชดเชยของร่างกายเพื่อเพิ่มการสูบฉีดเลือด
        
        ร่างกายจะเพิ่มการหลั่งสารอะดรีนาลีนเพื่อกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นและแรงขึ้น เพิ่มความดันเลือดเพื่อให้เลือดไหลเวียนไปยังอวัยวะสำคัญได้
    - - หัวใจห้องล่างขวาวายเป็นผลต่อเนื่องมาจากหัวใจห้องล่างซ้ายวายจากการไหลย้อนกลับของเลือดที่หัวใจห้องซ้าย
        
        เกิดจากการที่ทีภาวะความดันในหลอดเลือดปอดสูง ทำให้หัวใจห้องล่างขวาต้องใช้แรงดันมากขึ้นในการส่งเลือดไปที่ปอด
        
        เมื่อหัวใจห้องบนขวาทำงานหนักขึ้น ทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวขึ้นจากการทำงานหนักเพื่อเอาชนะแรงดันที่ปอด
        
        ทำให้เกิดการอักเสบที่กล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างขวา ในกรณีที่มีปัญหาลิ้นหัวใจไตรคัสปิด
        
        จะทำให้เลือดไหลย้อนกลับจากหัวใจห้องล่างขวา มายังห้องบนขวา ทำให้เกิดการคั่งของเลือดที่หัวใจห้องบนขวา
        
        ส่งผลให้ความดันในหลอดเลือดดำส่วนปลายสูงขึ้น ทำให้เกิดอาการบวม จากการรั่วซึมของน้ำจากหลอดเลือดเข้าสู่เซลล์เนื้อเยื่อรอบข้าง ทำให้มีอาการแขนบวม ขาบวม ข้อต่างๆบวม ท้องโต ตับโต หลอดเลือดดำที่คอโป่งพอง อ่อนเพลียหายใจลำบาก และหายใจเป็นฟองสีชมพู
    - - การบาดเจ็บหรือการเสื่อมสภาพของกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายเช่น การขาดเลือดของกล้ามเนื้อหัวใจ การสะสมของไขมันในหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง ความผิดปกติที่ลิ้นหัวใจเอออร์ติก
        
        ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายทำงานได้ไม่เต็มที่ สูบฉีดเลือดไปยังร่างกายลดลง
        
        ทำให้เกิดการคั่งของเลือดที่หัวใจห้องบนซ้ายและหลอดเลือดในปอด
        
        ทำให้ความดันในหลอดเลือดที่ปอดเพิ่มขึ้น เมื่อมีแรงตันที่เพิ่มขึ้น ของเหลวจึงซึมเข้าสู่เนื้อเยื่อปอดทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมปอด
        
        เมื่อเลือดถูกส่งไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่ายหายลดลง ทำให้อวัยวะต่างๆขาดออกซิเจน
        
        เมื่อร่างกายพบว่าการไหลเวียนของเลือดและออกซิเจนลดลงระบประสาทซิมพาเทติกจะกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วและความดันโลหิตเพิ่มขึ้น
        
        1 more item...
- - - - 1.โรคหลอดเลือดหัวใจ
        การที่หลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตันทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและออกซิเจน ส่งผลให้เกิดการเสื่อมสภาพของกล้ามเนื้อหัวใจ
        
        2.โรคความดันโลหิตสูง
        เมื่อความดันโลหิตสูงเรื้องรัง หัวใจห้องล่างซ้ายต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อส่งเลือดผ่านหลอดเลือดที่มีความต้านทานสูง การทำงานหนักนี้จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหนาตัว และทำให้ความสามารถในการบีบตัวลดลง
        
        3.โรคกล้ามเนื้อหัวใจเสื่อม
        โรคกล้ามเนื้อหัวใจเสื่อมสภาพ ทำให้หัวใจไม่สามารถบีบตัวได้เต็มที่ จึงทำให้หัวใจไม่สามารถส่งเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้
        
        4.ลิ้นหัวใจผิดปกติ
        ความผิดปกติของลิ้นหัวใจทำให้เลือดไหลเวียนผิดปกติ เช่น เลือดรั่วกลับไปยังห้องหัวใจที่ไม่ควร หรือเลือดไม่สามารถไหลผ่านลิ้นที่ตีบได้ ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น
        
        5.ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
        เมื่อเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ (เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ) กล้ามเนื้อหัวใจจะได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้หัวใจไม่สามารถบีบตัวได้อย่างเต็มที่
        
        6.การติดเชื้อในหัวใจ
        การติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจหรือเนื้อเยื่อในหัวใจอาจทำให้การทำงานของหัวใจผิดปกติได้ การติดเชื้อสามารถทำให้ลิ้นหัวใจเสียหาย และการทำงานของหัวใจลดลง
        
        1 more item...
  - - - 1.โรคหลอดเลือดหัวใจ
        การมีหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตัน (Atherosclerosis) ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและออกซิเจน ซึ่งอาจทำให้หัวใจเสื่อมสภาพและสูญเสียความสามารถในการบีบตัว
        
        2.ความดันโลหิตสูง
        ความดันโลหิตสูงเรื้อรังทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อส่งเลือดผ่านหลอดเลือดที่ต้านทานสูง การทำงานหนักนี้ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหนาตัว (Left Ventricular Hypertrophy) และลดประสิทธิภาพในการบีบตัวในระยะยาว
        
        3.โรคเบาหวาน
        เบาหวานทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของหลอดเลือดและกล้ามเนื้อหัวใจ นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ
        
        4.การสูบบุหรี่
        การสูบบุหรี่ทำให้หลอดเลือดหดตัว เพิ่มความดันโลหิต และลดระดับออกซิเจนในเลือด ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้นและเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและหัวใจวาย
        
        5.การดื่มแอลกอฮอล์
        การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากสามารถทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอลง และเกิดภาวะหัวใจห้องล่างซ้ายวายหรือภาวะหัวใจล้มเหลวจากการเสื่อมสภาพของกล้ามเนื้อหัวใจ (Alcoholic Cardiomyopathy)
        
        6.โรคกล้ามเนื้อหัวใจเสื่อม
        การเสื่อมสภาพของกล้ามเนื้อหัวใจ เช่น จากกรรมพันธุ์หรือการติดเชื้อไวรัส ส่งผลให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้ดี ทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย
        
