Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หลักการในการบําบัดรักษาด้วยยาจิตเวช - Coggle Diagram
หลักการในการบําบัดรักษาด้วยยาจิตเวช
ยาต้านอาการทางจิต(Antipsychotic drugs)
ยากลุ่มที่สอง (Atypical ; Second Generation)
ทําหน้าที่ยับยั้งการทํางานของโดปามีนรีเซฟเตอร์ (Dopamine receptor)
2.1 ลดหรือป้องกันอาการจากการใช้ยาต้านอาการทางจิต (Antipsychotic drug) ที่เกิดขึ้น
2.2 เพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาอาการทางลบและอาการทางการคิด (Negative and Cognitive symptoms)
2.3 ลดความเสี่ยงต่อการเกิด Tardive dyskinesia (TD) น้อยที่สุด
2.4 ลดระดับของโปรแลคติน (Prolactin level) ซึ่งมีความสัมพันธ์กับอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
ยากลุ่มแรก (Traditional ; First Generation)
เป็นยาที่ออกฤทธิ์ในการยับยั้งโดปามีนรีเซฟเตอร์
(Dopamine receptor;D2)
กลไกการออกฤทธิ์ของยาต้านอาการทางจิต
ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ต่อสมองและระบบประสาทซึ่งยับยั้งการส่งกลับของสารโดปามีน (dopamine)ทําให้ผู้รับบริการสามารถควบคุมความคิดอารมณ์และพฤติกรรมได้ดีขึ้น
ข้อบ่งใช้
1.2.1 กรณีต้องการควบคุมอาการทางจิต ได้แก่อาการหลงผิด (delusion) ประสาทหลอนจากการได้รับยาหรือสารเคมีที่กระตุ้นระบบสมองและระบบประสาท (drug induced psychosis)
1.2.2 กรณีต้องการควบคุมอาการสับสน (confusion) วุ่นวาย เอะอะ (agitation) อาละวาดหรือพฤติกรรมก้าวร้าวหรือรุนแรง (aggressive)
1.2.3 กรณีใช้ร่วมกับยาต้านอาการเศร้า (antidepressant drugs) ในผู้รับบริการที่มีอารมณ์แปรปรวนหรือโรค อารมณ์สองขั้ว (bipolar disorders)
1.2.4 กรณีร่วมรักษาอาการบางอย่างในระยะเวลาสั้นๆ เช่น อาเจียน (vomiting) หรือ สะอึก
อาการข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อน
EPS, Anticholinergic effects, orthostasis sedation, weight gain
การพยาบาลผู้รับบริการที่ได้รับยาต้านอาการทางจิต
ควรได้รับการตรวจวัดความดันโลหิต (blood pressure) ตรวจการทํางานของตับ (liver function test) ตรวจดูการทํางานของเม็ดเลือดแดง (complete blood count) และตรวจวัดสายตาทั้งก่อนและหลังการได้รับการรักษาด้วยยาเป็นระยะๆ
การให้คําแนะนําแก่ผู้รับบริการและญาติ
ควรงดหรือหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรงในระยะเวลานานๆ ห้ามลด/เพิ่มหรือหยุดยาเอง โดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะการหยุดยากะทันหันอาจจะทําให้เกิดอาการชักได้ ห้ามใช้ยากลุ่มนี้ร่วมกับยาลดกรด (antacids) การรักษาความสะอาดของช่องปาก ร่างกาย อวัยวะทุกส่วน เพื่อป้องกันการติดเชื้อกรณีที่ผู้รับบริการไม่ให้ความร่วมมือในการรับประทานยา ควรพามาพบแพทย์ เพื่อปรับเปลี่ยนวิธีการรักษา
ยาคลายความวิตกกังวลและยานอนหลับ (Antianxiety and hypnotic drugs)
ข้อบ่งใช้
1) ผู้ที่มีความวิตกกังวลในช่วงสั้นๆ
2) ผู้ที่มีอาการอันเกิดจากการถอนพิษสุรา หรือถอนพิษสารเสพติดต่างๆ (withdrawal symptoms)และทดแทนการถอนพิษยากลุ่ม sedative hypnotics
