Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หญิงตั้งครรภ์ อายุ 25 ปี GA 39+4 wks. G1P0A0 - Coggle Diagram
หญิงตั้งครรภ์ อายุ 25 ปี GA 39+4 wks. G1P0A0
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
VDRL = non-reactive
Urien sugar = Negative
HIV = Negative
Blood group = A rh+
DCIP = Negative
HBsAg = Negative
MCV= 82.2 fl
(1/4/67) HCT=36%
HGB = 12.4 g/dl
VDRL=Non-reactive
(9/11/66) HCT = 36.7%
HIV= Negative
11 แบบแผนกอร์ดอน
6.สติปัญญาและการรับรู้
การรับความรู้สึกทางประสาทสัมผัสและการตอบสนองอาการเจ็บปวด และการแก้ไข หญิงตั้งครรภ์ให้ข้อมูลว่ามีอาการปวดเมื่อยเท้าเวลายืนนานๆ
โดยจะนั่งหรือให้สามีนวดที่ปวด
หญิงตั้งครรภ์สามารถรับรู้วันเวลาสถานที่ได้สามารถพูดคุยถามตอบได้รู้เรื่อง ถามตอบได้เมื่อให้คำแนะนำสามารถเข้าใจได้ถูกต้อง การรับความรู้สึกทางประสาทสัมผัสและการตอบสนองระดับความรู้สึกตัว ระดับความรู้สึกตัว E4 V5 M6 ถามตอบรู้เรื่องปฏิกิริยาสะท้อน (Reflrexes)มีปฏิกิริยาต่อความรู้สึกปกติ เช่น เจ็บปวด เย็น ร้อน ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ปกติ
7.การรับรู้ตนเองและอัตมโนทัศน์
หญิงตั้งครรภ์ให้ข้อมูลว่าตนรับรู้ในการเปลี่ยนของร่างกาย เมื่อตั้งครรภ์ก็จะทำให้ท้องมีขนาดใหญ่ขึ้น ร่างกายอ้วนขึ้น แต่ไม่มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับรูปลักษณ์ รู้สึกภูมิใจที่หน้าท้องไม่มีรอยแตกลาย ในด้านของสามีก็ไม่ได้มีความคิดที่เปลี่ยนไปเพราะรูปร่างและผิวพรรณของภรรยาเปลี่ยนแปลง
5.การพักผ่อนนอนหลับ
มีสีหน้าสดชื่น ไม่มีสีหน้าอ่อนเพลีย แต่พบขอบตาคล้ำดำ ไม่มีอาการง่วงซึมขณะพูดคุย
เข้านอน 4 ทุ่ม ตื่น 9 โมงเช้า ส่วนใหญ่จะนอนไม่ค่อยหลับ จะหลับๆ ตื่นๆ เนื่องจากปัสสาวะบ่อยในเวลากลางคืนทำให้ตื่นมาปัสสาวะบ่อย พอจะหลับอีกทีก็ต้องใช้เวลานาน ส่วนใหญ่จะใช้เวลาในกลางวันนอนพักผ่อนหลังจากทานมื้ออาหาร วันละ 2-3 ชม.
8.การปรับตัวบทบาทและสัมพันธภาพ
หญิงตั้งครรภ์ให้ข้อมูลว่าขณะอยู่บ้านสามีและมารดา จะคอยดูแลตนเองอยู่ตลอด ทั้งเรื่องการกิน สัมพันธภาพในครอบครัวรักใคร่กัน มีการดูแลเอาใจใส่ และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และหลังคลอดได้วางแผนไว้ว่าจะให้แม่ของด้านผู้ป่วยมาช่วยดูแลส่วนสามีจะทำงานและหลังคลอดได้วางแผนไว้ว่าจะให้แม่ของด้านผู้ป่วยมาช่วยดูแลส่วนสามีจะทำงานหาเงินในด้านของตัวหญิงตั้งครรภ์ได้บอกว่าหากดูแลได้ประมาณ 3 เดือนแล้วจะกลับไปทำงาน และคอยกลับมาเลี้ยงลูกในตอนเย็น ทำ ก็จะให้แม่ตนเองเป็นผู้เลี้ยงดูบุตร
4.กิจกรรมและการออกกำลังกาย
การออกกำลังกาย :
หญิงตั้งครรภ์มีการออกกำลังด้วยการเดินรอบบ้านเป็นเวลา 5-15 นาที/วันจะไม่ออกกำลังกายหนัก เพราะกลัวมีผลกระทบต่อทารกในครรภ์
9.เพศและการเจริญพันธุ์
หญิงตั้งครรภ์ มีประจำเดือนครั้งแรกอายุ 12 ปี ระยะเวลามาประจำเดือน 4-5 วัน โดยมีรอบประจำเดือน 26 วัน มีอาการปวดท้องขณะมีประจำเดือน ประจำเดือนมาสม่ำเสมอไม่เคยมีปัญหาเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ ในขณะตั้งครรภ์ได้ปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์เพราะกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อลูกในท้อง ในด้านของสามีก็ไม่ได้มีปัญหาในเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์สามีของตนเข้าใจว่ากลัวจะเป็นอันตรายต่อบุตรในท้อง
การตรวจร่างกาย
เต้านม : เต้านมทั้งสองข้างสมมาตรกันทั้ง2 ข้าง ไม่พบลักษณะผิดปกติของหัวเช่น สั้น,บอด,แบน,บุ๋ม คลำไม่พบก้อน ลานมสีน้ำตาล หัวนมไม่มี discharge ซึมออกมา ไม่มีการคัดตึงเต้านม
การตรวจ หน้าท้อง ระดับยอดมดลูก 3/4 > 0 ลูกดิ้นดี ทารกอยู่ในท่า OL/HF ฟัง FHS:146 ครั้ง/นาที
อวัยวะเพศ : อวัยวะเพศปกติ ไม่มีอาการบวมแดง
3.การขับถ่าย :
ปัสสาวะในระยะตั้งครรภ์
ถ่ายปัสสาวะ 10 ครั้ง/วัน ไม่มีปัสสาวะแสบขัด ไม่มีตะกอน
กลางวัน 4 ครั้ง กลางคืน 6 ครั้ง
การถ่ายอุจจาระ 2 ครั้ง/วัน การขับถ่ายปกติ ไม่มีถ่ายเหลว ไม่มีอาการท้องผูก
10.การปรับตัวและความทนทานต่อความเครียด
หญิงตั้งครรภ์ให้ข้อมูลขณะตั้งครรภ์
มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการคลอดบุตรกลัวว่าตนเองจะคลอดเองไม่ได้เนื่องจากเป็นท้องแรกไม่รู้จะต้องทำอย่างไร เนื่องจากตนเองเล่นโซเชียลเยอะและทำให้เนื่องจากตนเองเล่นโซเชียลเยอะและทำให้เห็นข่าวที่คลอดลูกยากทำให้ตนเองกลัวว่าจะคลอดยากเหมือนกัน
ขณะให้ข้อมูล มีสีหน้าวิตกกังวลเล็กน้อยเมื่อพูดถึงการคลอดของตนเอง
2.อาหารและการและการเผาผลาญสารอาหาร
ก่อนตั้งครรภ์ : รับประทานวันละ 3 มื้อคือ เช้า เที่ยง และเย็น สามารถรับประทานอาหารได้ทุกรสชาติ จะไม่ชอบกินของหวาน ดื่มน้ำ วันละ 7-8 แก้ว
อาการคลื่นไส้ อาเจียน
หญิงตั้งครั้งรภ์ให้ข้อมูลว่า เมื่ออายุครบ 12 สัปดาห์ ตนเองมีอาการคลื่นไส้
