เครื่องมือในการสร้างชิ้นงาน

1)ไมโครมิเตอร์(Mirometer)เป็นเครื่องมือวัดขนาดชิ้นงานขนาดเล็กที่มีความแม่นยำสูง สามารถแบ่งขนาด 1 เซนติเมตรรายละเอียด 1000 เท่า หรือแบ่งขนาด 1 มิลลิเมตร ได้ 100 เท่า จึงใช้วัดความหนาของวัสดุ เช่น กระดาษหรือวัดเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นลวดได้ ไมโครมิเตอร์มีทั้งไมโครมิเตอร์วัดนอก ไมโครมิเตอร์วัดใน และไมโครมิเตอร์วัดลึก

2) เวอร์เนียร์คาลิเปอร์ (vernier Caliper)เป็นเครื่องมือวัดขนาดอย่างละเอียด ที่ใช้หลักของเวอร์เนียสเกลและปากวัด (Caliper) 2 ชุด คือชุดปากวัดใน และชุดปากวัดนอก เวอร์เนียร์คาลิเปอร์จะมีทั้งสเกลหลักและสเกลรอง (ซึ่งเรียกชื่อเฉพาะว่าเวอร์เนียสเกล) การวัดต้องจัดให้ปากวัดทั้ง 2 ขาตรงกับขอบชิ้นงานทั้งสองข้าง ทำให้สามารถอ่านสเกลวัดได้ทั้งขอบในและขอบนอกของชิ้นงาน เวอร์เนียร์คาลิเปอร์ ยังสามารถใช้วัดความลึกของชิ้นงานได้โดยใช้ก้านวัดลึก เวอร์เนียร์คาลิเปอร์ที่ใช้อยู่ทั่วไปสามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบ ดังรูป

3) ไม้บรรทัดวัดองศาหรือใบวัดมุม (Protractor)เป็นเครื่องมือวัดขนาดมุมของชิ้นงาน เป็นองศาที่มีความละเอียด ใบวัดมุมสามารถวัดมุมได้ตั้งแต่ 0 ถึง 180 องศา โดยการทำงานของไม้บรรทัด 2 อันที่วางซ้อนกันและมีปลายข้างหนึ่งติดกัน ทำให้ส่วนปลายอีกข้างสามารถปรับแขน 2 ข้างที่ทำมุม ข้างที่ทำมุมกัน ข้างที่ทำมุมกันการสั่น ข้างที่ทำมุมการกันสำหรับวัดมุมของชิ้นงาน ในขณะวัดมุมต้องกดแขนวัดมุมทั้ง 2 ข้างให้แนบกับชิ้นงานใบวัดมุมมีทั้งแบบธรรมดาและแบบดิจิตอล

1) คีม

1.2) คีมตัดปากเฉียง เป็นเครื่องมือสำหรับตัดวัสดุชิ้นเล็กที่ไม่แข็ง เช่น สายไฟ เส้นลวด นอกจากนี้ยังสามารถใช้จับหรือดัดงอวัสดุได้ บางตัวจะมีร่อง ไว้สำหรับปลอกสายไฟ

1.1)คีมปากแหเลมป็นครีมขนาดเล็กที่มีปากเล็กยาวใช้สำหรับ บีบ ดัด หรืองอวัสดุขนาดเล็กที่ไม่แข็งมาก เช่น ลวดเส้นเล็ก คีมปากยาวจะเหมาะสำหรับพื้นที่ปฏิบัติงานที่เล็กและแคบ

image

image

image

image

image

2) เลื่อยและปากกาตัด

image

image

2.1) เลื่อยรอเป็นเครื่องมือสำหรับตัดแต่งไม้ ที่มีฟันละเอียดใช้สำหรับตัดแต่งให้ผิวหน้าไม้ที่ถูกตัด ให้ผิวหน้าเรียบ หรือการเลื่อยตัดแต่งผิวหน้า ฝากไม้ระหว่างแนวต่อของการเข้าไม้ให้มีแนวต่อที่ชนกันได้สนิท

