Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หน้าที่ชาวพุทธและมายาทชาวพุทธ - Coggle Diagram
หน้าที่ชาวพุทธและมายาทชาวพุทธ
การบรรพชาและอุปสมบทในพระพุทธศาสนา
การบรรพชา แปลว่า การเว้นจากความชั่วทุกอย่าง เดิมคำว่า บรรพชา หมายความว่าการบวชเป็นภิกษุ เช่น ระยะแรกที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช ก็ใช้คำว่า เสด็จออกบรรพชาเป็นต้น แต่ในสมัยต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้ คำว่า บรรพชา หมายถึง การบวชเป็นสามเณร
อุปสมบท แปลว่า การเข้าถึงสภาวะอันสูง หมายถึง การบวชเป็นภิกษุ
พระรัตนตรัย หมายถึง พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
มารยาทชาวพุทธ
วิธีแสดงความเคารพพระรัตนตรัย คือ การกราบด้วยวิธีเบญจางคประดิษฐ์เป็นการกราบ
ด้วยการให้อวัยวะทั้ง ๕ ส่วน จดกับพื้น คือ มือ ๒ เข่า ๒ หน้าผาก ๑
ขั้นตอนกราบพระรัตนตรัยมีดังนี้ท่าเตรียม
ชาย นั่งท่าเทพบุตร เข่ายันพื้นห่างกันพอควร ปลายเท้าตั้งชิดกัน นั่งทับส้นเท้าหญิง
นั่งท่าเทพธิดา เข่ายันพื้นในลักษณะชิดกัน ปลายเท้าราบไปกับพื้น หงายฝ่าเท้า นั่งทับสันเท้า
จังหวะที่ ๑
: ประนมมือระหว่างอก
จังหวะที่ ๒
: ยกมือที่ประนมขึ้นพร้อมกับกัมศีรษะลงเล็กน้อยนิ้วหัวแม่มือจดกลางหน้าผาก
จังหวะที่ ๓
: การกราบ (อภิวาท)
๑. ก้มลงกราบโดยทอดศอกให้แขนทั้งสองข้างลงพื้นพร้อมกัน
๒. คว่ำมือทั้งสองแบบนราบกับพื้น ให้นิ้วทั้ง ชิดกัน มือทั้งสองวางห่างกันเล็กน้อย พอให้หน้าผากจดพื้นในระหว่างมือทั้งสองข้างได้
๓. สำหรับผู้ชายต้องให้คอกต่อเข่า สำหรับผู้หญิงให้ตอกแนบเข่าทั้งสอง
๔. ลุกนังในท่าคุกเข่า ทำตามจังหวะทั้งสามติดต่อไปจนครบ๓ ครั้ง แล้วทรงตัวขึ้น ยกมือประนมจดหน้าผากอีกครั้งหนึ่ง เรียกว่า จบ แล้วลดตัวนั่งในท่าปก
การแสดงความเคารพต่อปูชนียบุคคล
การกราบพระ
๑.๑ การกราบพระ ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูป หรือพระภิกษุ ใช้วิธีแสดงความเคารพ
เหมือนกัน คือ กราบแบบเบญจางคประดิษฐ์
๑.๒ การกราบบิดา มารดา ครู อาจารย์ ให้ปฏิบัติดังนี้
๑. นั่งพับเพียบเก็บปลายเท้า
๒. เบี่ยงตัวหมอบลง ให้เข่าข้างหนึ่งอยู่ระหว่างแขนทั้งสองข้าง
๓. วางแขนทั้งสองราบลงกับพื้นตลอดครึ่งแขน คือ จากศอกถึงมือ
๔. ประนมมือวางตั้งลงกับพื้นแล้วกัมศีรษะลงให้หน้าผากแตะสันมือ
๕. ทำครั้งเดียวไม่แบมือ แล้วทรงตัวขึ้นนั่ง
การไหว้
๒.๑ การไหว้พระสงฆ์ (ขณะยืน)
๑. ยกมือที่ประนมขึ้นจดหน้าผาก
๒. ให้ปลายหัวแม่มือจดระหว่างคิ้ว ค้อมศีรษะลงให้ปลายนิ้วชี้จดตีนผม แนบมือ
ให้ชิดหน้าผาก ค้อมตัวให้มาก
๓. ผู้ชาย ให้ยืนสันเท้าชิด ปลายเท้าแยกเล็กน้อย ผู้หญิงก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า
เพื่อยันพื้นกันล้ม ย่อตัวค้อมศีรษะลงไหว้ ไหวัตรงๆ ไม่เอียงซ้ายหรือขวา
ประเภทของการบรรพชาและอุปสมบท
1.อหิภิกขุอุปสัมปทา การบวชที่พระพุทธเจ้าประทานให้เองโดยการเปล่งพระวาจาว่า