อาเจียน ซึ่งจะจัดการด้วย กินอาหารครั้งละน้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง
การตรวจร่างกาย
น้ำหนักก่อนครรภ์ น้ำหนัก40 กิโลกรัม
BMI: 17.78 kg/m2 อยู่ในเกณฑ์น้ำหนักน้อย
ขณะตั้งครรภ์ น้ำหนัก 54.2 กิโลกรัม
BMI: 24.09 kg/m2 อยู่ในเกณฑ์อ้วนระดับ 1
11.คุณค่าและความเชื่อ
ขณะตั้งครรภ์มีความเชื่อเกี่ยวกับการรักษาในแพทย์ปัจจุบันมักจะเชื่อฟังคำสั่งของแพทย์พยาบาล เพื่อส่งผลต่อทารก และเชื่อว่าการกินอาหารที่บำรุงจะช่วยให้เด็กมีสุขภาพแข็งแรง
ความเชื่อในระยะคลอด ติดเข็มกลัดที่ขุดบริเวณสะดือเพราะเชื่อว่าเป็นการแสดงออกถึงการตั้งครรภ์ และป้องกันสิ่งที่มองไม่เห็นเข้ามาทำ และป้องกันสิ่งที่มองไม่เห็นเข้ามาทำอันตรายในขณะตั้งครรภ์มีความเชื่อในเรื่องของอาหารโดยไม่กินอาหารแสลงอย่างเช่นของหมัก ดอง ดิบ
การรับรู้สุขภาพและการดูแลสุขภาพ
ความรู้เกี่ยวกับการรักษาพยาบาล
หญิงตั้งครรภ์ให้ข้อมูลว่าตนรับรู้ว่าตนเองได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และมาตามนัดทุกครั้งและมีการค่อยนับลูกดิ้น และจดบันทึกเป็นประจำ
ความรู้เกี่ยวกับการดูแลตนเอง
หญิงตั้งครรภ์ให้ข้อมูลว่าตนรับรู้ว่าตั้งครรภ์ รู้สึกตื่นเต้น รู้สึกดีใจและมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ในครั้งนี้เนื่องจากเป็นครั้งแรก กลัวว่าตนเองจะคลอดเองไม่ได้ เนื่องจาก ตนเองได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ดูแลสุขภาพตนเองโดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อบำรุงทารกในครรภ์
พฤติกรรมเสี่ยง
รับประทานยาบำรุงขณะตั้งครรภ์ไม่สม่ำเสมอ เนื่องจาก ลืมรับประทานในบ้างครั้งเพราะทำงานยุ่งจนลืม แต่ไม่เคยขาดต่อเนื่องนานกว่า 1 วัน
ข้อมูลส่วนตัวของหญิงตั้งครรภ์
ประวัติการเจ็บป่วย
ปฏิเสธโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมและโรคติดต่อของบุคคลในครอบครัว
G1P0A0 ท้องแรกไม่เคยผ่านการคลอด
ประวัติการตั้งครรภ์ปัจจุบัน
วันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย 5 สิงหาคม 2566
กำหนดวันคลอด 11 พฤษภาคม 2567
Gravidaty 1 Parity 0 Abortion 0
ทารกในครรภ์เริ่มดิ้น อายุครรภ์ประมาณ 20 สัปดาห์
ประวัติการตั้งครรภ์และการคลอด
Gravidaty 1 Parity 0 Abortion 0
ประวัติการมีประจําเดือน
มีประจำเดือนครั้งแรกเมื่ออายุ 12 ปี
รอบของการมีประจำเดือน 26 วัน
ระยะที่มีเลือดประจำเดือน 4-5 วัน
อาการผิดปกติขณะตั้งครรภ์
ปวดหลัง (อายุครรภ์ 36 สัปดาห์)
แนวทางการแก้ไข เปลี่ยนท่านั่งบ่อย ๆ
บวม (อายุครรภ์ 37 สัปดาห์)
แนวทางการแก้ไข แช่น้ำอุ่น สามีนวดเท้าให้
คลื่นไส้อาเจียน (อายุครรภ์ 12 สัปดาห์) แนวทางการแก้ไข กินข้าวเป็นมื้อน้อย แต่บ่อยครั้ง
การตรวจร่างกาย
face:
ใบหน้าทั้ง 2 ข้าง สมมาตรกัน ไม่พบรอยโรค ไม่พบฝ้า ไม่มีผื่นคันบริเวณใบหน้า ไม่มีอาการบวม กดไม่เจ็บ
eye:
ตาทั้ง 2ข้างอยู่ในระดับเดียวกัน หางตาทั้งสองข้างอุยู่ในระดับใบหูทั้ง 2
ตาทั้ง 2 สามารถมองเห็นได้ชัดเจนในระยะปกติ ไม่มีตาพร่ามัว เยื่อบุตาไม่ซีด เปลือกตาไม่บวมแดง สามารถกลอกตาไปมาได้
Ear :
ใบหูทั้งสองข้างได้ยินชัดเจนปกติ ใบหูสะอาด กดไม่เจ็บ ไม่มี discharge ไหลออกจากใบหูทั้งสองข้าง
คลำไม่พบก้อนบริเวณใบหูทั้งสองข้าง
Mouth (lips, gumteeth, tongue, plalate,tonsil, pharynx):
ริมฝีปากไม่แห้งแตก ไม่มีแผลบูริเวณมุมปาก เหงือกสีชมพูไม่บวม ไม่มีอาการอักเสบ ไม่พบฝันพุ
ลิ้นไม่มีแผลไม่แตก รับรสได้ดี ไม่มีน้ำลายออกมากกว่าปกติ (Ptyalism) ต่อมทอนชิลไม่บวมโต ไม่มีปัญหาการกลืน
Axillary :
คลำไม่พบก้อนบริเวณรักแร้ทั้ง 2 ข้าง
ไม่พบต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้โต กดไม่เจ็บ
Neck (neck vein, thyroid gland, lympnodetrachea):
ลำคอตรงปกติ (No torticollis) การเคลื่อนไหวปกติ ไม่พบคอแข็งหลอดลมตั้งตรง ไม่เอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง ตรวจไม่พบการโป่งพองของเส้นเลือดดำ (Jugular vein distention)
คลำไม่พบก้อนบวม ไม่มีต่อมน้ำเหลืองโต (Lymphadenopathy) ไม่พบการอักเสบไม่มีต่อมไทรอยด์โต (Goiter)
Breast :
เต้านมทั้งสองข้างสมมาตรกัน ไม่พบลักษณะผิดปกติของหัวนม เช่น หัวนมสั้น(short nipple), หัวนมบอด (flat nipple), หัวนมบุ๋ม (inverted nipple)
เต้านมขยายใหญ่ขึ้น ลานนมสีน้ำตาล หัวนมไม่มี discharge ซึม
ไม่พบหัวนมแตกหรือเป็นรอยแยก (Cracked หรือ fissue)
Head :
ศีรษะสมมาตรกับลำตัว ไม่มีการบิดเบี้ยวหรือบวม คลำไม่พบก้อน กดไม่เจ็บ ไม่พบรอยแตกร้าวของกะโหลกศีรษะ หนังศรีษะไม่มีรังแค ผมยาวสีดำกระจายตัวสม่ำเสมอ ไม่แห้งหยาบกร้าน
Chest and lung:
ทรวงอกสมมาตรกันทั้งสองข้างการเคลื่อนไหวของทรวงอกสัมพันธ์กับการหายใจ อัตราการหายใจ 20 bpm
Skin :
