Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
พื้นฐานของนาฏศิลป์ไทย:star:, image, image, image, image, image, image,…
พื้นฐานของนาฏศิลป์ไทย:star:
ความหมายและความสำคัญของนาฏศิลป์ไทย
:<3:
นาฏศิลป์แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ
แสดงถึงอารยประเทศ
ความเจริญรุ่งเรื่องของประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ประวัติศาสตร์
ภูมิปัญญาไทย จารีต ประเพณี และ วัฒนธรรมของประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจของคนไทยตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน และถือว่าเป็นมรดกที่สำคัญของชาติ จึงควรแก่การอนุรักษ์และสืบทอดต่อไป
ความสำคัญ
นาฏศิลป์ไทยหมายถึง ศิลปะการแสดงประกอบดนตรี เช่น
ฟ้อน รำ ระบำและโขน หรือ ความรู้แบบแผนของการฟ้อนรำ
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ความเชื่อ
นิสัยใจคอขของคนในท้องถิ่นนั้นๆหรือเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วย
ความประณีต งดงาม เพื่อให้ความบันเทิง
กับโน้มน้าวอารมณ์และความรู้สึกของผู้ชมให้คล้อยตาม
โดยอาศัยการบรรเลงดนตรี และการขับร้องเข้าร่วมด้วย
ความหมาย
ประโยชน์ของนาฏศิลป์ไทย
:<3:
ประโยชน์โดยทางตรง
2.เป็นการบริหารร่างกายให้มีสุขภาพสมบูรณ์โดยเฉพาะวิชานาฏศิลป์นั้นในขณะฝึกหัด เป็นการออกกำลังกายอย่างดีเยี่ยม ได้บริหารร่างกายทุกส่วน
1.ใช้เป็นวิชาชีพ ผู้ที่ศึกษาวิชานาฏศิลป์อย่างชัดเจน
ชำนาญ สามารถยึดเป็นอาชีพได้เพราะในกิจกรรมต่างๆวิชานาฏศิลป์เข้าไปมีส่วนร่วมอยู่เสมอ
ประโยชน์ทางอ้อม
1.นาฏศิลป์ช่วยให้ผู้เรียนมีจิตใจอ่อนโยน มีสติและสมาธิที่มั่นคง ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งรอบข้าง นอกจากนั้นช่วยผ่อนคลายความเครียดได้
2.ช่วยปรับปรุงบุคลิกภาพให้งดงามยิ่งขึ้น ผู้ที่เรียนนาฏศิลป์จะมีลักษณะพิเศษเห็นได้เด่นชัด เช่น ขณะเวลานั่ง หรือ ยืนจะสง่างามเพราะได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
ที่มาของนาฏศิลป์ไทย
:<3:
ที่มาของนาฏศิลป์ไทยเข้าใจว่าเกิดจากสภาพความเป็นอยู่โดยธรรมชาติของมนุษย์โลก ที่มีความสงบสุข มีความอุดมสมบูรณ์ในทางโภชนาการ ดังนั้นที่มาของนาฏศิลป์ไทยเกิดจาก3แหล่งคือ เกิดจากเลียนแบบธรรมชาติ เกิดจากการบวงสรวง เกิดจากการรับอารยธรรมจากอินเดีย
เกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติ
กิริยาท่าทางตามธรรมชาติของมนุษย์ที่บ่งบอกความหมายและสื่อสารความหมายกับผู้อื่นควบคู่ไปกับการพูดเช่น โกรธ เสียใจ ดีใจ
เกิดจากการบวงสรวง
โดยในสมัยก่อนมนุษย์มีความเชื่อในเรื่องเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์และจะเคารพบูชาในสิ่งที่ตนนับถือจะมีการเคารพบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีการบวงสรวงบูชาด้วยการร่ายรำหรือเครื่องเซ่นไหว้เพื่อให้เทพเจ้าพอใจและประทานพรให้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนา
เกิดจากการรับอารยธรรมจากอินเดีย
