Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Chronic osteomyelitis Lt. distal femur and proximal tibia, Osteomyelitis,…

- - - - มีภาวะติดเชื้อที่บริเวณ กระดูกหน้าแข้งซ้าย เนื่องจากภูมิคุ้มกันในร่างกายตํ่า
        
        วัตถุประสงค์
        
        เพื่อป้องกันการติดเชื้อเพิ่มขึ้น
        
        เกณฑ์การประเมินผล
        
        สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่มีอาการ และอาการแสดงของภาวะติดเชื้อ ได้แก่
        
        BP = 140 - 90/90 - 60 mmHg
        
        PR = 60 - 100 bpm/min
        
        RR = 16 - 20 bpm/min
        
        O2Sat ≥ 95%
        
        รู้สึกตัวดี
        
        ไม่มีอาการหนาวสั่น
        
        หัวใจเต้นเร็ว
        
        หายใจหอบ
        
        T = 36.5 - 37.4 ๐C
        
        ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการอยู่ในเกณฑ์ปกติ
        
        WBC = 5,000 - 10,000 ลบ.มม.
        
        Neu = 50-70%
        
        Lym = 20-40%
        
        ESR ≥20 มิลลิเมตร/ชั่วโมง
        
        CRP >1.0 mg/L
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        
        ประเมินลักษณะของแผล เพื่อติดตามลักษณะของแผลที่ผิดปกติ ได้แก่
        
        ลักษณะของแผลไม่มีการปวด บวม แดง ร้อน
        
        ไม่มี Discharge ไหลซึมออกจากแผลผ่าตัด
        
        บริเวณผ้าปิดแผลผ่าตัดไม่สกปรก หรือเปิดออก
        
        ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อติดตามสัญญาณชีพที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบติดเชื้อ เช่น
        
        มีไข้
        
        หายใจหอบเหนื่อย
        
        ชีพจรเต้นเร็ว
        
        ความดันต่ำลง
        
        ดูแลให้ยา Ceftriazone 1 g. IV OD (เวลา 18.00 น.) ตามแผนการรักษา โดยประเมินอาการข้างเคียงของยา ดังนี้
        
        การเกิดผื่นบริเวณผิวหนัง
        
        เกิดอาการท้องเสีย
        
        Eosinophilia
        
        thrombocytosis
        
        leukopenia
        
        เพิ่มระดับเอนไซม์ Transaminases ที่ตับ และอาจทำให้ค่า BUN สูงขึ้น
        
        ใช้หมอนรองขาให้สูงขึ้นกว่าตำแหน่งของหัวใจ เพื่อให้การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อในส่วนต่างๆได้ดีขึ้น ช่วยส่งเสริมการหายของแผล
        
        กินอาหาร Regular diet size M(ให้พลังงาน = 1,500 kcal TP = 70 gld) + BD ดื่ม (1.2:2) 200 x 3 feed ตามแผนการรักษา เพื่อช่วยส่งเสริมการหายของแผล
        
        ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อติดตามผลทางห้องปฏิบัติการที่แสดงถึงการติดเชื้อ
        
        ตรวจสอบการทำงานจองสาย redivac drain ดังนี้
        
        ตรวจสอบสายระบายเลือด (สาย drain) อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง และ ติดแน่น
        
        เขียนกำกับที่สายและขวดให้ตรงกันว่าเป็นสายอะไร กรณีผู้ป่วยคาสาย drain ไว้หลายสาย
        
        ตรวจสอบการทำงานของ Radivac drain ให้เลือด/สารคัดหลั่งไหลสะดวก สาย drain ไม่ถูก clamp และไม่มีการ หัก พับ งอ อุดตัน หรือเลื่อนหลุด
        
        ติดตามประเมินอย่างน้อยทุก 4 ชั่วโมง ในระยะหลังผ่าตัด 8 ชั่วโมงแรก กรณีที่ต้องการระบายเลือดหลังผ่าตัดหากพบว่าเลือดออกเพิ่มมากกว่า 200 cc.ต่อชม. แสดงว่ามีการตกเลือด ควรรายงานให้แพทย์ทราบ
        