        1 more item...
- - - - 1.อาการบวม
        -บวมที่ขาและข้อเท้า
        เกิดจากการคั่งของเลือดที่ขา ทำให้ของเหลวซึมออกจากหลอดเลือดไปสะสมในเนื้อเยื่อ
        -บวมในช่องท้อง
        เมื่อมีเลือดคั่งในช่องท้องทำให้ของเหลวไหลไปสะสมในช่องท้อง ทำให้ท้องโตขึ้น
        -บวมที่คอ
        การคั่งของเลือดในหลอดเลือดดำที่คอทำให้เห็นหลอดเลือดดำคอโป่งขึ้น
        
        หายใจถี่ (Dyspnea)
        อาการหายใจถี่มักพบในภาวะหัวใจห้องซ้ายวาย (left-sided heart failure) แต่ภาวะหัวใจห้องขวาวายก็สามารถทำให้หายใจถี่ได้ เนื่องจากการคั่งของเลือดในปอดอาจทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมปอด (pulmonary congestion) โดยอาการนี้จะเกิดในระยะแรก ๆ ที่หัวใจไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
        
        ความดันโลหิตสูงในหลอดเลือดดำที่ระบบเวนัส (Elevated Jugular Venous Pressure - JVP)
        การคั่งของเลือดในหลอดเลือดดำที่คอ (jugular vein) ทำให้เห็นหลอดเลือดคอโป่งขึ้นอย่างชัดเจน (jugular venous distention) โดยเฉพาะในท่าการนอนหรือการนั่งยอง ๆ
        
        อาการเหนื่อยง่าย (Fatigue)
        ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจห้องขวาวายมักรู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย เนื่องจากเลือดไม่สามารถไหลเวียนไปยังปอดและร่างกายได้อย่างเพียงพอ
        
        การคั่งของเลือดในตับ (Hepatomegaly) และภาวะตับบวม (Congestive hepatopathy)
        การคั่งของเลือดในระบบหลอดเลือดที่เชื่อมต่อกับตับสามารถทำให้ตับโตขึ้น (hepatomegaly) และอาจเกิดภาวะตับเสียหายได้เมื่อเป็นเวลานาน ทำให้เกิดอาการแน่นท้อง ท้องอืด
        
        การคั่งในลำไส้ (Intestinal Congestion)
        ภาวะการคั่งของเลือดในหลอดเลือดที่ไปยังลำไส้สามารถทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และมีปัญหาทางเดินอาหาร เช่น ท้องผูกหรือท้องเสีย
        
        1 more item...
    - - หายใจถี่ (Dyspnea)
        -หายใจถี่ขณะออกแรง (Exertional dyspnea): ผู้ป่วยจะรู้สึกหายใจไม่สะดวกหรือเหนื่อยง่ายเมื่อทำกิจกรรมหรือออกแรง เช่น เดินขึ้นบันได
        -หายใจถี่ในขณะนอน (Orthopnea): หายใจลำบากเมื่อท่านอนราบ ซึ่งเกิดจากการคั่งของเลือดในปอด
        -หายใจถี่แบบ Paroxysmal Nocturnal Dyspnea (PND): การหายใจถี่ที่เกิดขึ้นในเวลากลางคืนขณะนอนหลับ ทำให้ผู้ป่วยต้องตื่นขึ้นมาและนั่งหรือนอนในท่าที่สูงขึ้นเพื่อให้หายใจได้สะดวกขึ้น
        
        2.อาการเหนื่อยง่าย (Fatigue):
        รู้สึกอ่อนเพลียและขาดพลังงานเนื่องจากการขาดออกซิเจนในร่างกาย
        
        3. การคั่งของเลือดในปอด (Pulmonary congestion):
        -การไอที่มีฟองสีชมพู (pink frothy sputum)
        -หายใจเร็ว (tachypnea)
        -หายใจเสียงวี๊ด (wheezing) หรือเสียงหายใจแบบหอบ
        -อาการบวมที่ขา (peripheral edema)
        
        4. อาการของภาวะปอดบวมน้ำ (Pulmonary edema):
        การมีฟองน้ำหรือของเหลวในปอด ทำให้เกิดหายใจลำบากและออกซิเจนไม่สามารถส่งไปยังอวัยวะต่างๆ ได้
        
        5. อาการเวียนศีรษะ (Dizziness) หรือ หมดสติ (Syncope):เกิดจากการขาดเลือดที่ไหลไปยังสมอง
        
        6. การคั่งของเลือดในหลอดเลือดดำ (Elevated Jugular Venous Pressure - JVP):
        เห็นหลอดเลือดที่คอโป่ง (jugular venous distention)
- - - - การรักษาภาวะแทรกซ้อน
        a) การรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia)
        -ใช้ยาต้านอาการเต้นผิดจังหวะ เช่น Amiodarone หรือ Sotalol
        -ใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ (pacemaker) หรือ เครื่องจ่ายไฟฟ้าหัวใจ (implantable cardioverter-defibrillator, ICD) ในกรณีที่จำเป็น
        b) การรักษาภาวะปอดบวมน้ำ (Pulmonary Edema)
        -ใช้ยาขับปัสสาวะ (diuretics) เพื่อช่วยขับน้ำออกจากปอด
        -บางกรณีอาจต้องการการช่วยหายใจ (เช่น การใช้เครื่องช่วยหายใจแบบ CPAP หรือ BiPAP)
        
        การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดำเนินชีวิต (Lifestyle Changes)
        -การควบคุมอาหาร: ลดการบริโภคเกลือ (Na) และน้ำเพื่อช่วยลดการคั่งของน้ำในร่างกาย
        -การออกกำลังกาย: แนะนำให้ทำการออกกำลังกายที่ไม่หนักเกินไป เช่น การเดินเร็ว หรือการออกกำลังกายแบบแอโรบิก (aerobic exercise)
        -การควบคุมน้ำหนัก: การลดน้ำหนักจะช่วยลดภาระในการทำงานของหัวใจ
        -การเลิกสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่ทำให้หลอดเลือดหดตัวและทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น
        -การลดการบริโภคแอลกอฮอล์: แอลกอฮอล์สามารถทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะและทำให้หัวใจอ่อนแอลง
        -การควบคุมความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือด: โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงหรือเบาหวาน
        