ผิวหนังสีแทน สะอาด มีความยืนหยุ่นดี ชุ่มชื่นดี ไม่แห้งกร้าน ความตึงตัวของผิวหนัง good skintugor ไม่พบผื่น มีอาการบวมที่เท้าเล็กน้อย หน้าท้องไม่มีการแตกลาย (striae gravidarum) ไม่พบเส้นสีน้ำตาลผ่านสะดือกลางท้อง (linea nigra) ไม่พบจุดจ้ำเลือด
heart:
อัตราการเต้นของหัวใจสม่ำเสมอ 85 bpm
Vital sign :
BT 36.7 C , PR 85 bpm, RR 20 bpm, BP 105/66 mmHg
BW 54.2 kg, ส่วนสูง 150 cm BMI 24.09 kg/m2
Abdoman :
หน้าท้องมีลักษณะกลมโต พบเส้นสีน้ำตาลผ่านกลางท้อง (linea nigra)
ไม่พบรอยแตกลายบริเวณหน้าท้อง (Striae gravidarum) ไม่พบรอยโรค จากการตรวจครรภ์ทางหน้าท้องโดยการคลำพบระดับยอดมดลูก 3/4 เหนือสะดือ ยาว 35 เชนติเมตร ทารกอยู่ในท่า OL, Head flot, FHS 152 bpm ทารกในครรภ์ดิ้นดี ไม่พบหน้าท้องหย่อน
General Appearance :
หญิงตั้งครรภ์ G1P0A0 GA 39+3 wks by U/S อายุ 25 ปี นับถือศาสนาพุทธ แต่งกายด้วยชุดสุภาพสวมผ้าคลุมสวมเสื้อเดรสยาวสีเขียวขี้ม้า ใส่กางเกงเลกกิ้ง สวมรองเท้าส้นเตี้ย ลักษณะการเดินไม่เซ หลังไม่งอ ร่างกายทั่วไปสมบูรณ์ดี มีการดูแลสุขภาพร่างกายทั่วไปดี สะอาด หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสมื่มนุษย์สัมพันธ์ดี ให้ความร่วมมือในการซักประวัติตรวจร่างกาย แลละตรวจครรภ์เป็นอย่างดี
Neurologic system
ผู้รับบริการรู้สึกตัวดี พูดคุยรู้เรื่อง ทำตามคำสั่งได้ให้ความร่วมมือในการซักประวัติเป็นอย่างดี ตรวจเส้นประสาท 12 คู่ปกติ สามารถมองเห็นได้ชัดเจน ไม่มีตาพร่ามัวหรือเห็นภาพช้อน
ไม่มีสายตาสั้น สาบตายาว การได้ยินชัดเจน ไม่มีหูหนวกหูตึง
จมูกสามารถรับกลิ่นได้ดี การรับรสปกติ ผิวหนังรับความรู้สึกร้อนเย็นได้ตามปกติ รับรู้ถึงความรู้สึกปวดได้
บันทึกการตรวจครรภ์
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
2.มีภาวะไม่สุขสบายเนื่องจากเท้าบวม
ข้อมูลสนับสนุน
S : "ตนมีอาการขาบวมตั้งแต่ท้องเข้าไตรมาส 3"
O: GA 39+4 wks by U/S
S : ทำงานร้านทอง ทำให้ต้องยืนนานเป็นบางครั้ง
วัตถุประสงค์
ผู้รับบริการเข้าใจและสามารถอธิบายการย้อนกลับได้
เกณฑ์การประเมิน
ไม่มีอาการขาบวม
สามารถอธิบายการปฏิบัติตัวเมื่อเกิดอาการขาบวมได้ร้อยละ 80
กิจกรรมการพยาบาล
อธิบายให้ผู้รับบริการเข้าใจถึงสาเหตุที่เกิดเท้าบวมว่าเป็นอาการที่เกิดจากของคนท้องที่มักจะเกิดขึ้นได้ เนื่องจากมดลูกที่โตขยายใหญ่ขึ้นกดทับหลอดเลือดดำใหญ่ของร่างกายซีกขวา ที่ทำหน้าที่ลำเลียงเลือดจากขากลับไปที่หัวใจ ทำให้เลือดไหลเวียนช้า ทำให้ของเหลวในหลอดเลือดถูกดันไปที่เท้า ข้อเท้ามากขึ้น
เดินออกกำลังกายสม่ำเสมอ กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ช่วยให้หลอดเลือดและกล้ามเนื้อแข็งแรง
เลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มเพราะจะทำให้ของเหลวคั่งค้างในร่างกาย
ใช้หมอนหนุนเท้าตอนนอน เพื่อยกปลายเท้าให้สูง ในกรณีที่นอนหงายไม่ได้ อาจนอนตะแคงยกปลายเท้าขึ้นสูง นอนตะแคงด้านซ้าย เพื่อช่วยเลือดไหลเวียนกลับสู่หัวใจได้ดีขึ้น
แช่เท้าในน้ำอุ่น ในอุณหภูมิที่พอเหมาะ ไม่ร้อนเกินไป จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด และลดอาการบวมได้ดี
นวดเบา ๆ คลึงเบา ๆ เพื่อผ่อนคลายไม่นวดกดฝ่าเท้า ไม่นวดแผนไทย ไม่นวดกับผู้นวดที่ไม่เชี่ยวชาญที่ไม่รู้วิธีในการนวดโดยเด็ดขาด เพระอาจก่อให้เกิดอันตรายได้
หลีกเลี่ยงการเดิน หรือยืนนาน ๆ คุณแม่ท้องไม่ควรอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ ควรเปลี่ยนอริยาบถบ้าง
นั่งในท่าที่สบาย หลีกเลี่ยงการนั่งทับข้อเท้า นั่งไขว่ห้าง นั่งขัดสมาธิ
ใส่เสื้อผ้าที่ไม่รัดแน่น คนท้องเท้าบวมควรใส่เสื้อผ้าที่หลวมสบายไม่รัดแน่นบริเวณ น่อง ข้อศอก ข้อมือ จนเกินไป
1.มีภาวะไม่สุขสบายเนื่องจากปวดหลัง
ข้อมูลสนับสนุน
S: "เมื่อนั่งเป็นเวลานานๆจะมีอาการปวดหลัง ต้องนั่งผิงกับผนังหรือเก้าอี้อยู่บ่อยครั้ง"
O: G1P0 GA 39+4 wks. by U/S
S : "ช่วงนี้มีอาการปวดหลังบ่อยมากขึ้น"
วัตถุประสงค์
มีอาการปวดหลังลดลง
เกณฑ์การประเมิน
1.ไม่มีอาการปวดหลัง
2.ไม่บ่นปวด
3.คะแนนความปวดอยู่ในป้องกันอาการปวดหลังได้เกณฑ์ปกติ 1-3 คะแนน
4.ไม่มีสีหน้าคิ้วขมวดเวลาเคลื่อนไหวบริเวณส่วนหลัง
สามารถอธิบายการปฏิบัติตัวได้เหมาะสมขณะปวดหลังร้อยละ 80
กิจกรรมการพยาบาล
อธิบายให้ผู้รับบริการเกี่ยวกับสาเหตุและปัจจัยการเกิดอาการปวดหลังส่วนล่าง
1.1 อายุครรรภ์ที่เพิ่มขึ้น
1.2 น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์
1.3 การทำงานที่ต้องออกแรงการยกของ การอยู่ในท่าทางที่ไม่เหมาะสม
แนะนำการบรรเทาอาการปวดหลัง
2.1 อยู่ในท่าที่เหมาะสม
ไม่ยกของหนัก
นอนบนฟูกหรือที่นอนที่ไม่อ่อนนุ่มจนเกินไป
แนะนำเลือกรองเท้าส้นเตี้ยที่สวมใส่สบาย
ออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อแข็งแรง
หากมีอาการปวดร้าวไปที่แก้มก้นและขา ให้บีบนวดที่กัน
แนะนำท่าโยคะอาสนะสำหรับสตรีตั้งครรภ์ที่มีอาการปวดหลังส่วนล่าง