        ดูแลให้ขวด Radivac drain เป็นสูญญากาศอยู่เสมอโดยดูที่จุกยางบนฝาขวด หากเป็นสูญญากาศจุกยางจะหด ถ้าไม่เป็นสูญญากาศจุกยางจะยืดออก เนื่องจากขวด Radivac drain ไม่เป็นสูญญากาศ จะไม่สามารถดูดเลือดและสาร คัดหลั่งออกได้
        
        ประเมินการเลื่อนหลุด รั่ว ซึม หรืออุดตันของสาย drain ทำให้ Radivac drain ไม่ทำงาน ซึ่งจะสังเกตจากการมีเลือด/สารคัดหลั่งซึมออกจากแผล แต่ในขวดไม่มีหรือมีน้อย หรือขวด drain ไม่เป็นสูญญากาศ (ไม่ทำงาน)
        
        เปลี่ยนขวด Radivac drain หากมีเลือด/ สารคัดหลั่งเต็มขวด หรือขวด drain ไม่เป็นสูญญากาศ (ไม่ทำงาน)โดยยึดหลักปราศจากเชื้อ และclamp สาย drain ก่อนเปลี่ยนขวดทุกครั้ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
        
        จัดวางขวด Radivac drain ให้อยู่ในระดับต่ำกว่าแผล เพื่อให้เลือดและสารคัดหลั่งไหลสะดวก แต่ไม่วางกับพื้น
        
        9.สังเกตอาการผิดปกติเช่นบริเวณรอบๆสาย Radivac drain บวมแดง ,มีไข้, สี กลิ่น ปริมาณของเลือดหรือสิ่งคัดหลั่งที่ระบายออกมาในท่อระบายชนิด Redivac drain รวมทั้งตำแหน่งของท่อระบาย และการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังรอบๆแผลที่มีท่อระบาย
        
        ข้อมูลสนับสนุน
        
        S : ผู้ป่วยบอกว่าปวดบริเวณตําแหน่งกระดูกหน้าแข้ง ด้านซ้าย
        
        O :
        WBC = 3.15 10^6/uL
        Neu = 72 %
        Lym = 18.8 %
        ESR = 102 mm/Hour
        CRP = 10.29 mg/L
    - - ไม่สุขสบายเนื่องจากถูกจำกัดการเคลื่อนไหว
        
        วัตถุประสงค์
        
        เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมวันได้
        
        เกณฑ์การประเมินผล
        
        ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรประจำวันเองได้
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        
        ประเมิน Salf-care deficit โดยใช้แบบประเมินความสามารถในการประกอบกกิจวัตรประจำวันดัชนีบาร์เธลเอดีแอล (Barthel Activities of Daily Living : ADL) โดยคะแนนรวม ADL (เต็ม) 20 คะแนน
        การแปลผล
        
        0 – 4 คะแนน ภาวะพึ่งพาโดยสมบูรณ์ : very low initial score, total dependence
        
        5 - 8 คะแนน ภาวะพึ่งพารุนแรง : low initial score, severe dependence
        
        9 - 11 คะแนน ภาวะพึ่งพาปานกลาง : intermediate initial score, moderately severs dependence
        
        12 - 20 คะแนน ไม่เป็นการพึ่งพา : intermediate high, mildly severs dependence, consideration of discharging home
        
        เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ป่วยในการทำกิจวัตรประจำวันได้
        
        ข้อมูลสนับสนุน
        
        O : ผู้ป่วย on Redivac drain และพันด้วย EB ที่ขาซ้าย
        
        S : ผู้ป่วยบอกว่าเคลื่อนไหวได้ลำบาก
    - - ไม่สุขสบายจากการปวด
        เนื่องจากกระดูกและเนื้อเยื่อถูกทำลาย
        
        เกณฑ์การประเมินผล
        
        สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
        
        T = 36.5 - 37.4 ๐C
        
        BP = 90-140/60-90 mmHg
        
        PR = 60 - 100 bpm/min
        
        RR = 16 - 20 bpm/min
        
        O2Sat ≥ 95%
        
        ระดับความเจ็บปวด pain
        score น้อยกว่า 2
        
        ผู้ป่วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        
        ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินสัญญาณชีพที่เกี่ยวข้องกับอาการปวดได้แก่
        