        การรักษาด้วยการผ่าตัด (Surgical Treatment)
        a) การผ่าตัดลิ้นหัวใจ (Valve surgery)
        -ในกรณีที่ลิ้นหัวใจเสียหาย เช่น ลิ้นหัวใจไมตรัลหรือออร์ทิกมีความเสื่อม (stenosis หรือ regurgitation)
        -อาจต้องทำการซ่อมแซมลิ้นหัวใจหรือเปลี่ยนลิ้นหัวใจ
        b) การผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery bypass graft surgery, CABG)
        -การผ่าตัดบายพาสใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบที่ไม่สามารถรักษาด้วยยาหรือการทำบอลลูนขยายหลอดเลือดได้
        c) การปลูกถ่ายหัวใจ (Heart transplant)
        ในกรณีที่ภาวะหัวใจวายรุนแรงและไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่นได้, การปลูกถ่ายหัวใจอาจเป็นทางเลือกสุดท้ายสำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีทางเลือกอื่น
        
        การรักษาด้วยการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care)
        ในกรณีที่ไม่สามารถรักษาภาวะหัวใจวายได้หรือผู้ป่วยมีภาวะหัวใจวายระยะสุดท้าย, การดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายที่สุดและบรรเทาความทุกข์ทรมานอาจจำเป็น
        -การให้ยาบรรเทาอาการเจ็บปวด (Analgesics) และยาสงบประสาท (Sedatives)
        -การให้การสนับสนุนทางจิตใจสำหรับผู้ป่วยและครอบครัว
- - - - อาการสำคัญ
        
        ถามถึงอาการที่แสดงถึงภาวะหัวใจล้มเหลว เช่น ผู้ป่วยมักมีอาการเหนื่อยง่าย,หายใจไม่อิ่ม,หายใจขัด,นอนราบไม่ได้(Orthopnea),ตื่นมาหอบตอนกลางคืน (paroxysmal nocturnal dyspnea) ,มีอาการบวมที่ขาหรือท้องและน้ำหนักตัวเพิ่ม
        
        กรณีศึกษา
        
        ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 86 ปี เชื้อชาติไทย สัญชาติไทย ศาสนาพุทธ
        เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลวันที่ 12 ตุลาคม 2567
        รับไว้ในการดูแลวันที่ 6 พฤษจิกายน 2567
        
        อาการเจ็บป่วยปัจจุบัน
        
        5 ชั่วโมงก่อน เหนื่อยขณะทำงานบ้าน หายใจไม่อิ่ม จึงมาโรงพยาบาล
        
        1 วันก่อน ไข้ ไอ พอเดิม มีอาการเหนื่อยเล็กน้อย
        
        3 วันก่อน มีไข้ ไอมีเสมหะ น้ำมูกใส
        
        ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต
        
        โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
        
        1 more item...
        
        โรคเบาหวาน
        
        1 more item...
        
        โรคความดันโลหิตสูง
        
        1 more item...
        
        โรคไขมันในเลือดสูง
        
        1 more item...
        
        ภาวะแคลเซียมเกาะที่ลิ้นหัวใจ
        
        1 more item...
        
        ประวัติการใช้สารเสพติด
        
        มีประวัติสูบุหรี่มา 60 ปี ปัจจุบันยังสูบอยู่
        ไม่มีประวัติแพ้ยา หรืออาหาร
        
        อาการสำคัญ
        
        เหนื่อย หายใจไม่อิ่ม 5 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล
      - ประวัติครอบครัว
        
        หากมีสมาชิกในครอบครัวที่เป็นโรคหัวใจล้มเหลว อาจเกิดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมากกว่าคนทั่วไป
        
        กรณีศึกษา
      - ประวัการเจ็บป่วยในอดีต
        
        ประใัติของโรคที่อาจเกี่ยวข้าง เช่น ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคลิ้นหัวใจ หรือการใช้ยาที่มีผลกระทบต่อหัวใจ
        
        กรณีศึกษา
      - ประวัติการใช้ยาและสารเสพติดและพฤติกรรม
        
        การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ การออกกำลังกาย
        
        กรณีศึกษา
    - - ทางทฤษฎี
        
        การคลำ(Palpation)
        
        -คลำที่ตับ จะพบตับโตจากหัวใจห้องล่างขวาวายทำให้เกิดเลือดคั่งในตับ
        -คลำที่ขาและข้อเท้า ประเมิณอาการบวมกดบุ๋ม
        -คลำชีพจร ประเมินการเต้นของหัวใจ
        -กดบริเวณเล็บเพื่อทดสอบการกำซาบของเนื้อเยื่อส่วนปลาย
        
        กรณีศึกษา
        
        คลำชีพจรพบ อัตตราการเต้นของชีพจรอยู่ที่ 47ครั้ง/นาที
        กดปลายเล็บเพื่อทดสอบการกำซาบของเนื้อเยื่อส่วนปลายพบ มีการคืนตัว 3 วินาที
        
        การเคาะ(percussion)
        
        -การเคาะเพื่อฟังเสียงปอด ภาวะหัวใจล้มเหลวทำให้เกิดน้ำท่วมปอดอาจทำให้เสียงที่เคาะบริเวณทรวงอกเปลี่ยนแปลงไป เช่นเสียงทึบ(Dullness)
        -การเคาะที่ช่องท้อง หากมีการสะสมของของเหลวในช่องท้องจะทำให้มีเสียงทึบ
        
        กรณีศึกษา
        
        เคาะปอดและช่องท้องพบเสียงโปร่งปกติ
        
        การฟัง(Auscultation)
        
        -การฟังเสียงหัวใจ ถ้ามีความผิดปกติที่หัวใจจะมีพบเสียง murmurs หรือ เสียงการเต้นของหัวใจที่ไม่สม่ำเสมอ
        -ฟังเสียงปอด พบเสียง Crepitation หรือ Rales (เสียงฟู่ๆหรือเสียงเหมือนกระดาษถูกขยี้)
        พบเสียง Wheezing (คล้ายเสียงหวีด เสียงสูงๆ)
        พบเสียง Ronchi (เสียงที่คล้ายเสียงกรน) เสียงทั้งหมดเกิดจากการที่มีภาวะน้ำท่วมปอด
        
