Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ความรู้พื้นฐานนาฏศิลป์ สร้างจิตพิชิตแรงบันดาลใจ - Coggle Diagram
ความรู้พื้นฐานนาฏศิลป์
สร้างจิตพิชิตแรงบันดาลใจ
ความหมายและความสำคัญของนาฏศิลป์ไทย
นาฎศิลป์ไทย หมายถึง ศิลปะการแสดงประกอบดนตรี เช่น ฟ้อนรำ ระบำโขนหรือความรู้แบบแผนของการฟ้อนรำซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ความเชื่อนิสัยใจคอของคนในท้องถิ่นนั้นๆหรือเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วยความประณีตงดงาม เพื่อให้ความบันเทิงอันโน้มน้าวอารมณ์และความรู้สึกของผู้ชมให้คล้อยตามโดยอาศัยการบรรเลงดนตรี และการขับร้องเข้าร่วมด้วย
นาฏศิลป์แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติแสดงถึงอารยประเทศความเจริญร่งเรืองของประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ประวัติศาสตร์ ภูมิปัญญาไทย จารีตประเพณีและ วัฒนธรรมของประเทศไทยซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจของคนไทยตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบันและถือว่าเป็นมรดกที่สำคัญของชาติ จึงควรแก่การอนุรักษ์และสืบทอดต่อไป
ศิลปินผู้ทรงคุณค่า
นายหยัด ช้างทอง
ชีวประวัติ ของนายหยัด ช้างทอง
หยัด ช้างทอง เกิดเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2462 กรุงเทพฯ เป็นบุตร ของยอดและถนอม ช้างทอง หยัดเข้ารับการศึกษาที่ โรงเรียนวัดรัชดาธิษฐาน จนจบการศึกษาชั้นประถมบีที่ 4 มีจิตใจชอบการแสดงโขนจึงไม่คิดที่จะศึกษาต่อทางด้านวิชาสามัญ หยัดจึงสมัครเข้าเป็นศิษย์ของพาหัส โรหิตาจล คิลปิน โขนผู้มีชื่อเสียงหยัดได้ฝึกหัดโขนเป็นตัวยักษ์อยู่กับ พานัสจน มีความชำนาญในการแสดงโขนสามารถออกโรงแสดงได้ โดยเริ่มตั้งแต่ยักษ์ต่างเมือง จนกระทั่งแสดงเป็นยักษ์ใหญ่ คือเป็น ทศกัณฐ์ได้อย่างดี ภายหลังเข้ารับราชการในกรมศิลปากร ในปี พ.ศ.2484 หยัดได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือน วิสมัญอยู่ 3 ปี จนถึงปี 2487จึงได้รับการบรรลุเป็น ข้าราจการพลเรือนอามัญ คำแหน่งศิลปินจัตวา
ท่านผู้หญิงแผ้ว สุทธิบูรณ์
มีนามเดิมว่า แผ้ว สุทธิบูรณ์ เกิดเมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๔๕๖ เมื่ออายุ ๘ ขวบ ได้ถวายตัวในสมเด็จพระบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา และได้รับการฝึกหัดนาฏศิลป์กับครูอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิในราชสำนักเช่น เจ้าจอมมารดาวาดและเจ้าจอมมารดาเขียน ในรัชกาลที่ ๔เจ้าจอมมารดาทับทิม ในรัชกาลที่ ๕ หม่อมแย้ม ในนามสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ หม่อมอึ่งในสมเด็จพระบัณฑูรฯ จนมีความรู้ความสามารถออกแสดงละครเป็นตัวเอกในโอกาสที่แสดงถวายทอดพระเนตรหน้าพระที่นั่งในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว หลายครั้งท่านแสดงเป็นอิเหนาและนาตรสาในเรื่องอิเหนา เป็นพระพิราพและทศกัณฑ์ในเรื่องรามเกียรติ์ทางด้านการศึกษาวิชาสามัญท่านจบหลักสูตรจากโรงเรียนในวังสวนกุหลาบในรัชสมัยพระมหาธีรราชเจ้า
ประเภทของนาฏศิลป์