ซึ่งประเทศอินเดียเป็นประเทศหนึ่งที่มีอารยธรรมเก่าแก่และเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่โบราณกาล โดยเฉพาะการละครในอินเดียรุ่งเรืองมากประกอบชนชาติอินเดียนับถือและเชื่อมั่นในศาสนา พระผู้เป็นเจ้าตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆที่ชาวอินเดียนับถือเช่นพระอิศวรที่มีตำนานเกี่ยวกับการร่ายรำที่งดงาม
ประเภทของนาฏศิลป์ไทย
:<3:
รำ
ศิลปะแห่งการร่ายรำที่มีผู้แสดงตั้งแต่
1-2 คน เช่น การรำเดี่ยว การรำคู่ การรำอาวุธ เป็นต้น มีลักษณะการแต่งกายตามรูปแบบของการแสดง ไม่เล่นเป็นเรื่องราวอาจมีบทขับร้องประกอบการรำเข้ากับทำนองเพลงดนตรี
มีกระบวนท่ารำ
ละคร
คือการแสดงเรื่องราวโดยมีตัวละครต่างดำเนินเรื่องมีผูกเหตุหรือการผูกปมของเรื่อง ละครอาจประกอบไปด้วยศิลปะหลายแขนงเช่น การรำ ร้อง หรือดนตรี
โขน
เป็นศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทยที่มีความสง่างาม อลังการและอ่อนช้อย การแสดงประเภทหนึ่งที่ใช้ท่ารำตามแบบละครใน แตกต่างเพียงท่ารำที่มีการเพิ่มตัวแสดง เปลี่ยนทำนองเพลงที่ใช้ในการดำเนินเรื่องไม่เหมือนกับละคร แสดงเป็นเรื่องราวโดยลำดับก่อนหลังเหมือนละครทุกประการ ซึ่งไม่เรียกการแสดงเหล่านี้ว่าละครแต่เรียกว่าโขนแทน ได้มีการกล่าวถึงการแสดงโขนว่า เป็นการเต้นออกท่าทาง ประกอบกับเสียงซอและเครื่องดนตรีประเภทต่าง ๆ ผู้แสดงจะสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าตนเองและถืออาวุธ
ระบำ
คือการแสดงที่มีความหมายในตัวใช้ผู้แสดงสองคนขึ้นไป คือผู้คิดได้มีวิสัยทัศน์และต้องการสื่อการแสดงชุดนั้นผ่านทางบทร้อง เพลง หรือการแต่งกายแบบ ที่มาจากแรงบัลดาลใจ จากเรื่องต่างๆ เช่นวิถีชีวิต วัฒนธรรม
การแสดงพื้นเมือง
การแสดงพื้นเมืองเป็นการแสดงที่แสดงออกถึงการสืบทอดทางศิลปะและวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่นที่สืบทอดกันต่อ ๆ มาอย่าง ช้านาน ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน การแสดงจะออกมาในรูปแบบใดนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพทางภูมิศาสตร์ สิ่งแวดล้อม อาชีพ และความจำเป็น ทางเศรษฐกิจ
ศิลปินผู้ทรงคุณค่าของนาฏศิลป์ไทย
:<3:
ท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี
ท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์ไทย ทั้งยังเป็นผู้คิดค้นท่ารำใหม่โดยยึดระเบียบแบบแผนตามประเพณีโบราณ และมีความสามารถในการประพันธ์บทโขนละคร เคยเป็นหม่อมในสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา ถือเป็นหญิงสามัญชนที่ไม่ใช่ลูกหลานขุนนางคนแรกที่ได้เป็นสะใภ้หลวง
ครูรงภักดี (เจียร จารุจรณ)
เกิดเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2442 ที่จังหวัดนครปฐม เป็นบุตรของจางวางจอน และนางพริ้ง เป็นศิลปินอาวุโสด้านนาฏศิลป์ที่มีผลงานดีเด่นเป็นที่ยอมรับในวงการนาฏศิลป์ไทยโดยทั่วไป เคยรับราชการเป็นมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เริ่มชิวิตศิลปินในกรมโขนหลวง โดยฝึกหัดเป็นตัวยักษ์ ได้รับการถ่ายถอดท่ารำจากบรรดาครู ที่สืบเนื่องจากรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นศิลปินผู้เดียวที่ได้รับการถ่ายทอดท่ารำหน้าพาทย์สูงสุด ความสามารถในการร่ายรำนี้ ทำให้ได้รับบทเป็นตัวแสดงเอก จนได้รับพระราชทินนามว่า "นายรงภักดี"