        กรณีศึกษา
        
        ฟังหัวใจพบเสียง murmurs มีการเต้นของหัวใจที่สม่ำเสมอ ฟังเสียงปอดไม่พบเสียง Crepitation
        
        การดู (Inspection)
        
        -ดูอาการบวมที่ขาและข้อเท้า (edema)
        -หลอดเลือดดำที่คอโป่งพอง(jugular venous Distention)
        -หน้าท้องบวม (Ascities)
        -สีผิวซีดหรือปลายมือปลายเท้ามีสีคล้ำ เยื่อบุตาซีด(Cyanosis)
        
        กรณีศึกษา
        
        ผู้ป่วยมีหลอดเลือดดำที่คอโป่งพอง มีภาวะปลายมือปลายเท้าซีด เยื่อบุตาซีด
    - - ทฤษฎี
        
        -การตรวจค่าความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด Complete Blood Count
        (เพื่อทราบปัจจัยเสี่ยงหรือสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย)
        -การตรวจระดับอิเล็กโทรไลต์ Electrolytes
        (เพื่อตรวจระดับ โซเดียมและโพแทสเซียม ที่อาจได้รับผลกระทบจากการใช้ยาขับปัสสาวะ หรือจากภาวะบวมน้ำในร่างกายที่มีผลต่อความสมดุลของเกลือแร่)
        -การตรวจค่าการทำงานของไต Renal Function Test
        (เพื่อทราบการทำงานของไต ว่ามีการเสื่อมสภาพ หรือทำงานได้ลดลงที่ส่งผลต่อการควบคุมของเหลวในร่างกายอาจมีผลกระทบมาจากภาวะหัวใจวาย)
        -การตรวจการทำงานของตับ Liver Function Test
        (เพื่อทราบการทำงานของตับ ภาวะหัวใจวายอาจส่งผลต่อการคั่งของเลือดในตับ)
        การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด Blood glucose,HbA1c
        (เพื่อประเมินภาวะน้ำตาลในเลือดสูงที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดหัวใจวาย)
        การตรวจไขมันในเลือด Lipid Profile
        (เพื่อตรวจหาความเสี่ยงของหลอดเลือดแข็งตัวและหลอดเลือดหัวใจตีบตันที่เป็นสาเหตุของหัวใจวาย)
        -การตรวจเอ็กซเรย์ทรวงอก Chest X-ray
        (เพื่อหาภาวะปอดบวมหรือการสะสมของของเหลวในปอด)
        -การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ Electrocardiogram
        (เพื่อทราบความผิดปกติของการเต้นของหัวใจ การขาดเลือดของกล้ามเนื้อหัวใจ การขยายหรือหนาตัวของห้องหัวใจ)
        
        กรณีศึกษา
        
        การตรวจค่าความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด(CBC)12/10/67
        WBC Count 3010 cell/ul ต่ำ (4000-11300)
        %Eosinophil 0.3% ต่ำ (0.4-9.2)
        Plt count 146000 cell/uL ต่ำ (160000-435000)
        Hb 11.2g/dl ต่ำ (12.0-16.9)
        Hct 35.6% ต่ำ 37.0-51.9)
        MCV 72.9 fl ต่ำ (80.4-98.8)
        MCH 22.8 pg ต่ำ(25.0-33.1)
        แปลผล
        -เม็ดเลือดขาวต่ำ (Leukopenia) ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับปัญหาภูมิคุ้มกันหรือการทำงานของไขกระดูก
        -เกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการมีเลือดออกง่าย
        -ภาวะซีดแบบเม็ดเลือดแดงขนาดเล็ก (Microcytic Anemia) ซึ่งบ่งบอกถึงภาวะขาดธาตุเหล็ก
        
        การตรวจค่าการทำงานของไต12/10/67
        Creatinine(eGFR) 1.11 mg/dl สูง (0.51-1.17)
        BUN 21 mg/dl สูง (6.0-20.0)
        Ca 8.2 mg/dl ต่ำ (8.6-10.0)
        K 2.87 mmol/L ต่ำ (3.4-4.5)
        Co2 18.3 mmol/L ต่ำ (22-29)
        แปลผล -ภาวะการทำงานของไตที่ลดลงเล็กน้อย โดยดูจากครีอะตินีนและ BUN ที่สูงขึ้นเล็กน้อย
        -ความไม่สมดุลของอิเล็กโทรไลต์ ได้แก่ แคลเซียมและโพแทสเซียมต่ำ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบหัวใจ
        -ภาวะกรดเมตาบอลิก (Metabolic Acidosis) จากไบคาร์บอเนตต่ำ
        
        การตรวจระดับอิเล็กโทรไลต์ 13/10/67
        Cl 108 mmol/L สูง (98-107)
        Co2 2.13 mmol/L ต่ำ (22-29)
        แปลผล
        -ค่าคลอไรด์ที่สูงกว่าปกติอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ภาวะขาดน้ำ, การได้รับยาบางชนิด, หรือภาวะกรดในร่างกายสูง (metabolic acidosis)
        -ค่าที่ต่ำมากของไบคาร์บอเนตบ่งบอกถึง ภาวะกรดเมตาบอลิก (Metabolic Acidosis) ซึ่งร่างกายมีภาวะกรดสูงและไม่สามารถรักษาสมดุลของกรด-ด่างได้
        