ระบำ : ศิลปะการร่ายรำที่แสดงพร้อมกันเป็นหมู่ไม่ดำเนินเรื่องราว ใช้เพลงบรรเลงอาจมีเนื้อร้องหรือไม่มีเนื้อร้องก็ได้ เน้นการแปรแถวในลักษณะต่างๆอย่างมีระเบียบงดงามและเน้นความพร้อมเพียงเป็นหลักเช่น ระบำชุมนุมเผ่าไทย ระบำโบราณคดี ระบำนกสามหมู่ ระบำเชียงแสน ระบำสุโขทัย ระบำทวารวดี
การแสดงพื้นเมือง : เป็นการแสดงที่แสดงออก ถึงการสืบทอดทางศิลปะและวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่นที่สืบทอดกันต่อต่อมาอย่างช้านานตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน การแสดงจะออกมาในรูปแบบใดนั้นขึ้นอยู่กับสภาพทางภูมิศาสตร์สิ่งแวดล้อมอาชีพและความจำเป็นทางเศรษฐกิจตลอดจนอุปนิสัยของประชาชนในท้องถิ่นจึงทำให้เกิดการแสดงพื้นเมืองมีลีลาท่าทางที่แตกต่างกันออกไปแต่ก็มีจุดมุ่งหมายอย่างเดียวกันคือเพื่อความสนุกสนานได้เลยและพักผ่อนหย่อนใจซึ่งมีความแตกต่างกันตามภูมิภาค
ละคร : ละคร หมายถึง มหรสพอย่างหนึ่งที่แสดงเป็นเรื่องราวโดยนำภาพจากประสบการณ์และจินตนาการของมนุษย์มาผูกเป็นเรื่องมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงอารมณ์ความรู้สึกก่อให้เกิดความบันเทิงและความสนุกสนานเพลิดเพลินโดยมีนักแสดงเป็นผู้สื่อความหมายและเรื่องราวต่อผู้ชมตั้งแตให้เกิดความบันเทิงและความสนุกสนานเพลิดเพลินโดยมีนักแสดงเป็นผู้สื่อความหมายและเรื่องราวต่อผู้ชม
รำ: รำ หมายถึง การแสดงท่าทางการเคลื่อนไหวร่างกายประกอบจังหวะเพลงร้องหรือเพลงบรรเลงจะเป็นศิลปะการรำเดี่ยว รำคู่ รำประกอบเพลง รำอาวุธ รำทำบท หรือ รำใช้บท โดยเน้นท่วงท่าลีลาการร่ายรำที่งดงามเช่น รำสีนวลทรำฉุยฉายเป็นต้น
โขน : โขนหมายถึงศิลปะการแสดงนาฏศิลป์ของไทยรูปแบบหนึ่งอากับกิริยาของตัวละครจะมีทั้งการรำและการเต้นที่ออกท่าทางเข้ากับดนตรีนักแสดงจะถูกสมมติให้เป็นตัวยักษ์ตัวลิงมนุษย์เทวดาโดยการสวมหน้ากากหรือเรียกว่าหัวโขน ส่วนนักแสดงเป็นมนุษย์และเทวดาจะไม่สวมหัวโขนการแต่งกายแต่งยืนเครื่องครบถ้วน ตามลักษณะของยักษ์ลิงมนุษย์นักแสดงไม่ต้องร้องหรือเจรจาเองเพราะจะมีผู้พากย์เจรจาขับร้องแทน
ที่มาของนาฏศิลป์
ที่มาของนาฎศิลป์ไทยเข้าใจว่าเกิดจากสภาพความเป็นอยู่โดยธรรมชาติของมนุษย์โลก ที่มีความสงบสุขมีความอุดมสมบูรณ์ในทางโภชนาหารมีความพร้อมในการแสดงความยินดีจึงปรากฏออกมาในรูปแบบของการแสดงอาการที่บ่งบอกถึงความกำหนัดรู้ดังนั้นเมื่อประมวลที่นักวิชาการเทียบอ้างตามแนวคิดและทฤษฎีจึงพบว่าที่มาของนาฎศิลป์ไทยเกิดจากแหล่ง 3 แหล่ง คือเกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติ เกิดจากการเช่นสรวงบูชาและเกิดจากการรับอารยะธรรมของประเทศอินเดีย
เกิดจากระบวนการทางธรรมชาติ
เกิดตามพัฒนาการของความเป็นมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มชน ซึ่งพอประมวลความแบ่งเป็นชั้น ได้ ๓ ชั้น ดังนี้ ขั้นต้นเกิดแต่วิสัยสัตว์ เมื่อเวทนาเสวยอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นสุขเวทนา หรือทุกข์เวทนาก็ตาม ถ้าอารมณ์แรงกล้าไม่กลั้นไว้ได้ ก็แสดงออกมาให้เห็นปรากฏ เช่น เด็กทารกเมื่อพอใจ ก็หัวเราะตบมือกระโดดโลดเต้น เมื่อไม่พอใจก็ร้องไห้ ดิ้นรน ขั้นต่อมา เมื่อคนรู้ความหมายของกิริยาท่าทางมากขึ้นก็ใช้กิริยาเหล่านั้สเป็นภาษาสื่อความหมาย ให้ผู้อื่นรู้ความรู้สึกและความประสงค์ เช่นต้องการแสดงความเสน่หาก็ยิ้มแย้ม กรุ้มกริ่มชมอยชม้ายชายตา หรือโกรธเคืองก็ทำหน้าตาทมึงทึง กระทืบ กระแทก เป็นต้น ต่อมาอีกขึ้นหนึ่งนั้น เมื่อเกิปรากฏการณ์ตามที่กล่าวในขั้นที่ ๑ และขั้นที่ ๒แล้วมีผู้ฉลาดเลือกเอากิรียาท่าทาง ซึ่งแสดงอารมณ์ต่างๆ นั้นมาเรียบเรียงสอดคล้องติดต่อกันเป็นขบวนฟ้อนรำให้เห็นงาม