3) ผู้ที่มีอาการชัก (convulsion)
4) ผู้ที่มีอาการนอนไม่หลับ (insomnia) ในระยะเวลาสั้น ๆ
กลไกการออกฤทธิ์
ยาในกลุ่ม Benzodiazepines เป็นยาที่ใช้กันมากที่สุด ซึ่งออกฤทธิ์ในการจับตัวกับตัวรับสารสื่อประสาทที่เกี่ยวกับ Gamma-amiobytyric acid (GABA) และ Chloride ion ในระบบประสาทส่วนกลาง ทําให้อารมณ์สงบและผ่อนคลายมากขึ้น
ข้อควรระวังและภาวะแทรกซ้อน
ควรระมัดระวังในการใช้ยากลุ่มนี้กับผู้รับบริการที่มีระบบการหายใจบกพร่อง และผู้รับบริการที่มีอาการซึมเศร้านานๆ เพราะอาจนําไปใช้ในการฆ่าตัวตายได้ นอกจากนั้นห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์เพราะอาจจะทําให้ทารกที่อยู่ในครรภ์มีความผิดปกติได้และไม่ควรนํามาใช้ในหญิงที่อยู่ระหว่างการให้นมบุตร
การพยาบาลผู้ที่ได้รับยาคลายความวิตกกังวลและยานอนหลับ
ควรให้ยาเฉพาะก่อนนอน กรณียาฉีด ควรฉีดเข้ากล้ามเนื้อมัดใหญ่และให้ลึกพอควร เนื่องจากทําให้เกิดความปวดและการ ระคายเคืองได้และการฉีดยาเข้าทางกล้ามเนื้อและทางหลอดเลือดดํา ซึ่งมักให้ผู้รับบริการที่มีอาการรุนแรง พยาบาลควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ควรให้นอนพักอย่างน้อย 3 ชั่วโมง ควรประเมินและสังเกตอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยทุก 15 นาทีในระยะแรก
คําแนะนํากับผู้รับบริการและญาติ
1) ให้ความรู้ในเกี่ยวกับชื่อยา ปริมาณยาที่ควรได้รับ แผนการรักษา และผลการรักษา
2) ไม่ควรปรับ หยุดยาเอง ถ้ามีความจําเป็นควรปรึกษาแพทย์
3) ระหว่างที่ใช้ยากลุ่มนี้งดการทํางานที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรกลและระมัดระวังอุบัติเหตุ
4) หลีกเลี่ยงการรับประทานเครื่องดื่มที่มีสารกระตุ้นต่างๆ (stimulant) หรือสารคาเฟอีน(Caffeine) เนื่องจากมีผลการออกฤทธิ์ของยา ทําให้มีประสิทธิภาพของยาลดลง
5) ถ้าหากมีอาการ ไข้ เจ็บคอ ผื่นขึ้นตามผิวหนัง จุดเลือดออกตามตัว ควรมาพบแพทย์ทันที
6) ไม่ควรนํายานอนหลับ (hypnotics) ใช้ทดแทนยาแก้ปวด
ยารักษาอาการเศร้าหรือยาต้านเศร้า (Antidepressant drugs)
กลไกการออกฤทธิ์ของยาต้านอาการทางจิต
1) Monoamine oxidase inhibitors (MAOIs)
ออกฤทธิ์ยับยั้งการผลิต Enzyme monoamine oxidaseปัจจุบันนี้ยากลุ่มนี้ไม่ค่อยนิยมใช้เนื่องจากมีฤทธิ์ข้างเคียงสูง
2) Tricyclic antidepressants (TCAs)
ออกฤทธิ์ต่อสมองและระบบประสาทโดยเพิ่มความเข้มข้นของ serotonin และ nor epinephrine
ที่ปลายประสาท (nerve synapses) ทําให้มีอารมณ์ดีขึ้น
3) Selective Serotonin Reuptake Inhibitors (SSRI)
ออกฤทธิ์ยับยั้งการจับตัวกันของซีโรโทนิน (Serotonin) กับตัวรับในระบบประสาท
4) Atypical or Novel Antidepressant
ก. Serotonin and Norepinephine reuptake inhibitors (SNRIs) ทําหน้าที่ยับยั้งซีโรโทนิน(Serotonin) และนอร์อิพิเนฟริน (Norepinephine) ในการจับตัวกับรีเซฟเตอร์
ข. Duloxetine (Cymbelta) ทําหน้าที่ในการยับยั้งการหลั่งสารซีโรโทนิน (serotonin) ส่วนใหญ่มักนํามาใช้กับผู้รับบริการที่มีภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรงและลดความเจ็บปวดที่เกิดจากระบบประสาท