        1 more item...
    - - -การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง Echocardiogram
        (เป็นการตรวจที่สำคัญที่สุดเพื่อประเมินภาวะหัวใจวาย ดูขนาดของห้องหัวใจ การบีบตัวของหัวใจ และการทำงานของหัวใจ)
        -การตรวจ BNP (เป็นการตรวจวัดระดับโปรตีนB-type Natriuretic Peptide เป็นสารที่จะถูกปล่อยออกมาจากหัวใจห้องล่างซ้ายเมื่อมีแรงดันสูง)
        -การตรวจ MRIของหัวใจ Cardiac MRI
        (เป็นการตรวจวิเคราะห์โครงสร้างและการทำงานของหัวใจอย่างละเอียดและแม่นยำ)
        การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ของหลอดเลือดหัวใจ Ct Coronary Angiography)
        (เป็นการตรวจหลอดเลือดหัวใจโดยตรงเพื่อหาการตีบตันหรือการสะสมของไขมันในหลอดเลือด
        -การสวนหัวใจ Cardiac Catheterization
        (เป็นการตรวจเพื่อวัดความดันในห้องหัวใจและหลอดเลือด ดูการทำงานของหลอดเลือดหัวใจและเพื่อประเมินความรุนแรงของภาวะหัวใจล้มเหลว
        -การตรวจหลอดเลือดหัวใจด้วยนิวเคลียร์ Nuclear Cardiology
        (เป็นการฉีดสารกัมมันตรังสีเข้าร่างกายเพื่อให้เห็นการไหลเวียนของเลือดในกล้ามเนื้อหัวใจผ่านกล้องสแกน ช่วยให้เห็นการทำงานของหัวใจและหาจุดที่ขาดเลือดได้)
        
        กรณีศึกษา
        
        การตรวจหัวใจด้วยคลื่นความถี่สูง 17/10/67
        Echo Findings
        Study quality: This was a technically good study.
        entricle: Mild concentric LVH. Good LV systolic function. No RWMA detec
        ventricular size is normal. Overall left ventricular systolic function is mildly reduced an EF between 40 - 50 % The diastolic filing pattern indicates impaired relaxation.
        Right Ventricle: The right ventricle is normal in size and function.
        Left Atrium: The left atrium is normal in size.
        Right Atrium: The right atrium is normal in size and function.
        Aortic Valve: There is moderate aortic valve sclerosis without stenosis.
        There is moderate-to-severe aortic stenosis present.
        There is mild aortic regurgitation.
        Mitral Valve: Normal appearing mitral valve.
        Tricuspid Valve: The tricuspid valve appears structurally normal.
        Right ventricular systolic pressure is normal at < 35 mmHg.
        Pulmonic Valve: Pulmonic valve appears structurally normal.
        ASDIVSD: No evidence of interatial communication by color flow doppler analysis.
        Aorta: The aortic root size is normal.
        Pulmonary Artery: The pulmonary artery is normal
        
        แปลผล
        
        คุณภาพการตรวจ: การตรวจครั้งนี้มีคุณภาพทางเทคนิคดี
        
        Left Ventricle (หัวใจห้องล่างช้าย):
        -กล้ามเนื้อหัวใจหนาเล็กน้อย (Mild concentric LVH)
        -การทำงานของหัวใจห้องล่างช้ายขณะบีบตัวดี (Good LV systolic function)
        -ไม่พบความผิดปกติของการเคลื่อนไหวของผนังหัวใจ (No RWMA)
        -ขนาดของหัวใจห้องล่างซ้ายอยู่ในเกณฑ์ปกติ
        -การทำงานโดยรวมของหัวใจห้องล่างช้ายลดลงเล็กน้อย โดยมีค่าการบีบตัว (EF) อย่
        ระหว่าง 40-50%
        -รูปแบบการเติมเลือดของหัวใจขณะคลายตัวบ่งชี้ถึงการคลายตัวที่บกพร่อง
        
        Right Ventricle (หัวใจห้องล่างขวา):
        -ขนาดและการทำงานปกติ
        
        Left Atrium (หัวใจห้องบนช้าย):
        -ขนาดปกติ
        
        Right Atrium (หัวใจห้องบนขวา):
        -ขนาดปกติ
        
        Aortic Valve (ลิ้นหัวใจเอออร์ตา):
        -ลิ้นหัวใจเอออร์ตามีการแข็งตัวและการตีบที่ปานกลางถึงรุนแรง และมีการย้อนกลับของเลือดเล็กน้อย (mild aortic regurgitation)
        
        Mitral Valve (ลิ้นหัวใจไมตรัล):
        -ลิ้นหัวใจไมตรัลปกติ ไม่มีความผิดปกติ
        
        Tricuspid Valve (ลิ้นหัวใจไตรคัสปิด):
        -ลิ้นหัวใจไตรคัสปิดปกติ
        
        Right ventricular systolic pressure (ความดันในห้องหัวใจขวา)
        -ความดันในห้องหัวใจขวาอยู่ในระดับปกติ (น้อยกว่า 35 mmHg)
        
        Pulmonic Valve (ลิ้นหัวใจปอด):
        -ลิ้นหัวใจปอดดูปกติ
        
        ASDIVSD (การสื่อสารระหว่างห้องหัวใจ):
        ไม่มีหลักฐานการสื่อสารระหว่างห้องหัวใจ
        
        Aorta (หลอดเลือดเอออร์ตา):
        ขนาดของรูหลอดเลือดเอออร์ตาปกติ ไม่มีการขยายตัวผิดปกติ
        13 Pulmonary Artery (หลอดเลือดปอด): หลอดเลือดปอดดูปกติ ไม่มีความผิดปกติ
- - - - -กลไกการออกฤทธิ์ อินซูลินช่วยยับยั้งกระบวนการ Gluconeogenesis และ Glycogenolysis ในตับ ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างและสลายไกลโคเจนเป็นกลูโคส ส่งผลให้การปล่อยกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือดลดลง จึงช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
        
        -ผลข้างเคียง ระวังภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำอาการเหงื่อออก ตัวสั่น ใจสั่น เวียนศรีษะ หิวอย่างรุนแรง
  - - - -กลไกการออกฤทธิ์ การสร้างทรอมบอกเซน A2 (TXA2) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกล็ดเลือดเกาะกลุ่มกัน ดังนั้น ASA จึงมีฤทธิ์ในการป้องกันการเกิดลิ่มเลือด ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (เช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตัน)
        
        ยับยั้ง COX-2 ทำให้การสร้างพรอสตาแกลนดินลดลง ส่งผลในการลดอาการอักเสบ และลดอุณหภูมิของร่างกาย จึงช่วยลดไข้ได้
        
        -ผลข้างเคียง ระคายเคืองทางเดินอาหาร มีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน หรือแสบร้อนกลางอกได้
  - - - -กลไกการออกฤทธิ์ ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งเอนไซม์ H+/K+ ATPase หรือ proton pump ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่อยู่ในผนังกระเพาะอาหาร ทำหน้าที่ผลิตกรด เมื่อเอนไซม์นี้ถูกยับยั้ง การผลิตกรดในกระเพาะอาหารจะลดลง
        
