Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Case Study, จัดทำโดย วินิจตรา แซ่โง้ว - Coggle Diagram

- - - - เวียนศีรษะ ตาพร่ามัว อ่อนเพลีย
    - - 5 วันก่อนมา รพ. มีอาการเวียนศีรษะ ตาลาย คลื่นไส้ไม่อาเจียน ญาติให้ข้อมูลว่า ผู้ป่วยทานอาหารได้น้อย นอนไม่หลับ
  - - - Hb 11.0 g/dL
      - Hct 34%
      - MCHC 32.4 g/dL
    - - Negative
    - - 95 mg%
    - - 2.56 mg/dl
    - - Na 139 mmol/L(Normal)
      - K 7.2 mmol/L (High)
      - Cl 115 mmol/L (High)
      - CO2 13 mmol/L (Low)
      - Anion Gap 11 mmol/L (Low)
    - - 57 mg/dl
    - - 1.5 mmol/L (Normal)
    - - 18.36 ml/min/1.73m^2
  - - - I/O
      - Low soft, Low protein Diet
    - - U/S KUB
      - Lactulose 30 cc Oral stat
      - CXR
      - Kalimate 30gm+น้ำ 50CC Oral q 3hr 3dose stat
      - DTX
      - 7.5% NaHCO3 50 CC IV Slow push
      - UA
      - ABG, Cr, P, Alb
      - 50% glucose 50 CC IV Stat
      - RI 5 U IV stat
      - 0.9% NSS 100 cc IV drip 80 cc/hr
  - - - พบ TL Spondylosis, Small Rt chest wall calcification, Cardiomegaly, Atherosclerosis of aorta
- - - - ความผิดปกติจากการตรวจชิ้นเนื้อไต
  - - - เป็นในระยะแรก ในระยะหลัง ปัสสาวะจะลดลง ส่งผลให้บวมมากขึ้น
    - - ปัสสสวะแสบขัด บ่งบอกถึงภาวะ UTI ปัสสาวะสะดุดอาจบ่งบอกถึงภาวะ nephrolithiasis(ไตอักเสบ) / bladder stone
    - - อาจเกิดจากการมีเลือดออกใน glomerular / Nonglomerular
    - - บ่งบอกถึงภาวะ proteinuria
    - - บ่งบอกภาวะ urinary obstruction, pyelonephritis
    - - พบในผู้ป่วยโรคไตที่ serum creatinine สูงกว่า 2–3 mg/dl
    - - พบในผู้ป่วยที่เป็นโรคไตเรื้อรังระยะที่รุนแรง
  - - - 1.สังเกตความตึงตัวและความยืดหยุ่นของผิวหนัง ประเมินสัญญาณชีพจดบันทึกระดับความดันโลหิต
      - ดูแลแนะนำการจำกัดน้ำและบันทึกปริมาณน้ำเข้า - ออกจากร่างกาย การตวงปัสสาวะใน 8 ชั่วโมง
      - แนะนำการรับประทานยาขับปัสสาวะตามที่แพทย์สั่งเพื่อเพิ่มปริมาณเลือดที่มาเลี้ยงไตและน้ำส่วนเกิน
      - แนะนำให้หลีกเลี่ยงการทานยาหม้อ หรือยาลูกกลอนเพราะยาเหล่านี้อาจทำให้ระดับโพแทสเซียมในเลือดสูง
      - แนะนำการรับประทานอาหารเพื่อช่วยชะลอการเสื่อมของไต โดยเฉพาะควรงดอาหารเค็ม และ เนื้อสัตว์เนื้อแดง
      - การสังเกตอาการเปลี่ยนแปลง เช่น ซึม ระดับความรู้สึกตัวลดลง เหนื่อยหอบ กระหายน้ำกล้ามเนื้ออ่อนแรง
      - ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่การทำงานของไต, อิเลคโตรไลค์, และผล Hct.
- - - - Mild hyperkalemia (5-6 มิลลิอิควิวาเลนท์ต่อลิตร) ให้การรักษาโดยเน้นไปที่การขับโพแทสเซียมออกจากร่างกายโดยการใช้ยา furosemide และ resin
      - Moderate hyperkalemia (6-7 มิลลิอิควิวาเลนท์ต่อลิตร) ให้การรักษาโดยเน้นการเก็บโพแทสเซียมเข้าสู่เซลล์ด้วยการใช้กลูโคส ร่วมกับอินซูลิน โซเดียมไบคาร์บอเนต และยา salbutamol
      - Severe hyperkalemia (มากกว่า 7 มิลลิอิควิวาเลนท์ต่อลิตร) หรือมีการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เน้นการรักษาโดยการต้านฤทธิ์ของโพแทสเซียมที่เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจโดยใช้ยา calcium ในรูปแบบฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ร่วมกับการเก็บโพแทสเซียมเข้าสู่เซลล์และการเพิ่มการขับออกของโพแทสเซียมออกจากร่างกายให้มากที่สุด ในผู้ป่วยบางรายอาจพิจารณาใช้การฟอกเลือด เพื่อช่วยในการกำจัดโพแทสเซียมออกจากร่างกาย
  - - - เลือดมีความเป็นกรดมากขึ้น ทำให้ระดับ
        ความเข้มข้นของโพแทสเซียมในเลือดเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากร่างกายมีการนำไฮโดรเจนไอออน (H+) เข้าสู่เซลล์มากขึ้น โดยการแลกเปลี่ยนกับการขับโพแทสเซียมออกจากเซลล์มากขึ้น
    - - การกระตุ้นตัวรับชนิดเบต้า (beta-receptor) ที่เยื่อหุ้มเซลล์แล้วจึงไปกระตุ้นที่ Na+ -K ATPase pump
      - การกระตุ้นกระบวนการสลายไกลโคเจน (glycogenolysis) ส่งผลให้ระดับกลูโคสในกระแสเลือดเพิ่มขึ้นทำให้มีการหลั่งอินซูลินออกมามากขึ้น