ค. Mirtazapine (Remeron) ทําหน้าที่ในการระงับภาวะซึมเศร้า มักใช้ในกลุ่มผู้รับบริการที่มีปัญหาวิตกกังวลและปัญหาการนอนหลับ
ง. Venlafaxine (Effecxor) เป็นยาที่ออกฤทธิ์คล้ายกับกลุ่ม SNRIs แต่มีออกฤทธิ์ได้แรงกว่าเมื่อใช้ในปริมาณเท่ากัน
ข้อบ่งใช้
1) รักษาผู้รับบริการที่มีอาการซึมเศร้า เช่น major depression โดยเฉพาะในกลุ่มอาการ vegetativesign
2) รักษาผู้รับบริการซึมเศร้าอันเกิดจากการเจ็บป่วยทางกาย/ผู้รับบริการจิตเวชที่มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย
3) รักษาผู้รับบริการโรคอารมณ์สองขั้ว (bipolar disorders) ในช่วงซึมเศร้า (depressed phase)ผู้รับบริการ dysthymic disorders และผู้รับบริการ anxiety disorder และ social phobias
4) รักษาผู้รับบริการที่มีอาการอื่นๆ เช่น chronic pain และ eating disorders
การให้คําแนะนําสําหรับผู้รับบริการและญาติ
รับประทานยาตามแพทย์สั่ง ไม่เพิ่มหรือลดยาเองหลีกเลี่ยงอาหารประเภท Tyamine, Caffeine และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการออกกําลังกายอย่างรุนแรงในสภาพอากาศที่ร้อนจัด มาตรวจตามนัดอย่างสม่ําเสมอ กรณีที่ต้องรับการรักษาด้วยยาอย่างอื่นที่มีผลต่อการรักษาทางด้านจิตเวช ให้ปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง เพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของยาต่อกัน เมื่อมีอาการดังต่อไปนี้ ให้หยุดรับประทานยาหรือไปพบแพทย์ทันที ชัก หายใจขัดหรือเร็วกว่าปกติ มีไข้และเหงื่อออกมาก มีความดันโลหิตต่ําหรือสูง กลั้นปัสสาวะไม่ได้ กล้ามเนื้อแข็งเกร็งอย่างรุนแรง
อาการข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อน
ปากแห้ง รูม่านตาขยายไม่ตอบสนองต่อแสง ตาแห้ง ตาพร่ามัว ปวดตา ท้องผูก ความดันต่ําขณะเปลี่ยนท่า ง่วงนอน เพ้อ หรือ อารมณ์ครื้นเครง ความคิดทําร้ายตนเอง
การพยาบาลผู้รับบริการที่ได้รับยาต้านเศร้า
1) สังเกตการออกฤทธิ์ของยากับสารอาหารบางชนิด โดยเฉพาะยาให้กลุ่ม MAOI
2) ในระหว่างที่รับการบําบัดรักษาด้วยยา พยาบาลควรระมัดระวังในเรื่องปฏิกิริยาของยาร่วมกัน ซึ่งอาจมีผลทําให้ยาหมดฤทธิ์หรือออกฤทธิ์เสริมกัน
ยาควบคุมอารมณ์ (Mood-stabilizing drugs)
ข้อบ่งใช้
2) ผู้รับบริการโรคจิตเภทที่แสดงอาการผิดปกติทางอารมณ์ (Schizoaffective disorders) หรือกรณีที่ไม่สามารถควบคุมอาการได้โดยรักษาร่วมกับ haloperidol หรือ lorazepam เนื่องจากลิเทียมออกฤทธิ์ช้า ต้องใช้ระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ จึงจะให้ผลการรักษาสูงสุด
1) ผู้รับบริการมีอาการ acute mania และโรค bipolar mood disorders ช่วงอาการ mania
ข้อควรระวังและภาวะแทรกซ้อน
Lithium เป็นสารมีพิษต่อทุกอวัยวะของร่างกายโดยเฉพาะสมองและหัวใจระดับของการรักษาให้ได้ผลอยู่ในระยะแคบ ดังนั้นจึงควรมีการรักษาระดับของยาอยู่ในกระแสเลือด เพื่อควบคุมอาการ acute mania 1.0-1.5 mEq/L แต่ระดับทั่วไป จะมีอยู่ในกระแสเลือดประมาณ 0.6-1.2 mEq/Lเพื่อให้ไม่เกิดอาการข้างเคียงที่รุนแรงและอันตราย
กลไกการออกฤทธิ์