        -ผลข้างเคียง ท้องเสีย คลื่นไส้ ท้องอืด อาเจียน ปวดศีรษะ
  - - - ใช้เพื่อลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
        
        -ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งเอนไซม์ HMG-CoA reductase ซึ่งเป็นเอนไซม์สำคัญในกระบวนการสังเคราะห์คอเลสเตอรอลในตับ เมื่อการสังเคราะห์คอเลสเตอรอลลดลง ระดับ LDL ในเลือดจึงลดลงตามไปด้วย ทำให้ลดความเสี่ยงของการเกิดไขมันสะสมในหลอดเลือด ซึ่งช่วยลดโอกาสเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดที่เกี่ยวข้องกับคอเลสเตอรอลสูง
        
        -ผลข้างเคียง ปวดกล้ามเนื้อ เป็นตะคริว ท้องเสีย ท้องผูก คลื่นไส้
  - - - -กลไกการออกฤทธิ์ ยับยั้งการทำงานของฮอร์โมนอัลโดสเตอโรน(มีบทบาทในการควบคุมโซเดียมและน้ำในร่างกาย) ทำให้การดูดกลับของโซเดียมลดลง ในขณะเดียวกันก็ลดการขับโพแทสเซียมในร่างกาย ลดการสูญเสียโพแทสเซียม
        
        ผลข้างเคียง ภาวะโพแทสเซียมสูงเกินไป จะเกิดอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจทำให้เสียชีวิต
        เวียนศรีษะ หน้ามืดจากภาวะความดันโลหิตต่ำ
  - - - -กลไกการออกฤทธิ์ ยับยั้งการทำงานของ Angiotensin II ปกติจะมีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดหดตัวและกระตุ้นการหลั่งสาร Aldosterone ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
        
        -ลดการหลั่ง Aldosterone ซึ่งทำให้ไตขับโซเดียมและน้ำออกจากร่างกายมากขึ้น ลดปริมาณเลือดที่กลับเข้าสู่หัวใจ ทำให้ลดอาการบวมและภาระการทำงานของหัวใจในภาวะหัวใจวาย
        