2.2) เลื่อยจิ๊กซอเป็นเลื่อยไฟฟ้าที่ใช้สำหรับตัดไม้ที่ทำงานโดยใช้ใบเลื่อย ซึ่งมีฟันละเอียดเคลื่อนที่ขึ้นลงและตัดชิ้นงานไปตามแนวที่ต้องการ สามารถใช้ตัดชิ้นงานทั้งแนวตรงและแนวโค้ง เนื่องจากใบเลื่อยมีขนาดเล็กและบาง

2.3) เลื่อยตัดเหล็กเป็นเลื่อยสำหรับตัดเหล็กหรือโลหะต่างๆ ได้โดยใช้ใบเลื่อยที่มีฟันละเอียด และมีน๊อตหางปลาไว้สำหรับขันใบเลื่อยให้แน่นและตึงก่อนใช้งาน ในการตัดชิ้นงานจะต้องไม่ใช้แรงมากหรือตัดเร็วเกินไปเพราะใบเลื่อยอาจจะหักได้

2.4) เลื่อยวงเดือนเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากในงานตัดทั้งแบบตัดตรงและตัดเฉียง ตัดซอยและเซาะร่องชิ้นงาน ฟันเลื่อยทำจากวัสดุคาร์ไบด์ ที่มีความแข็งและช่วยรักษาคม ใช้ตัดวัสดุได้หลายชนิด เช่น ไม้ พลาสติก เหล็ก อลูมิเนียม สแตนเลส โดยเลือกใช้ใบเลื่อยให้เหมาะสมกับวัสดุและลักษณะงาน


2.5) เลื่อยไฟเบอร์เป็นเครื่องมือตัดความเร็วสูงที่นิยมใช้มากทั้งในงานซ่อมและงานผลิตเกือบทุกชนิด เนื่องจากมีความสะดวกและรวดเร็ว แผ่นใบเลื่อยทำจากหินเจียจึงเหมาะสำหรับตัดโลหะต่างๆ เช่น เหล็ก ทองเหลือง ทองแดง แต่ไม่แนะนำให้ใช้เลื่อยชนิดนี้ไปเจียชิ้นงาน เพราะอาจเกิดอันตรายจากใบเลื่อยแตกได้

2.6) ปากกาตัดกระจกเป็นเครื่องมือที่มีลักษณะคล้ายปากกาแต่จะมีหัวที่ทำด้วยวัสดุที่มีองค์ประกอบของเพชรซึ่งมีความแข็งแกร่งมาก ใช้สำหรับตัดกระจกได้โดยการลากปากกาไปบนกระจกให้เกิดแนวตามที่ต้องการตัดโดยไม่ลากซ้ำ แล้วใช้มือค่อยๆแยกกระจกออกจากกันตามรอยที่เกิดขึ้น

image

image

image

image

image

image

1.3 เครื่องมือสำหรับเจาะ

สว่านมือเป็นเครื่องมือเจาะรูที่ใช้ร่วมกับดอกสว่านประเภทต่างๆ สว่านจะมีเฟืองเป็นตัวช่วยขับดอกสว่านให้หมุน ดอกสว่านเจาะเป็นตัวเจาะวัสดุแนะนำเศษวัสดุที่เกิดขึ้นออกไปจากรูเจาะ ซื้อดอกสว่านสำหรับเจาะวัสดุแต่ละประเภทมีลักษณะแตกต่างกันและใช้เฉพาะงานนั้น เช่น ดอกสว่านสำหรับเจาะไม้ เจาะเหล็ก เจาะปูน เจาะกระเบื้อง และเจาะแก้ว ถ้าใช้ดอกสว่านผิดประเภทจะทำให้ดอกสว่าน ตัวสว่านและชิ้นงานเสียหาย ตลอดจนอาจเกิดอันตรายกับผู้ใช้งานได้ สว่านมือมีทั้งแบบใช้ไฟฟ้าและแบบใช้แบตเตอรี่ (ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้สำหรับขันน๊อตไม่เหมาะกับงานเจาะ)