8.1 ท่านั่งสุขะสะนะ (Sukhasana)
8.2 ท่าปวัตตะสนะ (Parvatasana): ท่าเหยียดหลัง
8.3 ท่าฑาลาสะนะ (Talasana): ท่าภูเขา
6.ส่งเสริมการปฏิบัติตัวตามพันธนกิจขณะตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 3
ข้อมูลสนับสนุน
S : "ตั้งครรภ์ครั้งนี้เป็นครรภ์แรก มีลูกคนแรกทำให้ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง"
O : G1P0A0 GA 39+34 Wks by U/S
วัตถุประสงค์
มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการปฎบัติตัวขณะตั้งครรภ์ไตรมาส 3 ที่ถูกต้อง
เกณฑ์การประเมิน
1 สามารถอธิบายย้อนกลับเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวด้านการป้องกันและแก้ไขภาวะไม่สุขสบายในไตรมาสที่ 3 ได้ถูกต้องร้อยละ 80
2.ผู้รับบริการมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวขณะตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาส 3
การพยาบาล
พูดคุยและสร้างสัมพันธภาพด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน เพื่อให้เกิดความไว้วางใจในการให้ข้อมูล
แนะนำการปฏิบัติตัวด้านการรับประทานอาหาร ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยให้เน้นโปรตีนเป็นพิเศษ เพราะไตรมาส 3 เป็นช่วงที่ร่างกายต้องการโปรตีนสูงที่สุด แต่ควรระวังเรื่องการรับประทานของหวาน และเรื่องน้ำหนักที่ขึ้นมากเกินไป เพราะอาจเสี่ยงเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้ และไม่ควรรับประทานของหมักดอง อาหารรสจัด และอาหารปรุงไม่สุก
แนะนำการปฏิบัติตัวด้านการออกกำลังกาย เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้รับบริการที่จะทำให้ร่างกายแข็งแรงและระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีท้องไม่ผูก ทำให้นอนหลับสบาย แต่ควรออกกำลังกายที่ไม่หักโหมหรือใช้ความอดทนมากเกินไป เช่น เดินวันละ 10-20 นาที
แนะนำการปฏิบัติตัวด้านการพักผ่อน โดยให้ผู้รับบริการทำจิตใจให้สงบ ผ่อนคลาย โดยการนอนหลับตอนกลางวัน 1-2 ชั่วโมง ตอนกลางคืน 6-8 ชั่วโมง เพื่อช่วยให้ร่างกายและจิตใจได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ
แนะนำการปฏิบัติตัวด้านการป้องกันและแก้ไขภาวะไม่สุขสบายในช่วงไตรมาสที่ 3 เพื่อส่งเสริมความรู้และเพื่อให้สามารถปฏิบัติได้ถูกต้อง ดังนี้
5.1 อาการเหนื่อยง่าย วิธีการแก้ปัญหา แนะนำลดการทำงานหรือกิจกรรมที่ทำให้เหนื่อยเกินกำลังแนะนำให้นอนศีรษะสูงหรือนอนตะแคงซ้าย ฝึกผ่อนคลายความเครียด โดยการฝึกการหายใจ
5.2 อาการปวดหลัง วิธีการแก้ปัญหา หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เกินกำลังและเหนื่อยมาก เวลาในการทำงานไม่ควรนานเกินไปแนะนำให้ลุกเดิน
5.3 อาการท้องผูก แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีกากใย ควรดื่มน้ำอุ่นในเวลาเช้า และดื่มอย่างน้อย 8 แก้วต่อวันฝึกขับถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลา
5.4 อาการนอนไม่หลับ อาบน้ำอุ่น หรีอเครื่องดื่มอุ่นๆ จะช่วยให้หลับสบายขึ้น แนะนำให้นอนุตะแคงซ้าย ใช้หมอนบางหนุนท้องและให้วางขาบนหมอน เพื่อให้กล้ามเนื้อหย่อนตัว ให้ฝึกสมาธิก่อนนอน โดยเพ่งความสนใจไปที่ลมหายใจเข้า- ออก ยาวๆ ลึกๆ
แนะนำเกี่ยวกับการนับลูกดิ้น ให้ผู้รับบริการสังเกตการณ์ดิ้นของทารก โดยการนับลูกดิ้น หลังรับประทานอาหาร 3 มื้อ ภายใน 1 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหาร ทารกต้องดิ้นอย่างน้อย 3 ครั้ง หรือ มากกว่า 10 ครั้งต่อวัน
7 . แนะนำให้สังเกตความผิดปกติที่ต้องมาตรวจตามนัดหมาย เช่น น้ำหนักลด เป็นไข้ เป็นหวัด กแน่นท้อง การดิ้นของเด็ก น้ำเดิน
แนะนำให้ผู้รับบริการตรวจครรภ์ตามนัด เพื่อประเมินและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่คาดว่าน่าจะเกิดขณะตั้งครรภ์
ส่งเสริมการกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์
ข้อมูสนับสนุน
S : ตั้งครรภ์ครั้งแรก
O : G1PAO GA 39+4 wks by U/S
วัตถุประสงค์
เพื่อส่งเสริมการกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์
เกณฑ์การประเมิน
สามารถอธิบายการกระตุ้นทารกโดยวิธีการต่างๆได้ 80%
สามารถสาธิตย้อนกลับได้เกี่ยวกับการกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ได้ถูกต้อง ทั้ง 4 ด้าน
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ เพื่อนำมาวางแผนการพยาบาลได้อย่างถูกต้อง
แนะนำวิธีการกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ ดังนี้
2.1 การฟังเพลง เพราะการใช้เสียงกระตุ้นทำให้ระบบประสาทเกี่ยวกับการได้ยินมีพัฒนาการที่ดีขึ้น
2.2 การพูดคุยด้วยเสียงนุ่มนวล ประโยคช้าๆ จะช่วยให้ระบบประสาทและสมองที่ควบคุมการได้ยินมีพัฒนาการที่ดี เป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการได้ยินหลังคลอด