        -ผลข้างเคียงวิงเวียนศรีษะ ภาวะโพแทสเซียมต่ำ มีผลต่อการทำงานของหัวใจ ไอแห้ง
- - - - 1.เยื่อบุตาไม่ซีด
        2.Capillary refill น้อยกว่า 3 วินาที
        3.อัตตราการเต้นของหัวใจมากกว่า47ครั้ง/นาที แต่ไม่ควรเกิน60-100ครั้ง/นาที
        4.Oxygen Saturation มากกว่า94%
        5.ผลตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจไม่พบหัวใจห้องล่างซ้ายโตเพิ่มขึ้น
        6.ผลการตรวจหัวใจด้วยคลื่นความถี่สูงไม่พบลิ้นหัวใจแข็งหรือตีบเพิ่มขึ้น
        7.ประเมินปริมาณสารน้ำเข้าออกร่างกาย ปริมาณน้ำออกไม่ควรมากกว่าหรือน้อยกว่า500 ของปริมาณสารน้ำที่เข้า
    - - เพื่อให้มีภาวะพร่องออกซิเจนลดลง
    - - 1.ประเมินภาวะพร่องออกซิเจน ได้แก่ เยื่อบุตาซีด capillary refill ระดับความรู้สึกตัวลดลง กระสับกระส่ายหรือมึนงง เหงื่อออกมาก หัวใจเต้นเร็ว ปีกจมูกบาน หน้าอกบุ๋ม เพื่อทราบความเปลี่ยนแปลงที่แสดงถึงภาวะพร่องออกซิเจน
      - 2.จำกัดกิจกรรมให้พักผ่อนบนเตียง
        เพื่อลดการใช้ออกซิเจน
      - 3.ดูแลให้Oxygen cannula 3 lit/min เพื่อให้ได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษา
      - 4.ดูแลควบคุมปริมาณน้ำที่ได้รับในแต่ละวัน ไม่ควรเกิน 1000 ml/วัน
        เพื่อป้องกันภาวะน้ำเกิน
      - ติดตามประเมินสัญญาณชีพซ้ำ โดยเฉพาะค่าOxygen Saturation และชีพจร เพื่อติดตามอาการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้น
      - ติดตามบันทึกสารน้ำเข้า-ออกร่างกาย
        เพื่อบันทึกปริมาณสารน้ำที่เข้าออกว่าสมดุลกันหรือไม่
      - 5.ดูแลให้รับประทานอาหารที่ทางโรงพยาบาลจัดให้เท่านั้นไม่รับประทานอาหารอื่น
        เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่เหมาะสมกับโรคที่เป็น
      - 6.ให้ความรู้ในการควบคุมการรับประทานเกลือ ไม่ควรกินเกลือวันละ1 ช้อนชา (ไม่เกิน1,500กรัม)
        เพื่อควบคุมปริมาณโซเดียมที่ทำให้เกิดการบวม
      - 7.ให้ความรู้ในการรับประทานน้ำตาลไม่ควรเกินวันละ6ช้อนชา (25กรัม) เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม
      - ดูแลให้ได้รับยา Losartan 50 Mg 1 tabและติดตามอาการข้างเคียง เช่น
        วิงเวียนศรีษะ ภาวะโพแทสเซียมต่ำ มีผลต่อการทำงานของหัวใจ ไอแห้ง
      - ดูแลให้ได้รับยา Simvastatin 20 Mg 1 tab OD PC และติดตามอาการข้างเคียงเช่น ปวดกล้ามเนื้อ เป็นตะคริว ท้องเสีย ท้องผูก คลื่นไส้
      - 8.ให้ความรู้ในการรับประทานอาหารมัน ให้ลดการรับประทานอาการทอด เนื้อสัตว์ติดมัน/ติดหนังให้เปลี่ยนการปรุงเป็นการนึ่ง ต้มแทน
        เพื่อควบควมระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม
  - - - S:ผู้ป่วยไม่ทราบว่าตนเองมีโรคประจำตัว
        S:ผู้ป่วยบอกว่าสูบบุหรี่วันละ 1 ซอง เป็นระยะเวลามากกว่า 60 ปี
        S:ผู้ป่วยบอกว่าจัดยารับประทานเอง กินบ้างลืมบ้าง
        O:ผู้ป่วยมีอาการหอบเหนื่อยง่าย
        O:ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด แคลเซียมเกาะลิ้นหัวใจ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง
        O:ผู้ป่วยพร่องความรู้เกี่ยวกับโรคที่เป็น
    - - 1.ไม่เกิดภาวะหัวใจขาดเลือดซ้ำ
        2.ผู้ป่วยมีความรู้ในการปฏิบัติตนเกี่ยวกับโรคที่เป็น
    - - 1.ผู้ป่วยสามารถบอกวิธีปฏิบัติตนเกี่ยวกับโรคได้ถูกต้อง เกิน 60%
    - - 1.ประเมินและบันทึก ลักษณะการเจ็บหน้าอกเพื่อประเมินความผิดปกติและรายงานแพทย์ให้ได้รับการรักษาทันทันท่วงที่โดยประเมินดังนี้
        O : Onset อาการเริ่มต้นเมื่อใด อาจเกิดหลังจากทำกิจกรรมที่ใช้แรงมาก เช่นออกกำลังกาย ทำงานหนัก
        P : Precipitate cause
        สาเหตุ ที่ทำให้เกิดอาการและทุเลาอาการเจ็บหน้าอกหรือดีขึ้น เช่นอาการแย่ลงเมื่ออกแรงหรือเครียด และอาจดีขึ้นเมื่อได้รับยาขยายหลอดเลือด
        Q: Quality ลักษณะของอาการเจ็บหน้าอก เจ็บแน่นเหมือนถูกกดทับ บางรายอาจรู้สึกแสบร้อน ร้าวไปที่แขน คอ ขากรรไกร หรือหลัง
        R.Referpainเจ็บตรงไหน เจ็บร้าวไปตำแหน่งใดบ้าง อาจจะมีอาการร้าวไปที่คอ กราม แขนซ้ายหรือแผ่นหลัง
        S: Seventy ความรุนแรงของ อาการเจ็บหน้าอก หรือ Pain score เจ็มเล็กน้อยให้คะแนนที่1-3 เจ็บปานกลางให้คะแนนที่4-6 เจ็บมากให้คะแนนที่7-10
        score T: Timeระยะเวลา ที่เป็นเจ็บนานกี่นาที ส่วนมากมักมีอาการเจ็บหน้าอกนานมากกว่า5นาที และจะไม่หายเองเมื่อพัก หากอาหารนานเกิน20นาทีเป็นอาการของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วน
      - ประเมินสภาพทั่วไป และสัญญาณชีพทุก 15-30 นาทีขณะเกิดอาการ และทุก 2-4 ชั่วโมง เมื่อ
        อาการเจ็บหน้าอกทุเลา เพื่อประเมินการทำงานของหัวใจ
      - 3.ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ EKG 12 leads ขณะที่มีอาการเจ็บหน้าอก รายงานแพทย์ทันที
      - เฝ้าระวังติดตามประเมินสภาพและบันทึกอาการของปริมาณเลือดออกจากหัวใจลดลงได้แก่อัตรา
        การเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น Pulse pressure แคบ ความดันโลหิตต่ำ อัตราการหายใจเพิ่มขึ้นระดับความรูสึกตัวลดลง อัตราการไหลของปัสสาวะลดลง ปลายมือปลายเท้าเย็น การกำซาบเลือดสวนปลายลดลง capillary
        refil ช้ากว่าปกติ(ค่าปกติไม่เกิน 2 วินาที) และชีพจรเบาเร็ว
      - เฝ้าระวังติดตามประเมินสภาพและบันทึก อาการของภาวะพร่องออกชิเจน ได้แก่ระดับความ รู้สึกตัว ลดลง กระสับกระส่าย สับสนหายใจเร็วตื้น ใช้กล้ามเนื้อช่วยหายใจ ชีพจรเร็วปลายมือปลายเท้าซีดเย็น ริมฝีปาก เขียวคล้ำ
      - เฝ้าระวังติดตามประเมินสภาพและบันทึกอาการ ของหัวใจเต้นผิดจังหวะ cardiogenic shock
        ได้แก่หน้าซีด เหงื่อออก ตัวเย็น กระสับกระส่ายสับสน ระดับความรู้สึก ตัวเปลี่ยนแปลง ชีพจรเบาเร็ว ความดันโลหิตต่ำ
      - ติดตามประเมินสภาพและบันทึก อาการภาวะหัวใจล้มเหลวได้แก่หายใจเร็ว นอนราบไม่ได้ไอมีเสมหะหรือเสมหะเป็นฟอง บ่วม บริเวณแขนขา ฟังปอดพบ crepitation
      - 8.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจน canular 3 LPM กรณีที่ผู้ป่วยมีค่าอิ่มตัวของออกซิเจน น้อยกว่าร้อยละ 90 เพื่อเพิ่มระดับออกซิเจนในเลือดไปเลี้ยง กล้ามเนื้อหัวใจและลดการทำงานของหัวใจ
      - จัดท่านอนศีระสูง 45 องตา เพื่อให้ลือดไหลกลับเข้าหัวใจช้าละเป็นการลดการทำงานของ
        กล้ามเนื้อหัวใจ
      - ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนบนเตียง (Absolute bed rest) และงดกิจกรรมต่างๆ เพื่อลดการใช้ออกซิเจนของกล้ามเนื้อหัวใจ
      - 11.ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวในการดูแลตนเองแก่ผู้ป่วย ดังนี้
        11.1 ให้ความรู้ร้องโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันสาเหตุที่ให้ทำให้เกิดโรค: เกิดจากการที่มีการอักเสบของหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดในร่างกายแข็งตัว จากการมีไขมันไปเกาะที่ผนังหลอดเลือด เมื่อคราบไขมันหลุดจะทำให้เกิด
        ลิ่มเลือด เมื่อมีลิ่มเลือดในหลอดเลือดทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดตีบหรืออุดตัน เลือดไปสูบฉีดที่หัวใจไม่เพียงพอจึงทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
        อาการและอาการแสดง: เจ็บหน้าอก หายใจหอบเหนื่อย หายใจลำบาก
        การรักษาพยาบาล: การรับประทานยาต้านการเข็งตัวของเลือด ได้แก่ Asa 81 Mg วันละ1ครั้ง หลังอาหาร และคอยระวังภาวะเลือดออกการระคายเคืองที่ระบบทางเดินอาหาร ห้ามเคี้ยวยา ไม่ควรกินยาแอสไพรินร่วมกับแอลกอฮอล์ ขิง ขมิ้น กระเทียม และการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเมื่อมีอาหารเจ็บแน่นหน้าอกหรือหายใจหอบเหนื่อยให้รีบมาพบแพทย์ก่อนวันนัด
        11.2 แนะนำให้รับประทานอาหารจืด ไขมันน้อย เพื่อให้เหมาะสมกับโรค งดไขมันอิ่มตัว เช่น ไขมัน
        จากสัตว์ ครีมเทียม น้ำมันมะพร้าว แนะนำให้ควบคุมน้ำหนักไม้ไม่ให้อ้วน
        11.3 แนะนำให้เลิกสูบบุหรี่ เพราะสารนิโคติน ในบุหรี่ทำให้หลอดเลือดหดตัว หัวใจเต้นเร็ว หัวใจ
        ต้องทำงานหนักมากขึ้น
        11.4 หลีกเลี่ยงความเครียดทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะความเครียดทำให้ร่างกายผลิตสาร
        Adrenaline ทำให้หลอดเลือดหดตัว หัวใจเต้นเร็ว เกิดอาการเจ็บอก
        11.5 นะนำการมาตรวจตามนัดและอาการผิดปกติที่ควรมาพบแพทย์ก่อนวันนัด เช่น แน่น หน้าอก หายใจเหนื่อยหอบ ใจสั่น นอนราบไม่ได้ เป็นต้น กรณีฉุกเฉินให้ขอความช่วยเหลือโทร1669
- - - - ไขมันในเลือดที่สูงทำให้เกิดการสะสมของคราบไขมันที่ผนังหลอดเลือดทำให้ผนังหลอดเลือดหนาขึ้นและตีบแคบลงทำให้เลือดไหลเวียนไปอวัยวะต่างๆได้ลดลง
        
