Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การแสดงพื้นบ้านเอเชีย 4 ประเทศ (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย), อินเดียยย,…
การแสดงพื้นบ้านเอเชีย 4 ประเทศ (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย)
ประเทศญี่ปุ่น
(ละครโน)
ลักษณะการแสดง
ใช้นักแสดงเป็นผู้ชายทั้งหมด ประกอบด้วยดนตรีที่มีความสลับซับซ้อนเกินจะคาดเดา และฉากรูปต้นไม้แบบเรียบง่าย การแสดงท่าทางต่างๆ ล้วนมีความหมายต่อบทบาท อารมณ์ และบุคลิกของตัวละครทั้งสิ้น ในการแสดง ตัวละครจะเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ และมักแสดงให้เห็นถึงแนวรูปเรขาคณิตอย่างชัดเจน
เป็นศิลปะการแสดงนาฏกรรมญี่ปุ่นดั้งเดิมแขนงใหญ่ที่แสดงมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 พัฒนาโดย คันอามิ คิโยสึกุ และบุตรชายของเขา เซอามิ โมโตกิโยะ ละครโนเป็นศิลปะการแสดงที่เก่าแก่ที่สุดและยังคงสืบทอดต่อกันมาจวบจนถึงทุกวันนี้
ประวัติความเป็นมา
มี 2 ทฤษฎ๊
ประเทศญี่ปุ่นได้รับซังงากุมาจากประเทศจีนในศตวรรษที่ 8 ซึ่ง ณ ขณะนั้น หมายถึงการแสดงหลากหลายประเภทที่มีทั้งกายกรรม ดนตรี และการเต้นรำประกอบอยู่ ถูกวิวัฒนาการมาเป็นละครโนและเคียวเง็น
สันนิษฐานว่าละครโนมีต้นกำเนิดจากผู้ไร้วรรณะที่พยายามยกสถานะทางสังคมของตนให้สูงขึ้นด้วยการมอบความบันเทิงแก่ผู้ที่มีอำนาจในขณะนั้น
องค์ประกอบการแสดง
หน้ากาก
เวที
เครื่องแต่งกาย
อุปกรณ์การแสดง
การขับร้องและดนตรี
ประเทศจีน
:
ประวัติความเป็นมา
ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีอารยธรรมยาวนานที่สุดประเทศหนึ่ง โดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สามารถค้นคว้าได้บ่งชี้ว่าอารยธรรมจีนมีอายุถึง 5,000 ปี
เครื่องแต่งกาย
Link Title
เป็นเครื่องแต่งกายสำหรับสตรีชาวจีน มีลักษณะเหมือนเสื้อ มีชายเสื้อยาวปกคลุมท่อนขา ขนาดพอดีตัว ด้านข้างมีตะเข็บผ่าเพื่อให้ก้าวขาได้สะดวก รูปแบบของฉีผาวในปัจจุบัน ได้รับการปรับปรุงในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1920 ในเมืองเซี่ยงไฮ้ ให้มีรูปทรงแนบกับสรีระ เพื่อเน้นทรวดทรงของผู้สวมใส่ เป็นแฟชั่นที่นิยมในสังคมคนชั้นสูงของจีนในช่วงปลายราชวงศ์ชิง จนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง [1] มีการดัดแปลงให้ชายฉีผาวสั้นลง ปรับปรุงแบบคอปก และเนื้อผ้าแบบต่างๆ)
เครื่องดนตรี
พิณหลิวเป็นเครื่องดนตรีประเภทพิณชนิดหนึ่ง เนื่องจากทำขึ้นด้วยไม้ต้นหลิว และมีสัญฐานคล้ายๆกับใบไม้หลิว จึงได้รับชื่อเรียกว่าพิณหลิวหรือ”พิณใบไม้หลิว” สัญฐานและโครงสร้างของพิณหลิวเหมือนกับพิณโบราณของจีนมาก แรกเริมเดิมที พิณหลิวมีโครงสร้างที่ไม่สลับซับซ้อน และมีสัญฐานเชยๆแบบพื้นเมือง ชาวบ้านจีนจึงเรียกว่า”ถู่ผีปะ”แปลว่า”พิณชาวบ้าน” พิณชาวบ้านชนิดนี้เผยแพร่ใช้ในแถบมณฑลซันตง อันฮุยและเจียงซู เป็นเครื่องดนตรีบรรเลงประกอบของละครงิ้วท้องถิ่น