2.3 การลูบหน้าท้อง ทำให้ผิวทารกสัมผัสกับผนังด้านในของมดลูกขณะที่สัมผัสจะช่วยพัฒนาเส้นใยประสาทของสมองส่วนรับความรู้สึกเพิ่มประสิทธิภาพและความไวในการรับรู้ของทารก และเป็นการสร้างความอบอุ่น ความผูกพันระหว่างมารดาและทารก
2.4 การปรับอารมณ์ให้ดีอยู่เสมอ ผู้รับบริการที่อารมณ์ดีอยู่เสมอจะทำให้ร่างกายมีการหลั่งสารแห่งความสุขที่เรียกว่า เอนโดฟิน(endorphin) ออกมาผ่านไปทางสายสะดือไปยังลูกทำให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีทั้งสมอง (IO) และอารมณ์ (EQ)
จัดสิ่งแวดล้อมให้แก่ทารกในครรภ์ แบ่งออกเป็น 4 ด้าน
-ด้านการมองเห็น เริ่มเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 24 สัปดาห์ ขึ้นไป ด้วยการสร้างความสนใจสร้างความอยากรู้อยากเห็นให้กับทารกในครรภ์โดยการเคลื่อนไหว ไฟฉายจากซ้ายไปขวา เป็นเวลา 8 วินาที หรือการเปิด-ปิด ไฟฉายเป็นจังหวะ ควรทำเมื่อทารกดิ้น เพราะจะทำให้เกิดการเรียนรู้ได้
-ด้านการได้ยิน เริ่มเมื่ออายุครรภ์ 20 สัปดาห์ ขึ้นไป การใช้เสียงเพื่อกระตุ้นระบบประสาทการได้ยิน โดยใช้เสียงผู้รับบริการและเสียงดนตรี
-ด้านการรับรู้ความรู้สึกเริ่มเมื่ออายุครรภ์ 20 สัปดาห์ ขึ้นไปด้วยการลูบสัมผัสบริเวณหน้าท้อง
-ด้านการเคลื่อนไหว เริ่มเมื่ออายุครรภ์ 20 สัปดาห์ ขึ้นไป เป็นการพัฒนา cell ประสาทการทางตัว เกิดการเรียนรู้ และการปรับตัว
แนะนำผู้รับบริการให้สังเกตการดิ้นอย่างน้อย 4 ครั้งใน 1 ชั่วโมง หลังอาหารแต่ละมื้อหากรู้สึกว่าลูกดิ้นไม่ถึง 10 ครั้ง/วัน ให้รีบพบแพทย์
9.ส่งเสริมการปฏิบัติตัวตามหลักความเชื่อที่ไม่ขัดต่อแผนการรักษา
วัตถุประสงค์
สามารถปฏิบัติตนตามหลักความเชื่อโดยไม่ขัดกับแผนการรักษา
ข้อมูลสนับสนุน
S: ตนนับถือศาสนาพุทธ
S : ไม่กินของสด ของหมักดอง
S: ติดเข็มกลัดบริเวณเสื้อหน้าท้องเพราะเชื่อว่าจะสามารถป้องกันจากสิ่งที่มองไม่เห็น
S: ใส่สร้อยคอพระเนื่องจากจิตใจจะสงบ
O: ติดเข็มกลัดบริเวณเสื้อหน้าท้อง
O : ใส่สร้อยคอพระ
เกณฑ์การประเมิน
ปฏิบัติตัวตามหลักความเชื่อโดยไม่ขัดกับแผนการรักษาได้
การพยาบาล
พูดคุยและสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้รับบริการที่มีความเชื่อในวัฒนธรรมในการดูแลตนเองขณะตั้งครรภ์
ให้คำปรึกษาแก่ผู้รับบริการทันทีที่ต้องการเพื่อให้เกิดความสนใจมั่นใจว่าพยาบาลสามารถเป็นที่พึ่งได้ในยามที่มีความทุกข์
3.พูดคุยเรื่องศาสนาความเชื่อของผู้รับบริการเช่นการรำลึกถึงพระพุทธองค์และการใส่พระเครื่องไว้ตลอดเวลาซึ่งผู้ป่วยเชื่อว่าพระพุทธองค์จะช่วยคุ้มครองทารกในครรภ์และสตรีตั้งครรภ์ให้ปลอดภัยและเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเผชิญกับความเจ็บป่วยได้ดีขึ้น
ประเมินการรับรู้ความต้องการหรือความเชื่อของผู้รับบริการเพิ่มเติมเพื่อให้การพยาบาลด้านวัฒนธรรมได้อย่างเหมาะสม
เข้าใจยอมรับในความแตกต่างและความหลากหลายทางรัฐธรรมของผู้รับบริการ
4.เสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากมีภาวะอ้วนขณะตั้งครรภ์
ข้อมูสนับสนุน
น้ำหนักก่อนการตั้งครรภ์ 39.2 kg ส่วนสูง 150 cm
BMI ก่อนตั้งครรภ์ 17.42 / (ผอม)
ขณะตั้งครรถ์น้ำหนัก 54.2 kg ส่วนสูง 150 cm
BMI ขณะตั้งครรภ์ 24.09 น้ำหนัก 54.2 ส่วนสูง 150/ (อ้วนระดับ 1)
น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นตลอดระยะเวลาตั้งครรภ์ 15 kg
วัตถุประสงค์
ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากมีภาวะอ้วนขณะตั้งครรภ์
เกณฑ์การประเมิน
น้ำหน้ำหนักที่ควรขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ไตรมาสสามอยู่ระหว่าง 0.18-0.27 kg/wk
ผู้รับบริการไม่เกิดเบาหวานขณะตั้งครรภ์
สามารถบอกย้อนกลับถึงการปฏิบัติตัวที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ร้อยละ 80
ไม่พบโปรตีนในปัสสาวะ
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะ BP และ HR โดย BP<140/90 mmHg HR=60-100 bpm เพื่อประเมินภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากการมีภาวะอ้วนขณะตั้งครรภ์
ชั่งน้ำหนักผู้รับบริการทุกครั้งที่มาฝากครรภ์ BMI ก่อนการตั้งครรภ์ > 30 ควรมีน้ำหนักขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ 5-9 kg และมีน้ำหนักขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 0.18-0.26 kg/wk
ประเมินการรับรู้ภาวะอ้วนของผู้รับบริการเพื่อเป็นแนวทางในการให้คำแนะนำ เนื่องจากในระยะตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่ผู้รับบริการพร้อมจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสุขภาพทารก หากผู้รับบริการมีการรับรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับภาวะอ้วนในขณะตั้งครรภ์และตระหนักถึงผลกระทบด้านลบที่ตามมา ก็จะสามารถควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมได้
แนะนำผู้รับบริการให้รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนา งดรับประทานอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง เช่นน้ำอัดลม ของทอด ของหวาน ซึ่งจะทำให้ร่างกายมีการสะสมของไขมันและน้ำตาลมาก
