Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ทารกตายในครรภ์ (Death Fetus in Utero) - Coggle Diagram
ทารกตายในครรภ์
(Death Fetus in Utero)
ความหมาย ทารกตายในครรภ์(Death Fetus in Utero)
การตายของทารกการคลอดออกมา โดยไม่คำนึงถึงอายุครรภ์
ประเภท
Intermediate fetal death ตายระหว่าง 20-28 สัปดาห์
Late fetal death ตายตั้งแต่ 28 สัปดาห์ขึ้นไป
Early fetal death ตายก่อน 20 สัปดาห์
ทารกตายคลอด (stillbirth)
ทารกเมื่อคลอดแล้วไม่มีอาการแสดงของการมีชีวิต
ได้แก่ ไม่มีการหายใจเอง ไม่มีการเต้นของหัวใจ
ประเภท
Intrapartum fetal death ตายในระยะคลอด
Fetal death in utero ตายก่อนเจ็บครรภ์คลอด
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
มารดามีความรู้เรื่องการปฏิบัติตัว และการดูแลตนเมื่อกลับไปอยู่บ้าน
วัตถุประสงค์ : สามารถบอกการปฏิบัติตัว และดูแลตนเองเมื่อกลับไปอยู่บ้านได้ถูกต้อง
เกณฑ์การพยาบาล : มารดาสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวเมื่อไปอยู่บ้านได้ถูกต้อง
กิจกกรรมการพยาบาล
ประเมินความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวและดูแลตัวเองเมื่อกลับไปอยู่บ้าน
ให้คำแนะนำเพิ่มเติม เรื่องการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์คุณค่าอาหารครบ 5 หมู่
เช่น เนื้อ นม ไข่ พัก ผลไม้ เพื่อร่างกายแข็งแรงและส่งเสริมสุขภาพ งดเครื่องดื่ม สุรา กาแฟ และอาหารหมักดองและเน้นการรับประทานอาหารที่มีกรดโฟลิคสูง เช่น ผักใบสีเขียว ผลไม้ ต้องรับประทานสดเพราะกรดโฟลิคจะถูกทำลายโดยความร้อน
แนะนำการออกกำลังกาย สม่ำเสมอแต่ ไม่หักโหมจนเกินไป เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
งดทำงานหนักช่วง 4-8 สัปดาห์ สามารถทำงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้
งดมีเพศสัมพันธ์ 6 สัปดาห์ขึ้นไปและการคุมกำเนิด
แนะนำการทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์ที่ถูกวิธีโดยล้างจากด้านหน้าไปด้านหลัง
หลังการขับถ่ายทุกครั้งเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
แนะนำให้สังเกตอาการผิดปกติที่ต้องมาโรงพยาบาล เช่น ไข้สูง น้ำคาวปลามีสีแดงสด
หรือมีปริมาณมากขึ้น มีกลิ่นเหม็น แผลฝีเย็บแดงเป็นหนอ
แนะนำการรับประทานยาบำรุง กรดโฟลิค เพื่อป้องกันภาวะซีดตามแผนการรักษา
ผลการประเมิน :มารดาสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวเมื่อกลับไปอยู่บ้านได้
ข้อมูลลสนับสนุน
O : มารดา G1
มารดามีโอกาสได้รับอันตรายจากภาวะเลือดไม่แข็งตัวเนื่องจากทารกตายในครรภ์
วัตถุประสงค์ : เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะเลือดไม่แข็งตัว
เกณฑ์การประเมิน
Clotting time อยู่ในช่วง 8 - 12 นาที
การตั้งครรภ์สิ้นสุดภายใน 4 สัปดาห์ หลังทารกตายในครรภ์
เสียเลือดในการคลอดไม่เกิน 500 ซีซี
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินการตรวจ Clotting time ตามแผนการรักษาของแพทย์ เพื่อประเมินภาวะเลือดไม่แข็งตัว
ดูแลมารดาให้ได้รับยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก เพื่อให้การตั้งครรภ์สิ้นสุดลง
โดยพยาบาลให้การดูแลอย่างใกล้ชิดประเมินการหดรัดตัวของมดลูกตรวจภายในเพื่อประเมินความก้าวหน้าของการคลอดเป็นระยะๆ
ประเมินการสูญเสียเลือด ถ้าออกมากผิดปกติรีบรายงานแพทย์
มารดาและครอบครัวเกิดความรู้สึกสูญเสียและโศกเศร้าเนื่องจากการตายของทารกในครรภ์
วัตถุประสงค์การพยาบาล
เพื่อให้มารดาและครอบครัวลดความเครียดและความวิตกกังวล
เพื่อให้มารดาและครอบครัวเข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และช่วยให้มีการปรับตัวที่ดี
ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
เกณฑ์การประเมินผล
มารดาและครอบครัวแสดงสีหน้าและท่าทางยอมรับการตายของทารก
มารดาและครอบครัววางแผนการจัดการศพของทารก
กิจกรรมการพยาบาล
เมื่อทราบว่าทารกตายในครรภ์ ให้ข้อมูลกับทีมสุขภาพทุกคนเพื่อไม่ให้แสดงกิริยาที่ ทำให้บิดามารดาเสียใจ