ซอปั่นหูมีชื่ออื่นว่า”ปังหู” “ฉินหู”เป็น เกิดขึ้นจากพื้นฐานของขิมหูฉินพร้อมๆกับการพัฒนาของละครงิ้วท้องถิ่น”ปังจื่อเชียง” : เมื่อเทียบกับขิมหูฉินชนิดอื่นๆของจีน ลักษณะเด่นของซอปั่นหูก็คือมีเสียงดังกังวานและเสียงใส เหมาะสำหรับแสดงอารมณ์ความรู้สึกตื่นเต้น รุนแรงและเข้มแข็งมีพลัง ขณะเดียวกันซอปั่นหูก็สามารถบรรเลงท่วงทำนองที่ไพเราะและละเอียดด้วย
ซอปั่นหูมีประวัตินานกว่า 300 ปี โดยที่กล่องซอทำขึ้นด้วยการยึดแผ่นไม้บางๆหลายแผ่นติดกัน จึงได้ชื่อเป็นซอปั่นหู(ปั่นแปลว่าไม้้แผ่น)
ประเทศอินเดีย
ภารตะนาฏยัม
ลักษณะการแสดง
ผู้แสดงต้องได้รับการฝึกฝนอย่างมีแบบแผน ด้วยระยะเวลายาวนานจนมีฝีมือยอดเยี่ยม สามารถเครื่องไหวร่างกายได้สอดคล้องกับจังหวะดนตรีและเนื้อหาสาระของการแสดง สะท้อนสัจธรรมที่ปลูกฝังยึดมั่นในคำสอนของศาสนา แสดงได้ทุกสถานที่ ไม่เน้นเวที ฉาก เพราะความโดดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของภารตะนาฏยัม คือลีลาการเต้น และการร่ายรำ
เครื่องแต่งกาย
ในยุคโบราณ จากหลักฐานที่ปรากฏตามรูปปั้น รูปแกะสลัก ไม่สวมเสื้อ สวมแต่ผ้านุ่งยาวแค่เข่า ใส่เครื่องประดับ สร้อยคอ ต่างหู กำไล ข้อมือ ข้อเท้า ต้นแขน และเครื่องประดับศีรษะ ปัจจุบันสวมเสื้อยึดตามหลักการแต่งกายของสตรีที่เป็นชุดประจำชาติของอินเดีย
เครื่องดนตรี
ในวงดนตรีจะมีผู้ขับร้อง 2 คน คนหนึ่งจะตีฉิ่ง คอยให้จังหวะแก่ผู้เต้น อีกคนจะเป็นผู้ขับร้องและตีกลองเป็นหัวใจสำคัญของการแสดงภารตะนาฏยัม ส่วนเครื่องดีด และเครื่องเป่า เช่น ขลุ่ย เป็นเพียงส่วนประกอบให้เกิดความไพเราะเท่านั้น
ประวัติความเป็นมา
เป็นนาฏศิลป์ที่เก่าแก่ที่สุดในอินเดีย มีส่วนสำคัญในพิธีของศาสนาฮินดูสมัยโบราณ สตรีฮินดูจะถวายตัวรับใช้ศาสนาเป็น “เทวทาสี” ร่ายรำขับร้อง บูชาเทพในเทวาลัย ซึ่งจะเริ่มฝึกตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ศึกษาพระเวท วรรณกรรม ดนตรี การขับร้องของเทวทาสีเปรียบประดุจนางอัปสรที่ทำหน้าที่ร่ายรำบนสวรรค์
ประเทศเกาหลี
ประวัติความเป็นมา
นาฏศิลป์เกาหลีในสมัยโบราณใช้แสดงในพิธีทางศาสนา วิวัฒนาการของนาฏศิลป์เกาหลีก็ทำนองเดียวกับของชาติอื่น มักจะเริ่มและดัดแปลงให้เป็นระบำปลุกใจในสงคราม เพื่อให้กำลังใจแก่นักรบ หรือเป็นการร้องรำทำเพลงในหมู่ชนชั้น
นาฎศิลป์ในประเทศเกาหลี
ศิลปะการร่ายรำแบบเกาหลีแบ่งออกเป็น 2 ประเภทเช่นเดียวกับดนตรี คือ แบบราชสำนักและแบบพื้นบ้าน ในแบบฉบับของราช สำนักนั้น ท่าทางของการรำจะช้าและสง่างาม ซึ่งสะท้อนปรัชญาของการเดินสายกลางและการระงับอารมณ์ความรู้สึก เป็นอิทธิพลมาจากปรัชญาขงจื้อ
ในทางตรงกันข้าม ระบำพื้นบ้านซึ่งสะท้อนชีวิตการทำงานและศาสนาของสามัญชนจะใช้จังหวะและทำนอง ที่สนุกสนาน เป็นลักษณะของการแสดงออกที่เป็นอิสระและมีชีวิตชีวาของคนเกาหลี เช่น ระบำของชาวนาชาวไร่ ระบำหน้ากาก และการร่ายรำทางไสยศาสตร์