เกิดจากการเซ่นสรวงบูชา
กระบวนการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อของกลุ่มชน ซึ่งพบว่าการเช่นสรวงบูชามนุษย์แต่โบราณมามีความเชื่อถือในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงมีการบูชา เช่นสรวงเพื่อขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทานพรให้ตนสมปรารถนาหรือขอให้ขจัดปิดเป่าสิ่งที่ตนไม่ปรารถนาให้สิ้นไป การบูชามีวิธีการตามแต่จะยึดถือมักถวายสิ่งที่ตนเห็นว่าดีหรือที่ตนพอใจ เช่น ข้าวปลาอาหาร ขนมหวาน ผลไม้ ตอกไม้ จนถึง การขับร้อง ฟ้อนรำ เพื่อให้สิ่งที่คนเคารพบูชานั้นพอใจต่อมามีการฟ้อนรำบำเรอกษัตริย์ด้วย ถือว่าเป็นสมมุติเทพที่ช่วยบำบัตทุกข์บำรุงสุขให้มีการฟ้อนรำรับขวัญขุนศึกนักรบผู้กล้าหาญ ที่มีชัยในการสงครามปราบข้าศึกศัตรูต่อมาการฟ้อนรำก็คลายความศักดิ์สิทธิ์ลงมากลายเป็นการฟ้อนรำเพื่อความบันเทิงของคนทั่วไป
การรับอารยธรรมของอินเดีย
อิทธิพลของประเทศเพื่อนบ้านจากประวัติศาสตร์ของประเทศที่ยาวนานว่าเมืองไทยมาอยู่ในสุวรรณภูมิใหม่ๆ นั้น มีชนชาติมอญและชาติขอมเจริณรุ่งเรืองอยู่ก่อนแล้ว ชาติทั้งสองนั้นได้รับอารยะธรรมของอินเดียไว้มากมายเป็นเวลานานเมื่อไทยมาอยู่ในระหว่างชนชาติทั้งสองนี้ ก็มีการติดต่อกันอย่างใกล้ชิดไทยจึงพลอยได้รับอารยะธรรมอินเดียไว้หลายด้าน เช่น ภาษา ประเพณีตลอดจนศิลปะการแสดง ได้แก่ ระบำ ละครและโขนซึ่งเป็นนาฏศิลป์มาตรฐานที่สวยงามดังปรากฏให้เห็นนี้เองนอกจากนี้แล้วการสร้างนาฎศิลปิไทยของเรานี้อาจด้วยสาเหตุหลายประการ
ประโยชน์ทางนาฏศิลป์
ประโยชน์ทางตรง
ใช้เป็นวิชาชีพ ผู้ที่ศึกษาวิชานาฏศิลป์อย่างชัดเจน ชำนิชำนาญสามารถยึดเป็นอาชีพได้เพราะในกิจกรรมต่าง ๆวิชานาฎศิลป์เข้าไปมีส่วนร่วมอยู่เสมอ
เป็นการบริหารร่างกายให้มีสุขภาพสมบูรณ์โดยเฉพาะวิชานาฎศิลป์นั้นในขณะฝึกหัดนัยว่าเป็นการออกกำลังกายอย่างดีเยี่ยม ได้บริหารร่างกายทั่วทุกส่วน
ประโยชน์ทางอ้อม
นาฏศิลป์ช่วยุให้ผู้เรียนมีจิตใจอ่อนโยน มี สติและมีสมาธิที่ มั่นคงไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งรอบข้างซึ่งทำให้ผู้นั้นมีความสามารถในขณะปฏิบัติงานต่าง ๆ ได้ผลมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นนอกจากนั้นช่วยผ่อนคลายและความเครียดของจิตใจ ดังจะเห็นได้ว่า
ศิลปินในแขนงนี้มีอายุยืนยาวสุขภาพดีเป็นส่วนมาก
ช่วยปรับปรุงบุคลิกภาพให้งดงามยิ่งขึ้น
ผู้ที่เรียนนาฎศิลปัจะมีลักษณะพิเศษเห็นได้เด่นชัด อาทิ ขณะเวลานั่ง หรือ ยืน จะสง่างามเพราะได้รับการฝึกฝนวิธีการนั่งยืนมาเป็นอย่างดีในขณะเดียวกันเป็นผู้ที่รู้จักควบคุมอารมณ์ไม่ตื่นตระหนัก และกล้าที่จะแสดงออก สิ่งต่าง ๆเหล่านี้เป็นผลจากประสบการณ์ในการแสดงทั้งสิ้น