Lithium carbonate (LiCo3) ลิเทียมจะยับยั้งการหลั่งและดึงกลับสารสื่อประสาทจําพวก nor epinephrine, serotonin และ dopamine ทําให้สารสื่อประสาทมีความสมดุล ส่วนกลไกการออกฤทธิ์ของกลุ่มยากันชักนั้น ยังไม่ปรากฎชัดเจน แต่มีความเกี่ยวข้องกับการเพิ่มระดับการยับยั่งการทํางานของ GABA
การรักษาระดับของLithiumในกระแสเลือด
ควรให้ผู้รับบริการรับประทานยาหลังอาหารทันที เนื่องจากยามีฤทธิ์ระคายเคืองต่อเยื่อบุของระบบทางเดินอาหาร
ในระยะแรกของการให้ยา ผู้รับบริการต้องได้รับการตรวจระดับ serum lithium level 2 ครั้ง/สัปดาห์ จนกว่าจะมีระดับของ lithium คงที่หรือสามารถควบคุมอาการ mania ได้
การเจาะเลือดวัดระดับ lithium ควรเจาะหลังจากได้รับยามื้อสุดท้ายอย่างน้อย 12 ชั่วโมง ระดับยาที่เหมาะสมควรอยู่ประมาณ 1.0-1.5 mEq/L
กรณีผู้รับบริการได้รับยาลิเทียมเกินขนาด (overdose) การพยาบาลที่สําคัญคือ การดูแลผู้รับบริการตามอาการ
การออกฤทธิ์ของยาจะเริ่มควบคุมอาการได้อาจจะใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือน ในช่วงที่ได้รับยานี้พยาบาลและญาติมีบทบาทสําคัญในการสังเกตอาการพฤติกรรมการแสดงออกและในระหว่างนี้แพทย์มีความจําเป็นต้องให้ยาชนิดอื่นเพื่อควบคุมอาการก่อน
ติดตามและประเมินอาการข้างเคียง และปฏิกิริยาของยากับสารเคมีตัวอื่น
คําแนะนําสําหรับผู้รับบริการและญาติ
2) รับประทานอาหารตามปกติ ไม่จําเป็นต้องงดอาหารที่มีส่วนผสมของเกลือ ยกเว้นได้รับคําแนะนํา จากแพทย์ เนื่องจากเกลือมีผลต่อการออกฤทธิ์ของยา
3) ดื่มน้ําปริมาณมากๆ อย่างน้อย 3 ลิตร/วัน ยกเว้นมีข้อห้ามจากแพทย์
4) ห้ามออกกําลังกายเมื่ออากาศร้อนจัด เพราะทําให้เกิดการสูญเสียเกลือแร่
5) มาตรวจตามนัดทุกครั้งและตรวจหาระดับของ lithium ในกระแสเลือดอย่างน้อยทุก 2 สัปดาห์ หรือจนกว่าจะควบคุมระดับยาในกระแสเลือดได้
6) หลีกเลี่ยงการรับประทานยาอื่นๆ เพราะยาบางชนิดมีผลต่อประสิทธิภาพการออกฤทธิ์ของยา
7) สําหรับมารดาที่กําลังอยู่ในระหว่างให้นมบุตร ไม่ควรได้รับยานี้
8) เขียนข้อความ “เป็นผู้ที่ได้รับยาลิเทียม” พกติดตัวไว้ตลอดเวลา
1) รับประทานยาตามคําสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ปรับยาเพิ่ม-ลดยาเอง
ยาลดอาการข้างเคียงจากยาต้านอาการทางจิต
กลไกการออกฤทธิ์
ออกฤทธิ์ลดปริมาณของ Acetylcholine transmission และเพิ่มปริมาณ dopamine transmission เพื่อให้เกิดความสมดุลของสารเคมีในสมอง
ข้อบ่งใช้
1) สําหรับผู้ที่มีอาการข้างเคียงอันเกิดจากการใช้ยารักษาโรคจิตเท่านั้น
2) ป้องกันการเกิดอาการข้างเคียง ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการเกิด acute dystonia
การพยาบาลผู้ที่ได้รับยาลดอาการข้างเคียงจากยาต้านอาการทางจิต
1) ให้คําแนะนําเรื่องการรับประทานยานี้หลังการรับประทานอาหารทันที เพื่อป้องกันการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร 2) สังเกตผลการรักษาของยา เช่น อาการคอแข็ง อาการสั่น เกร็งตามอวัยวะส่วนต่าง ๆของร่างกายเพื่อประเมินประสิทธิภาพของการรักษาด้วยยา 3) มาตรวจตามนัด และตรวจสายตาอย่างสม่ําเสมอ