อนุญาตให้บิดามารดาอยู่ด้วยกันในห้องที่เป็นสัดส่วน
อยู่กับบิดามารดา เปิดโอกาสให้ระบายความรู้สึก
จัดให้พยาบาลคนเดิมดูแลและประคับประคองจิตใจของบิดามารดา
เปิดโอกาสให้มารดาและสามีได้ซักถามปัญหาต่าง ๆ
จัดให้มารดาและสามีของทารกที่ตายแล้วอยู่ห่างจากมารดาและสามีที่มีบุตรยังมีชีวิต
ให้มารดาและสามีได้มีโอกาสจับต้องทารกในสถานที่เงียบและเป็นสัดส่วน
เคสกรณีศึกษา
สตรีตั้งครรภ์แรก GA 29 สัปดาห์ ซักประวัติ พบว่า มารดาของสตรีมีประวัติเบาหวาน
และสตรีตั้งครรภ์เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ลูกไม่ได้มา 3 วัน ตรวจครรภ์พบระดับยอดมดลูก 1/3 > SP น้ำหนักลดลง มีเลือดออกและน้ำไหลออกจากช่องคลอดสีน้ำตาลเข้ม กลิ่นเหม็น ตรวจร่างกายไม่พบการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ ไม่ได้ยินเสียง Fetal heart sound ระดับ HCG 1,000 mIU/ml แพทย์ทำ ultrasound พบ กระดูกของกะโหลกศีรษะเกยกัน และพบฟองอากาศในหลอดเลือดหัวใจของทารก เมื่อแจ้งให้มารดาทราบ มารดามีอาการเศร้าโศกเสียใจมาก ร้องไห้และขอร้องให้ช่วยชีวิตทารกในครรภ์
สาเหตุการตาย
แบ่งเป็น 3 กลุ่ม
สาเหตุจากรก
ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด
รกเกาะต่ำ
ภาวะแทรกซ้อนของสายสะดือ เช่น สายสะดือบิดพันกัน การเกาะของสายสะดือผิดปกติ
สาเหตุจากมารดา
โรคทางอายุรศาสตร์
โรคความดันโลหิตสูง
โรคเบาหวาน
ภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ มีสาเหตุมาจากการต้านฮอร์โมนอินซูลินกับความพร่องของการหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลกลูโคสเหลืออยู่ในกระแสเลือดมาก โดยในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนจากรกที่สูงขึ้นจะกระตุ้นให้เบต้าเซลล์ของตับอ่อนของหญิงตั้งครรภ์หลั่งอินซูลินมากขึ้น ส่งผลให้มีการใช้กลูโคสเพื่อสร้างเนื้อเยื่อไขมันไว้เพื่อเป็นพลังงานของร่างกาย ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง แต่เมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่สองและสาม รกจะสร้างฮอร์โมนที่ฤทธิ์ต้านการทำงานของอินซูลินได้แก่ Human placental lactogen, Prolactin, Cortisol และ Insulinase โดย Human placental lactogenจะเพิ่มมากขึ้นตามอายุครรภ์ และจะทำให้เกิดภาวะดื้อ อินซูลิน ระดับน้ำตาลในเลือดของหญิงตั้งครรภ์ก็จะสูงขึ้น และน้ำตาลในกระแสเลือดของหญิงตั้งครรภ์จะแพร่ผ่านรกไปสู่ทารกในครรภ์ แต่อินซูลินจากหญิงตั้งครรภ์ไม่สามารถผ่านรกได้ หากมารดาและทารกมีระดับน้ำตาลสูงจะทำให้ทารกเกิด hyperinsulinemia และยังทำให้การขนส่งน้ำตาลออกซิเจนผ่านสายสะดือเพิ่มขึ้น และอาจทำให้ทารกขาดอากาศ ซึ่งทารกที่มีระดับน้ำตาลสูงจะไม่สามารถทนต่อการขาดอากาศเรื้อรัง ส่งผลให้ทารกเสียชีวิตได้ อาการแสดงเมื่อทารกเสียชีวิตในครรภ์ คือ มีประวัติเด็กไม่ดิ้น น้ำหนักลด เต้านมขนาดเล็กลง มีเลือดหรือน้ำออกทางช่องคลอด
จากการตรวจร่างกาย จะไม่ได้ยินเสียงหัวใจทารก คลำการเคลื่อนไหวของทารกไม่ได้ หลังจากทารกเสียชีวิต หากมีการ Ultrasound จะพบ Spalding’s sign ซึ่งเกิดจากการซ้อนกันของกระดูกกะโหลกของทารกหลังเสียชีวิต การเห็นแก๊สในทารกพบฟองอากาศในหัวใจ หลอดเลือดใหญ่ (aorta, vena cava) สายสะดือ ตับ และในช่องท้องของทารก หลังจากทารกเสียชีวิตแล้วไม่น้อยกว่า 2-3 วัน
อายุมากกว่า 35 ปี
ภาวะทางสูติศาสตร์ เช่น ปัญหาระหว่างรอคลอด fetal distress การติดขัด เสียเลือดมาก่อนคลอด หรือระหว่างคลอด คลอดก่อนกำหนด มดลูกแตก รกลอกตัวก่อนกำหนด ตั้งครรภ์เลยกำหนด เป็นต้น
โรคททางภูมิคุ้มกัน เช่น Rh isoimmunization, SLE, Scleroderma
สาเหตุอื่นๆ เช่น ยาหรือสารเสพติด บุหรี่ เป็นต้น
สาเหตุจากทารกในครรภ์
ความผิดปกติทางโครโมโซม Monosomy X และ Trisomy 21,18 และ 13
สาเหตุอื่นๆ เช่น คลอดก่อนกำหนด ภาวะโตช้าในครรภ์ชนิดรุ่นแรง ทารกบวมน้ำ การติดเชื้อในครรภ์
ความพิการแต่กำเนิด จะมีความผิดปกติที่รุนแรงและเห็นได้ชัด เช่น neural tube defect และ complex heart disease