2.ติสรณคมนูปสัมปทา การบวชด้วยวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระสาวกทำในยุค ต้นพุทธกาล เมื่อคณะสงฆ์ยังไม่เติบใหญ่ แต่ต่อมาใช้เป็นวิธีบวชสามเณร สามเณรี โดยวิธีให้ถือสรณะ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก
3.โอวาทปฏิคคหณูปสัมปทา การบวชด้วยการรับพระโอวาท เป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตแก่พระมหากัสสปะ
ปัญหาพยากรณูสัมปทา การบวชด้วยการตอบปัญหาของพระพุทธเจ้า เป็นวิธีที่ทรงอนุญาตแก่โสปากสามเณร
5.ครุธรรมปฏิคคหณูปสัมปทา การบวชด้วยการรับครุธรรม ประการ เป็นวิธีที่พระพุทธเจ้า
ทรงอนุญาตแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี
6.ทูเตนอุปสัมปทา การบวชด้วยทูต เป็นวิธีที่ทรงอนุญาตแก่นางคณิกา ชื่อ อัทฒกาลี
7.อัฏฐวาจิกาอุปสัมปทา การบวชจากสงฆ์สองฝ่ายคือ ภิกษุ และภิกษุณี
8.ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา การบวชโดยคณะสงฆ์
๒.๒ การไหว้บิดามารดา (ขณะยืน)
๑. ยกมือที่ประนมขึ้นจดส่วนกลางของหน้า
๒. ให้ปลายนิ้วหัวแม่มือจดปลายจมูก ค้อมศีรษะให้ปลายนิ้วชี้จดระหว่างคิ้ว
๓. ผู้ชายให้ยืนส้นเท้าชิด ปลายเท้าแยกเล็กน้อย ค้อมแต่ส่วนไหล่และศีรษะ ผู้หญิง
ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าย่อตัวลงไหว้ ค้อมศีรษะต่ำรับปลายนิ้ว
๒.๓ การไหว้ผู้ใหญ่
ยกมือที่ประนมจดส่วนล่างของหน้า ให้ปลายหัวแม่มือจดปลายคาง ให้นิ้วชี้จดจมูก
ส่วนบน ก้มศีรษะรับปลายมือให้พองาม
๒.๔ การรับไหว้
ยกมือทั้งสองมาประนมไว้ที่อก แล้วค้อมศรษะให้ผู้ไหว้เล็กน้อย
ประโยชน์ของการบรรพชาและอุปสมบท
๑. เพื่อเรียนรู้พระธรรมวินัย ฝึกฝนพัฒนาตนเอง ผู้บวชจะต้องเรียนรู้พระธรรมวินัยควบคู่ไป กับการปฏิบัติธรรม จึงเป็นที่มาของคำว่า บวชเรียน
๒. เพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวต่อไป เพราะถ้าไม่มีพระสงฆ์ พระรัตนตรัยก็จะไม่ครบองค์ 3
๓. เพื่อฝึกฝนอบรมให้รู้จักอดทน อดกลั้น ในอดีตผู้ที่บวชเรียนแล้วจะเรียกว่า "ทิด" ซึ่งมาจากคำว่า "บัณฑิต" บ้านใดที่มีลูกสาวมักนิยมให้แต่งงานกับชายหนุ่มที่บวชเรียนแล้วมากกว่าชายหนุ่มที่ยังไม่ผ่านการบวชเรียน
๔. เพื่อดำรงตนให้เป็นพลเมืองดีของสังคม เพราะผู้ที่ผ่านการบวชเรียนแล้วย่อมจะได้รับโอกาสในการฝึกอบรมทั้งกาย วาจา และใจ มาในระดับหนึ่ง ให้รู้จักเกรงกลัวและละอายต่อบาป แยกแยะ ถูกผิดดีชั่ว ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญของพลเมืองดีในการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมต่อไป
วิธีการบวก
๑. ผู้ขอบวชต้องแต่งกายชุดขาว พร้อมสไบขาว
๒. ตัวแทนผู้ขอบวชถวายธูปเทียนแพแด่พระสงฆ์จำนวน ด รูป หรือ ๔ รูปขึ้นไป
๓. กราบ ๓ ครั้ง
๔. กล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย
๕. กล่าวคำอาราธนาศีล ๘
๖. รับไตรสรณคมน์
๗. สมาทานศีล ๘
๘. นำเครื่องสักการะไปถวายพระอาจารย์ รับฟังโอวาท เป็นอันเสร็จพิธี
ประโยชน์ของการบวช
๑. เพื่อฝึกฝนอบรมตน
๒. เพื่อเพิ่มพูนบุญกุศลให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
๓. เพื่อให้จิตสงบ ปราศจากความฟุ้งซ่าน
๔. เพื่อปลดเปลื้องตนให้พ้นจากความทุกข์
การศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ และธรรมศึกษา
ความเป็นมาของโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์
โรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ในประเทศไทย เริ่มมาจากแนวคิดของพระพิมลธรรม (อาจ อาสภมหาเถร) องค์สภานายกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หลังจากได้เดินทางไปดูงาน ด้านพระพุทธศาสนาที่ประเทศพม่าและศรีลังกา ได้พบเห็นการสอนพระพุทธศาสนาในวันอาทิตย์ในประเทศนั้นๆ และเห็นว่ามีผลดีมาก เมื่อเดินทางกลับมาประเทศไทย จึงได้นำแนวคิดดังกล่าวมาหารือร่วมกับผู้บริหาร คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ และนิสิตของมหาวิทยาลัย โดยได้ดำเนินการเปิดสอน
เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่๑๓ กรกฎาคม๒๕๐๑ ที่มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
การปลูกจิตสำนึกและการมีส่วนร่วมในสังคมพุทธ
สังคมพุทธ หมายถึง การอยู่ร่วมกันของสมาชิก ซึ่งประกอบด้วยพุทธบริษัท ๔ ได้แก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา แม้ว่าในปัจจุบันสังคมพุทธในประเทศไทย (สายเถรวาท) ภิกษุณีได้สูญไปแล้ว แต่ในสังคมพุทธที่นับถือพระพุทธศาสนาสายอื่น อาจยังคงมีภิกษุณีอยู่อาจกล่าวได้ว่า สังคมพุทธ ประกอบด้วยบุคคล๒ ประเภท คือประเภทแรก ได้แก่ พระภิกษุ
ประเภทสอง ได้แก่ คฤหัสถ์ หรือชาวบ้าน
สังคม หมายถึง การอยู่ร่วมกันของสมาชิก ต้องมีการปฏิสัมพันธ์กัน และมีหน้าที่สร้างสมาชิกใหม่ ถ่ายทอดลักษณะของสังคม ประเพณี ความเชื่อ เพื่อสืบทอดให้สังคมนั้นๆ ดำรงต่อไป:
วัดถุประสงของโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์
๑. เพื่อให้เด็กและเยาวชนมีความรู้ทางด้านพระพุทธศาสนา
๒. เพื่อส่งเสริมความรู้ และปลูกฝังศีลธรรม วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม
ให้กับเด็กและเยาวชน
๓. เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้ใกล้ชิดกับพระภิกษุและสามเณร
๔. เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้รู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
ธรรมศึกษา
ธรรมศึกษา คือ การจัดการศึกษาพระพุทธศาสนาสำหรับคฤหัสถ์ เริ่มขึ้นครั้งแรกในพ.ศ. ๒๔๗๒ แบ่งการเรียนเป็น ๓ ระดับ คือ ธรรมศึกษาตรี ธรรมศึกษาโท และธรรมศึกษาเอกโดยผู้ศึกษาหลักสูตรธรรมศึกษาจบในแต่ละชั้น จะได้รับใบประกาศนียบัตรรับรองวิทยฐานะ
วัตถุประสงค์ของการจัดธรรมศึกษา
๑. เพื่อเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนที่เป็นคฤหัสถ์มีโอกาสศึกษาพุทธประวัติ ประวัติพุทธสาวก
พระธรรม พระวินัย พุทธศาสนสุภาษิต ศาสนพิธีอย่างถูกต้อง
๒. เพื่อให้คฤหัสถ์สามารถนำหลักธรรมมาประยุกต์ในการดำเนินชีวิต
๓. เพื่อความมั่นคงและแพร่หลายยิ่ง ๆ ขึ้นไปของพระพุทธศาสนา
๔. เพื่อสร้างสังคมคุณภาพรวมทั้งพัฒนาพระสงฆ์ให้มีความสามารถในการเผยแผ่หลักธรรม
1.การบวช : วิธีหนึ่งของการสร้างสมาชิกให้กับสังคมพุทธ 2.ศึกษาคำสอน และปฏิบัติตามคำสอน
3.เผยแผ่คำสอน
4.ปกป้องและรักษาพระพุทธศาสนา