        เมื่อมีการสะสมของคราบไขมันในหลอดเลือดจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ
        
        ทำให้หลอดเลือดเสื่อมสภาพและมีความเสี่ยงที่คราบไขมันที่มันเกาะผนังหลอดเลือดอาจจะแตกได้
        
        เมื่อคราบไขมันแตกจะทำให้เกิดการสร้างลิ่มเลือด พอมีลิ่มเลือดในผนังหลอดเลือดจะทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดทำให้การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงหัวใจลดลง
  - - - ความดันโลหิตสูงทำให้หลอดเลือดทั่วร่างกายมีแรงต้านที่สูงขึ้น
        
        หลอดเลือดมีแรงต้านที่สูงขึ้นหัวใจต้องบีบตัวมากขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดไปยังหลอดเลือดต่างๆ
        
        หลอดเลือดแดงมีแรงต้านที่สูงขึ้น(จากเดิมที่มีแรงดันสูงกว่าหลอดเลือดอื่นเพราะเป็นหลอดเลือดใหญ่ที่ไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย)
        
        ทำให้หัวใจห้องล่างซ้ายที่มีหน้าที่สูบฉีดเลือดไปยังหลอดเลือดแดงใหญ่ทำงานหนักขึ้นทำให้หัวใจห้องล่างซ้ายหนาตัวเพื่อสร้างแรงบีบที่มากขึ้น(เพื่อที่จะชนะแรงต้านจากหลอดเลือดแดงใหญ่)
        
        เมื่อหัวใจห้องล่างซ้ายทำงานหนักจะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจเสียหายและทำงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพจนไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้
        
        เกิดภาวะหัวใจห้องล่างซ้ายวาย
  - - - การที่มีแคลเซียมเกาะที่ลิ้นหัวใจเอออร์ติก ทำให้ลิ้นหัวใจมีการแข็งตัวขึ้น
      - การทำหน้าที่ในการควบคุมการไหลของเลือดจากหัวใจห้องล่างซ้ายไปยังหลอดเลือดเอออร์ต้ามีประสิทธิภาพลดลง
      - เมื่อลิ้นหัวใจแข็งตัวทำให้มีการปิดที่ไม่สนิทและเปิดได้ไม่เต็มที่
      - ส่งผลให้เลือดไหลย้อนกลับจากเอออร์ต้าเข้าสู่หัวใจห้องล่างซ้าย
      - การไหลย้อนกลับของเลือดทำให้หัวใจห้องล่างซ้ายต้องทำงานหนักเพื่อสูบฉีดเลือดซ้ำๆ
      - หัวใจห้องล่างซ้ายก็จะหนาและโตขึ้นเรื่อยๆทำให้เกิดภาวะหัวใจห้องล่างซ้ายวาย
  - - - หลอดเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจมีการอุดตันจากคราบไขมันหรือการสะสมของลิ่มเลือด
        
        ทำให้เลือดไม่สามารถไหลไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้เพียงพอส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดออกซิเจน กล้าม
        
        กล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายจะพยายามหนาตัวและขยายตัวเพื่อรับเลือดเพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองต่อภาวะการทำงานหนัก
        
        จะทำให้หัวใจยิ่งเสื่อมสภาพและมีประสิทธิภาพในการสูบฉีดเลือดลดลงไปเรื่อยๆ
  - - - ทฤษฎี
        
        เบาหวานทำให้น้ำตาลในเลือดสูง
        
        น้ำตาลในเลือดสูงจะส่งผลกระทบต่อหลอดเลือดเพราะผป.เบาหวานจะน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง
        
        เกิดกระบวนการ Glycation คือการที่น้ำตาลจับกับโปรตีน ไขมัน ทำให้เกิดสาร (Advenced glycation end-product หรือ(AGEs) เป็นสารที่กระตุ้นการอักเสบ ส่งผลหลอดเลือดและให้เนื้อเยื่ออื่นๆเกิดความเสียหายและแข็งตัว
        
        ทำให้หลอดเลือดเสื่อมสภาพและหัวใจทำงานลดลงเรื่อยๆ เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้ลดลง