        ความดันสูงขึ้น
        
        หายใจหอบตื้น
        
        อุณหภูมิร่างกายสูง
        
        หัวใจเต้นเร็ว
        
        ประเมินความเจ็บปวดโดยใช้ระดับความปวด (pain scale) เพื่อวัดความรุนแรงของอาการปวด
        
        0 = ไม่ปวดเลย
        
        1-3 = ปวดน้อย
        
        4-6 = ปวดปานกลาง
        
        7-9 = ปวดมาก
        
        10 = ปวดมากที่สุด
        
        ในระดับความปวดคะแนน 1-3 ให้ใช้เทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น
        
        การลดความวิตกกังวลโดยให้ความรู้และข้อมูลแก่ผู้ป่วย/ญาติ
        
        การใช้เทคนิคผ่อนคลาย (Relaxation technique) เช่น การทำสมาธิฟังธรรมะ การหายใจเข้า-ออกลึกๆช้าๆการเบี่ยงเบนความสนใจ (Distraction) เช่น การดูโทรศัพท์อ่านหนังสือ ฟังดนตรีฟัง เรื่องขำขันและการเล่นเกมส์
        
        การจัดท่าผู้ป่วย (Positioning) หรือจัดท่าทางขณะที่ทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อลดการยืดขยายของกล้ามเนื้อที่มากเกินไป
        
        ให้ยาบรรเทาปวดตามแผนการรักษา
        
        ให้บรรเทาปวด Tolperizole 50 mg. q 8 hr. pc (เวลา 12.00 น.) โดยสังเกตอาการข้างเคียง ดังนี้
        
        ยามีฤทธิ์ในการกัดกร่อน หากผู้ป่วยได้รับปริมาณน้อยๆ จะทำให้เกิดการระคายเคืองในทางเดินอาหาร แต่หากได้รับในปริมาณมากอาจทำให้เกิดการกัดกร่อนระบบทางเดินอาหาร
        
        ความดันโลหิตต่ำ, ใจสั่น, มึนงง, ง่วงซึม, ปวดหัว, บ้านหมุน, ผื่นลมพิษ, ปวดท้อง, ท้องผูก, ท้องเสีย, อาหารไม่ย่อย, ท้องอืด, คลื่นไส้, อาเจียน
        
        ในความปวดคะแนน 4-6 ให้ยา paracetamol 500 mg. 1 tab. prn ตามแผนการรักษา โดยสังเกตอาการข้างเคียง ดังนี้
        
        พิษต่อตับรุนแรงที่เกิดจากการได้รับยาเกินขนาดแบบฉับพลัน หรือจากการได้รับยาอย่าต่อเนื่องในปริมาณสูง
        
        อาจเกิด ปฏิกิริยาต่อผิวหนังชนิดรุนแรงที่สำคัญ คือ กลุ่มอาการสตีเวนส์-จอห์นสัน (Steven-Johnson syndrome) การตายแยกสลายของหนังกําพร้า (toxic epidermal necrolysis) และตุ่มหนองทั่วร่างกาย (acute generalized
        exanthematous pustolosis)
        
        ความปวดคะแนน 7-10 รายงานแพทย์เพื่อให้ยา Morphine 1 mg./ml. IV prn. ตามแผนการรักษา โดยสังเกตอาการข้างเคียง ดังนี้
        
        ท้องผูก, มึนงง, คลื่นไส้/อาเจียน, ซึม และเคลิ้มฝัน - ถ้า overdose ผู้ป่วยจะมีอาการง่วงซึม ปลุกไม่ตื่น, หายใจช้า, Shock, หัวใจหยุดเต้น
        
        RR < 10 ครั้ง/นาที
        
        หายใจลำบาก
        
        Miosis (รูมานตาขนาดเล็กกว่า 2 mm)
        