แนะนำผู้รับบริการให้ออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อลดปัจจเสี่ยงต่อการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักเกินเกณฑ์
ประเมินสภาพทารกในครรภ์ ได้แก่ การฟัง FHS โดยปกติอยู่ระหว่าง 110-160 ครั้ง/นาที การตรวจครรภ์ด้วยวิธี Leopold maneuver เพื่อประเมินลักษณะทารกในครรภ์ และประเมินความสัมพันธ์ของขนาดและอายุครรภ์ การตรวจ NST เพื่อประเมิน FHS ของทารกที่เปลี่ยนแปลงขณะที่ทารกมีการเคลื่อนไหว และการตรวจประเมินอื่นๆ ตามแผนการรักษาของแพทย์
แนะนำผู้รับบริการในการนับลูกดิ้นทุกวัน โดยการนับหลังรับประทานอาหาร เช้า กลางวัน เย็น เป็นเวลา 1 ชม. โดยในเวลา 1 ชม. ลูกต้องดิ้นอย่างน้อย 3 ครั้ง และรวมกัน 3 มื้อต้องดิ้นไม่น้อยกว่า 10 ครั้ง จึงถือว่าปกติ และหากมีอาการผิดปกติเช่น ลูกไม่ดิ้น หรือลูกดิ้นน้อยลง ให้รีบมาพบแพทย์
แนะนำผู้รับบริการให้มาพบแพทย์ตามนัด
3.แบบแผนการนอนหลับเปลี่ยนแปลงเนื่องจากปัสสาวะบ่อย
วัตถุประสงค์
พักผ่อนได้เพียงพอ
ข้อมูลสนับสนุน
S:ปัสสาวะวันละ 10 ครั้ง กลางวัน 4 ครั้ง กลางคืน 6 ครั้ง
S:ลุกขึ้นมาปัสสาวะตอนกลางคืนบ่อย ทำให้นอนหลับยาก
O:ใต้ตาคล้ำ
กิจกรรมการพยาบาล
อธิบายให้ผู้รับบริการเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของการตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 3 คือ ความจุของกระเพาะปัสสาวะเป็น 2 เท่าความจุประมาณ 1,500 มล. จากการคลายตัวของกล้ามเนื้อเรียบจากอิทธิผลขอลฮอร์โมน progesterone และเยื่อบุกระเพาะปัสสาวะบวมขึ้น จากอิทธิผลของฮอร์โมน estrogen การที่มีเลือดมาคั่งมากที่ฐานของกระเพาะปัสสาวะทำให้มีการบวม ง่ายต่อการฉีกขาดและติดเชื้อได้ง่าย สำหรับการปัสสาวะบ่อย นอกจากอิทธิผลของฮอร์โมน progesterone แล้วยังเกิดจาก มดลูกกดทับกระเพาะปัสสาวะในไตรมาสที่ 1 และ 3 สำหรับที่ 2จำนวนครั้งของปัสสาวะลดลง ( เบญญาภา,ศศิธร, จัณทร์ปภัสร์และคณะ, 2563 )
ลดปริมาณน้ำดื่มก่อนเข้านอน 2 ชั่วโมง และถ่ายปัสสาวะก่อนเข้านอน เพื่อลดปริมาณในกระเพาะปะสสาวะ
แนะนำให้บริโภคน้ำ นม น้ำผลไม้หรือซุป ในเวลากลางวันและบริโภคลดลงในเวลากลางคืน หรือก่อนนอน เพื่อลดการลุกไปปัสสาวะบ่อย
บริการกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ซึ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณเชิงกรานแข็งแรงขึ้นและป้องกันการเล็ดของน้ำปัสสาวะ โดยการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานวันละ 3กรอบ โดยการขมิบคล้ายกับการกลั้น ปัสสาวะ ขมิบค้างไว้ 10 วินาที แล้วคลายออก ทำแบบ นี้ให้ครบ 15 ครั้ง (15 ครั้ง นับเป็น 1 รอบ)
แนะนำนอนหลับให้เพียงพอในเวลากลางคืนประมาณ 8-10 ชั่วโมงนอนแต่หัวค่ำ ไม่นอนดึก อาจนอนกลางวันเพิ่มเติม 1-2 ชั่วโมง เมื่อรู้สึกว่าไม่สามารถหลับยาวในตอนกลางคืนได้
แนะนำให้ผู้รับบริการไม่ควรกลั้นปัสสาวะ เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่ระบบทางเดินปีสสาวะได้ง่าย และอาจจะนำไปสู่การติดเชื้อที่ช่องคลอด
ถ้ามีอาการปวดถ่ายปัสสาวะ หรือถ่ายปัสสาวะแสบขัดให้ปรึกษาแพทย์ เนื่องจากจะได้รับการรักษาได้ทันท่วงที
เกณฑ์การประเมิน
1.อธิบายการปฏิบัติตัวได้อย่างเหมาะสมร้อย 80
2.นอนหลับได้เพียงพอครบ 8 ชั่วโมง
5.มีความรู้ไม่เพียงพอเกี่ยวกับการคลอด
ข้อมูลสนับสนุน
O:G1P0
S: กลัวว่าคลอดไม่ได้เนื่องจากตนเองชอบดูข่าวในโซเชียลที่เกี่ยวกับการคลอดเด็กนาน
วัตถุประสงค์
มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการคลอด
เกณฑ์การประเมิน
ผู้รับบริการสามารถบอกได้ว่าการคลอดมีกี่ระยะ ร้อยละ80
ผู้รับบริการมีสีหน้าสดชื่นแจ่มใสมากขึ้น
สามารถเข้าใจและมีความรู้เกี่ยวกับการคลอดเพิ่มขึ้นได้ร้อยละ 80
กิจกรรมการพยาบาล
3.อธิบายให้ผู้รับบริการทราบว่า การคลอดทั้งหมดมี 4 ระยะ
ระยะที่ 3 ของการคลอด: ภายหลังทารกคลอดจนกระทั่งรกคลอดใช้เวลาประมาณ 5-30 นาที
ระยะที่ 4 ของการคลอด: หลังรกคลอดจนถึง 2ชั่วโมงแรกหลังคลอด
ระยะที่ 2 ของการคลอด: ปากมดลูกเปิดหมดจนถึงทารกคลอด
ครรภ์แรกใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 2ชั่วโมง
ครรภ์หลังใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 1ชั่วโมง
ระยะที่ 1 ของการคลอด: เจ็บครรภ์จริงปากมดลูกเริ่มเปิดจนเปิดหมด 10 เซนติเมตร
ครรภ์แรกใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 12 ชั่วโมง
ครรภ์หลังใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 6ชั่วโมง
อธิบายให้ทราบว่ามีการเตรียมร่างกายเพื่อการคลอด โดยการโกนขนอวัยวะสืบพันธุ์ เป็นการเตรียมความสะอาด
สร้างสัมพันธภาพกับผู้รับบริการเพื่อให้เกิดความไว้วางใจโดย การแนะนำตัวพูดคุยด้วย ความจริงในแสดงความเต็มใจในการให้การช่วยเหลือดูแลอย่างเต็มที่