จากตัวอย่างสว่านมือที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ในการเลือกใช้สว่านมือและดอกสว่านต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับประเภทของงาน เพื่อความปลอดภัยและได้ชิ้นงานตามต้องการ ดอกสว่านสำหรับงานประเภทต่างๆ แสดงดังรูป

(1) แบบธรรมดา ใช้สำหรับงานเจาะวัสดุทั่วไป เช่น ไม้ เหล็ก

(2) แบบโรตารี่ มีรูปลักษณ์ภายนอกไม่แตกต่างจากแบบธรรมดา แต่จะมีกลไกพิเศษภายในสำหรับช่วยผ่อนแรง ส่วนใหญ่จึงใช้สำหรับเจาะปูน แต่สว่านโรตารี่จะต้องใช้กับดอกสว่านเฉพาะสำหรับสว่านโรตารี่เท่านั้น


image

image

ดอกสว่านสำหรับเจาะไม้

ดอกสว่านสำหรับเจาะปูน

ดอกสว่านสำหรับเจาะกระเบื้อง

ดอกสว่านสำหรับเจาะเหล็ก

image

image

image

image

ดอกสว่านสำหรับเจาะแก้ว

image

ดอกสว่านอเนกประสงค์สำหรับเจาะวัสดุได้หลายประเภท

image

2 การตัด ต่อ และขึ้นรูปวัสดุ

2.1 การตัด (cutting)

เป็นการทำให้ชิ้นงานแยกออกจากกัน จากหนึ่งส่วนเป็นสองส่วนหรือมากกว่า หรือเป็นการตัดชิ้นงานให้ได้ตามรูปแบบที่กำหนด วิธีการตัดวัสดุมีหลายวิธีและใช้เครื่องมือหลายชนิด ควรเลือกใช้ตามความเหมาะสมของวัสดุที่จะทำการตัดและการนำไปใช้ การพิจารณาเลือกใช้วิธีใดนั้นจะต้องคำนึงถึง ความหนา ความยาว รูปร่าง และรูปทรงของวัสดุ

2.2 การต่อ (Joining)

เป็นการนำวัสดุประเภทเดียวกันหรือต่างชนิดกันมาประกอบกันให้เป็นรูปร่างตามที่ต้องการ โดยใช้วัสดุหรืออุปกรณ์เป็นตัวประสาน เพื่อนำไปใช้งาน การต่อวัสดุมีหลายวิธี ควรเลือกใช้วิธีตามความเหมาะสมและคำนึงถึงประเภทของวัสดุ ดังนั้นข้อมูลที่แสดงในตารางตัวอย่างเทคนิคและเครื่องมือในการเชื่อมต่อวัสดุ

2.3 การขึ้นรูป (forming)

เป็นการเปลี่ยนรูปร่างของวัสดุให้เป็นผลิตภัณฑ์ (product) หรือชิ้นงานที่มีรูปร่างตามต้องการ โดยใช้แม่พิมพ์หรือเครื่องมือเฉพาะ เทคนิคการขึ้นรูปมีหลายประเภทขึ้นอยู่กับชนิดของวัสดุ ในที่นี้ขอยกตัวอย่างวิธีการขึ้นรูปโลหะ ดังนี้

1) การขึ้นรูปแบบร้อน (hot working)

2) การขึ้นรูปแบบเย็น (cold working)

เป็นการรีดขึ้นรูปเพื่อให้วัสดุเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างชนิดถาวรที่อุณหภูมิต่ำ ตัวอย่างเช่น การดัดงอ (bending) การอัดรีด (extruding) การบิดงอ (squeezing)

เป็นการใช้ความร้อนแก่วัสดุ ที่มีอุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิในการเกิดผลึกใหม่ (recrystallization) แต่จะต่ำหรือน้อยกว่าอุณหภูมิในการทำให้เกิดการหลอม (melting point) ของโลหะหรือวัสดุนั้นๆ ตัวอย่างเช่น การตีเหล็ก (forging) การรีดแบบร้อน (hot rolling)

image

image

ด.ช.วัฒนา แก้วจำปา