        BP น้อยกว่า 90/60 mmHg
        
        จัดท่าให้ผู้ป่วยพักขาในท่าที่เหมาะสมและไม่กดทับบริเวณที่อักเสบ เพื่อให้เลือดไหลเวียนบริเวณที่ทำหัตถการได้สะดวกไม่เกิดการคั่งและบวม
        
        พันรอบแผลด้วย EB เพื่อลดปวด และลดการคั่งบวมจากเลือดและสิ่งคัดหลั่ง สังเกตอาการแทรกซ้อนจากการพัน EB คือภาวะ compartment syndrome โดยประเมินการไหลเวียนเลือดและการทำงานของเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงอวัยวะส่วนปลาย โดยใช้การประเมินตามหลัก 6P 1S
        
        Pain(อาการปวด) จะชัดเจนเมื่อเหยียดกล้ามเนื้อ เช่น อาการการปวดมากขึ้นเมื่อดันนิ้วเท้าผู้ป่วยเข้าหาตัว
        
        Pallor(อาการซีด) เป็นอาการแสดงที่บ่งบอกว่าอวัยวะที่ได้รับการบาดเจ็บมีเลือดไปเลี้ยงไม่พอ
        
        Paresthesia(อาการชา) ประเมินจากการรับสัมผัสบริเวณส่วนต้นและส่วนปลายของอวัยะที่บาดเจ็บ อาจพบการรับสัมผัสลดลง ไวต่อสิ่งกระตุ้น รู้สึกซู่ซ่า ชาหรือสูญเสียการสัมผัส
        
        Polar(อาการเย็น)
        
        pulselessness(คลำชีพจรไม่ได้)
        
        paralysis(อาการอัมพาตของกล้ามเนื้อ)
        
        Swealling(อาการบวม) บวมบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ
        
        จัดแนวขาให้อยู่ในลักษณะเหยียดตรงไม่ยกสูงหรือวางลงต่ำกว่าระดับหัวใจ เพราะถ้าห้อยขาต่ำจะทำให้เกิดการบวมากกขึ้นความดันในช่องกล้ามเนื้อจะสูง แต่ถ้ายกขาสูงมากเพื่อหวังผลให้ยุบบวมจะทำให้เลือดแดงไปเลี้ยงกล้ามเนื้อในช่องกล้ามเนื้อได้น้อยลง เพื่อลดปวดและลดโอกาสเกิดภาวะ compartment syndrome
        
        ข้อมูลสนับสนุน
        
        O : ประเมินความเจ็บปวด
        pain score = 2
        
        S : ผู้ป่วยบอกว่าปวดแผลผ่าตัด
        
        วัตถุประสงค์
        
        เพื่อลดอาการปวดและให้ผู้ป่วยมีความสุขสบาย
    - - กิจกรรมการพยาบาล
        
        ให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและครอบครัว อธิบายเกี่ยวกับโรคและการรักษา รวมถึงตอบคำถามและข้อกังวลของผู้ป่วย
        
        ให้ความรู้เรื่องโรคและแนวทางการรักษา รวมถึงระยะเวลาและความต่อเนื่องในการรับยาปฏิชีวนะ
        
        สอนการป้องกันการติดเชื้อ แนะนำวิธีการป้องกันการติดเชื้อซ้ำ รวมถึงการดูแลแผลและการรักษาสุขอนามัย
      - วัตถุประสงค์
        
        เพื่อให้ผู้ป่วยลดความวิตกกังวลและเข้าใจเกี่ยวกับแผนการรักษา
      - เกณฑ์การประเมินผล
        
        ผู้ป่วยมีความวิตกกังวลลดลง
        
        ผู้ป่วยเข้าใจเกี่ยวกับอาการของโรค แผนการรักษาและสามารถอธิบายได้
        
        ผู้ป่วยมีการปฎิบัติตามคำแนะนำทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง
      - ข้อมูลสนับสนุน
        
        O : จากที่แพทย์แจ้งผลการตรวจว่าไม่พบเชื้อที่บริเวณแผลแล้ว แต่ทำไม่ยังต้องผ่าตัดซ้ำอีก
        
        S : กลัวว่าต้องมีการรักษาซ้ำอีก และต้องนอน รพ.นาน