5.ปฏิบัติกิจกรรมการพยาบาลด้วยความนุ่มนวลและไม่เปิดเผยโดยการกั้นม่าน เปิดเสื้อผ้าเฉพาะบริเวณที่จะตรวจ
ประเมินสภาพผู้รับบริการและทารกในครรภ์ โดยการซักประวัติและตรวจร่างกาย
6.แนะนำสถานที่และระเบียบของโรงพยาบาล เพื่อให้เกิดความคุ้นเคย ลดความวิตก ลดความกลัวและวิตกกังวล
7.เปิดโอกาสให้ได้ซักถาม แลกเปลี่ยนข้อมูลและเป็นที่ปรึกษาของผู้รับบริการได้ระบายความรู้สึก
ให้กำลังใจและกล่าวชมเชย เมื่อผู้รับบริการปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
-สอนวิธีการเบ่งคลอด โดยวิธีเบ่งที่ถูกต้องคือเบ่งขนาดเจ็บครรภ์และมดลูกมีการหดรัดตัวโดยเริ่มจากสูดลมหายใจเข้าทางจมูกลึกลึกแล้วกั้นหายใจแล้วเบ่งโดยให้ลมเบ่งที่ก้นเหมือนเบ่งทางอุจจาระเบ่งให้ได้อย่างน้อยสองถึงสามครั้งต่อการหดรัดตัวของมดลูกหนึ่งครั้ง
8.ส่งเสริมการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา
ข้อมูลสนับสนุน
O: เต้านมทั้งสองข้างสมมาตรกันดี หัวนมทั้งสองข้างไม่มีบอด
เกณฑ์การประเมิน
สามารถบอกวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการอุ้มและการให้ทารกดูดนมอย่างถูกวิธี ร้อยละ 80
สามารถบอกถึงประโยชน์ของน้ำนมได้ร้อยละ 80
สามารถบอกถึงการดูแลเต้านมในขณะตั้งครรภ์ได้ถูกต้องร้อยละ 80
วัตถุประสงค์
ผู้รับบริการมีความรู้และทักษะในการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา
กิจกรรมการพยาบาล
ประโยชน์ของนมมารดา มีผลต่อบุตรดังนี้
มีสารอาหารครบถ้วน มีสัดส่วนเหมาะสมกับความต้องการของบุตรแรกเกิดจนไปถึง 6 เดือน เมื่อบุตรอายุครบ 6 เดือน ควรส่งเสริมให้บุตรได้รับอาหารเสริมร่วมไปกับนมมารดาด้วย
มีภูมิต้านทานโรคติดเชื้อ บุตรที่ได้รับนมมารดามักมีสุขภาพแข็งแรง มีการเจ็บป่วยด้วยโรคติดเชื้อน้อย เช่น โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ โปลิโอ ไข้สมองอักเสบ และภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากนมมารดาจะมีอยู่ตราบเท่าที่บุตรได้รับนมมารดา
ลดโอกาสเกิดโรคภูมิแพ้และโรคลำไส้อุดตัน
สะอาด ปลอดภัย เมื่อบุตรดูดหัวนมมารดาจะกระตุ้นให้มีการหลั่งน้ำนมในอุณหภูมิที่พอดีสำหรับบุตรและมีเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆอยู่น้อย
ลดการเกิดโรคอ้วน นมมารดามีปริมาณพอเหมาะสำหรับบุตร เมื่ออิ่มก็จะหยุดดูด
6.ระดับสติปัญญา พบว่าบุตรที่เลี้ยงลูกด้วยนมมารดาจะมีสติปัญญาดีกว่าบุตรที่ไม่ได้เลี้ยงด้วยนมมารดา
ผลดีด้านจิตใจ จะได้รับความอบอุ่นทั้งทางร่างกายและจิตใจ เนื่องจากการโอบอุ้มและให้นม
ประโยชน์ต่อมารดา
สะดวก ประหยัด
ลดการเกิดมะเร็งเต้านม
มดลูกเข้าอู่เร็ว เพราะการดูดกระตุ้นจากบุตรทำให้มีการหลั่งออกซิโทชิน ซึ่งจะช่วยให้มดลูกหดรัดตัวเข้าช่องเชิงกรานได้ดี
ทำให้รูปร่างกลับคืนสู่สภาพเดิมเร็วขึ้น เพราะมีการนำไขมันที่สะสมไว้ในระหว่างตั้งครรภ์มาใช้ในการผลิตน้ำนมเลี้ยงบุตร
เป็นการคุมกำเนิดทางอ้อม เนื่องจากกดการทำงานของรังไข่ โดยแม่ที่เลี้ยงนมลูกอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอจะมีโอกาสตั้งครรภ์ในระยะ 6 เดือนแรกหลังคลอดน้อยกว่าร้อยละ 2 แต่หลังจาก 6 เดือนไปแล้วแนะนำให้คุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย
ลดภาวการณ์เกิดโรคแทรกซ้อน เช่น มารดาที่มีเส้นเลือดโป่งพองในขณะตั้งครรภ์ถ้าไม่ได้บุตรกินนมตนเองและใช้ยาระงับสร้างน้ำนมก็จะมีโอกเสเสี่ยงต่อการเกิดก้อนเลือดอุดตันในหลอดเลือดได้
ผลดีทางจิตใจ ทำให้มารดาเกิดความรักความผูกพันกับบุตร
สอนและจัดท่านอนที่ถูกต้อง ได้แก่
ท่าลูกนอนขวาง ศีรษะลูกวางบนข้อศอกแม่ (Cradle Hold Position) อุ้มลูกไว้บนตัก ใช้มือกับแขนข้างเดียว กับเต้าที่จะให้ลูกดูด ประคองลูกไว้ ให้ลูกนอนตะแคงเข้าหาตัวแม่ ศีรษะสูงเล็กน้อย ท้ายทอยลูกวางที่แขนของแม่ มืออีกข้างประคองเต้าหรือปล่อยสบายๆก็ได้
ท่าลูกนอนขวางบนตัก ใช้ฝ่ามือประคองศีรษะลูก (Modified Cradle Hold Position) คล้ายท่าแรกแต่เปลี่ยนมือที่ประคองลูก มาประคองเต้านม ส่วนมืออีกข้างประคองต้นคอและท้ายทอยลูกแทน
ท่าอุ้มด้านข้าง (Football Hold Position)กอดลูกให้กระชับกับสีข้างแม่ มือจับที่ต้นคอและท้ายทอยลูก และขาลูกชี้ไปทางด้านหลัง ลูกอยู่ในท่ากึ่งตะแคงกึ่งหงาย ลูกดูดนมจากเต้าข้างเดียวกับมือที่จับลูก มืออีกข้างประคองเต้านม เหมาะสำหรับแม่ที่ผ่าตัดคลอด ลูกแฝด หรือแม่เต้านมใหญ่
ท่านอน (Side Lying Position) แม่ลูกนอนตะแคงเข้าหากัน แม่นอนศีรษะสูงเล็กน้อย หลังและสะโพกตรง ปากลูกอยู่ตรงหัวนมแม่ ใช้แขนข้างหนึ่งประคองตัวลูกให้ชิดแม่ หรือใช้หมอนหนุนหลังลูกแทนก็ได้ ท่านี้เหมาะสำหรับให้นมกลางคืน หรือหลังผ่าตัดหลังการดูดนม อุ้มทารกเรอ แล้ว 15 นาที จัดให้ทารกนอน ตะแคงด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อ ป้องกันการสำลักนมและยก ศีรษะสูงเล็กน้อย
การดูแลเต้านม.
1.แนะนำให้เลือกเสื้อในที่มีขนาดพอดีกับขนาดของเต้านมที่ขยายใหญ่ขึ้นเพื่อให้การไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงเต้านมและการขยายตัวของเต้านมเป็นไปได้เต็มที่ ไม่รู้สึกอึดอัดหายใจไม่สะดวก ไม่กดรัดหัวนม และช่วยพยุงเต้านมป้องกันเต้านมหย่อนยาน และควรเลือกผ้าฝ้ายจะดีกว่าไนลอน เพราะซับเหงื่อได้ดี (ตติรัตน์ สุวรรณสุจริต,2546)
อาบน้ำทุกครั้ง ใช้นิ้วมือลูบเบาๆ ที่บริเวณหัวนม เพื่อขจัดน้ำนมที่ซึมแห้งที่รูเปิดของท่อน้ำนม และแห้งเป็นสะเก็ด ห้ามแกะหรือถูแรงเกินไป(ศิริพันธุ์ ศิริพันธุ์,2555)
ใช้ครีมบำรุงผิวทาบริเวณเต้านมและลานหัวนม เพื่อป้องกันหรือแก้ไขอาการผิวหนังแห้งแตก (ศิริพันธุ์ ศิริพันธ์,2555)4. แนะวิธีแก้ไขความผิดปกติของหัวนม (ศิริพันธุ์ ศิริพันธุ์,2555)
4.1 วิธีโดยไม่ใช้อุปกรณ์
4.1.1 Hoffman Maneuver
(1 โดยใช้นิ้วหัวแม่มืของมือทั้งสองแตะที่รอยต่อระหว่างหัวนมกับลานหัวนมในด้านตรงข้ามกันของหัวนมข้างนั้น
(2) กดนิ้วทั้งสองและรูดแยกห่างกันไปทางข้างๆและตรงๆ
(3) ควรทำช้ำกันเช่นนี้ในทิศทางต่างกันโดยรอบสัก 2 3 ครั้งหัวนมจะตั้งขึ้นมาได้
(4) ใช้นิ้วมือจับหัวนมที่ยื่นออกมานั้นดึงออกตรงๆเบาๆสัก 2-3 ครั้ง
4.2. วิธีการใช้อุปกรณ์
4.2.1 ใช้ nipple former ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ทำด้วยพลาสติกชนิดดี มีลักษณะเป็นสูญญากาศที่จะช่วยดึงหัวนมให้ยื่นออกมา หญิงตั้งครรภ์จะต้องใช้อุปกรณ์ที่ครอบหัวนมตลอดเวลา
4.2.2 แก้ไขโดยการใช้เครื่องปั๊มนม โดยใช้พลังสุญญากาศในการดูดหัวนมให้ชูชันเพิ่มขึ้น
แนะนำให้มารดาเข้าใจเกี่ยวกับกลไกการสร้างและการต่อความต้องการขอทารก ซึ่งมีหลักการคือ การให้ทารกดูดนมอย่างถูกต้อง 4 ดูด ได้แก่ ดูดเร็ว ดูดบ่อย ดูดถูกวิธี และดูดเกลี้ยงเต้า ดังนี้
1.1 ดูดเร็ว : ควรให้คุณแม่ให้ลูกดูดนมแมโดยเร็วที่สุดตั้งแต่หลังคลอด ยิ่งให้ลูกดูดมากเท่าไหร่ยิ่งเป็นผลดีเพราะจะมีภูมิต้านทานโรคจากนมแม่นานาชนิดที่จะช่วยให้ทารกแข็งแรง
1.2. ดูดบ่อย : แม่ควรให้ลูกดูดนมบ่อยๆ อาจจะประมาณทุก 1-2 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นน้ำนม หลังจากนั้นให้ลูกดูดตามความต้องการ โดยไม่ต้องตั้งเวลา แต่ถ้ารู้สึกคัดเต้านม ต้องให้ลูกดูดนมออกทันที
1.3. ดูดถูกวิธี : โดยขยับปากหรือค่อยๆแตะที่ปากทารกเบาๆ เพื่อให้ลูกดูดลึกถึงลานนม ให้เหงือกลูกกดรีดลงบนกระเปาะน้ำนมใต้ลานนม ลิ้นอยู่ใต้ลานนม ริมฝีปากของลูกไม่เม้มเข้า ขณะดูดเหงือกจะขยับเข้าหากันกดบนลานนมเป็นจังหวะ เมื่อลูกดูดนมอย่างถูกวิธี แก้มป่องทั้งสองข้างและได้ยินเสียงกลืนน้ำนมเบาๆ
1.4 ดูดเกลี้ยงเต้า : การให้ลูกดูดจนรู้สึกว่าเต้านิ่มหรือให้ดูดข้างละไม่ต่ำกว่า 10-20 นาที หากลูกดูดไม่อิ่มก็สลับข้างที่เหลือ โดยทั่วไปให้ทารกจะดูดนมแม่ 8-12 ครั้งต่อวัน และมื้อต่อไปให้เริ่มจากเต้าข้างที่เหลือเพื่อให้เกิดการระบายน้ำนมหรือไม่ให้คุณแม่คัดตึงจนรู้สึกเจ็บ
กลไกการสร้างน้ำนม
กระบวนการผลิตน้ำนมของร่างกายจะแบ่งเป็นสามช่วง ช่วงแรก เริ่มตั้งแต่ตั้งครรภ์ประมาณ 16-22 สัปดาห์ จนถึงวันแรกหลังคลอดร่างกายจะเริ่มผลิต Colostrum หรือหัวน้ำนมในปริมาณน้อยนิดช่วงนี้เรียกว่า Lactogenesis l หลังคลอดประมาณ 30-40 ชม. ฮอร์โมนต่างๆที่เกี่ยวข้องจะกระตุ้นให้มีการสร้างน้ำนมเพิ่มขึ้น คุณแม่ส่วนใหญ่จะเริ่มรู้สึกว่า นมมาแล้ว หลังจากคลอดประมาณ 50-73 ชม. (2-3 วันหลังคลอด) ช่วงที่สองนี้เรียกว่า Lactogenesis ll ในสองช่วงแรกกระบวนการผลิตน้ำนมจะเกิดจากการทำงานของฮอร์โมน ไม่ว่าแม่จะให้ลูกดูดนมหรือไม่ร่างกายก็จะผลิตน้ำนมโดยอัตโนมัติตามธรรมชาติ Lactogenesis ll ถ้าไม่ให้ลูกดูด น้ำนมก็ไม่มี ช่วงที่สามเป็นช่วงที่สำคัญมาก เพราะการผลิตน้ำนมของคุณแม่จะไม่ได้ถูกควบคุมด้วยฮอร์โมนเพียงอย่างเดียวแต่น้ำนมจะถูกผลิตอย่างต่อเนื่องก็ต่อเมื่อมีการนำน้ำนมออกจากร่างกายอย่างสม่ำเสมอไม่ว่าจะด้วยการดูดของลูก การบีบด้วยมือหรือการปั้มด้วยเครื่อง