Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

End-stage renal failure, also known as end-stage renal disease (ESRD) with…

- - - - pH9.0ปกติ4.6-8.0
      - PROTEIN3+ ปกติ Negative
      - BLOOD 3+ปกติNegative
      - WBC (White blood cell)5-10ปกติ1-2 cell/HPF
      - RBC (Red Blood Cell)50-100ปกติ0-1 cell/ HPF
- - - - ยาประจำตัว Hydralazine 50 mg 1x3 tab
      - แรงบีบตัวหัวใจเพิ่มขึ้น
        
        ร่างกายกระตุ้นระบบประสาท Sympayhetic
        
        ผลิต Angiotensi
        
        ผลิต Angiotensi II
        
        ความต้านทางหลอดเลือดส่วนปลายเพิ่มขึ้น
        
        แรงบีบตัวหัวใจเพิ่มขึ้น
        
        1 more item...
        
        กระตุ้นหลั่ง Aldosterone จากต่อมหมวกไต ส่วนนอก
        
        ดูดกลับนํ้า และโซเดียมที่ไต
        
        1 more item...
        
        การลดลงของสารเหลวในระบบไหล
        
        ให้ปริมารเลือดไปเลี้ยงไต ลอลง
        
        ไตขาดเลือด
        
        ต่อมให้สมองส่วนหลัง Pituitary gland
        
        หลัง H.ADH หรือ Vasopressin
        
        เก็บนํ้า ไม่ให้ปัสสาวะ
        
        ปัสสาวะออกน้อย
        
        กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด แรงต้านเลือดส่วนปลายสูง ทำให้เลือดที่ไหลเวียน ถูกบีบให้ผ่านอย่างแรง
        
        Epithelium cell ของหลอดเลือดเสียหาย
        
        ไขกระดูกถูกทำลาย
        
        ผลิต RBC ลดลง
        
        1 more item...
  - - - Anemia
        
        AIHA autoimmune hemolytic anemia) เป็นโรคโลหิตจางที่เกิดจากร่างกายสร้างภูมิต้านทาน หรือแอนตีบอดี (antibody) ต่อเม็ดเลือแดงของตนเอง
        
        Hb 7.2 g/dl
        
        Hct 23.9 %
        
        RBC 2.70 cell/cu mm
        
        MCHC 30.1 g/dL
        
        ตัวขนส่งออกซิเจนลดลง
        
        Hypoxia
        
        on ETT
        
        O2 เข้า Cell กล้ามเนื้อน้อย
        
        เสี่ยงเนื้อเยื่อพร่องออกซิเจน
        
        P 88/min
        
        RR 44/min
        
        on ETT
        
        O2 sat 83%
        
        ทำให้ผู้ป่วย เหนื่อย อ่อนเเรง
    - - อัตราการกรองที่ไดเมื่อglomerulus กรองน้ำได้น้อยจะไปลดการส่งออกซิเจนไปยังท่อไตส่วนต้น
        
        eGFR < 15 นาที/1.73 ตร.ม.
        ผู้ป่วย eGFR 6.28
        
        เกิดการตายของเนื้อเยื่อและกลุ่มเซลล์ หลอดเลือดบริเวณท่อไตเกิดการหดเกร็ง ความดันในท่อไตเพิ่มขึ้น ไตเสื่อมสภาพ
        
        Henle loop ดูดกลับไม่ได้
        
        Creatinine คั่ง 10.90 mg/dL
        
        volume overload
        
        3 more items...
        
        BUN คั่ง 89 mg/dL
        
        ของเสียคั่ง phosphoruh 5.15
        
        1 more item...
      - เกิดแรงด้านของหลอดเลือดส่วนปลาย เพิ่มขึ้น อัตราการไหลเวียนเพื่อมาเลี้ยงไตลดลง
        
        กระตุ้น juxtaglomerular apparatus
        
        หลั่ง Rennin Hormone จากนั้นฮอร์โมนดังกล่าวจะไปเปลี่ยน Angiotensinogen ที่ดับให้เปลี่ยนเป็น Agiotensin 1 และเปลี่ยนเป็น Agiotensin II โดยอาศัย Conversting Enzyme ที่ปอด ตามลำดับ
        
        หลอดเลือดส่วนปลายหดตัวกระตุ้นต่อมหมวกไตผ่าน medulla
        
        หลั่ง aldosterone เพิ่มการดูดกลับ Na และน้ำในร่างกาย
        
        ทำให้ความดันโลหิตสูง
        
        2 more items...
        
        ทำให้ปัสสาวะของผู้ป่วยเข้มข้น และมีปริมาณน้อยลง
        
        1 more item...
- - - - ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่3 มีภาวะภาวะซีดเนื่องจากการสร้างเม็ดเลือดเเดงลดลงจากไตวายเรื้อรัง
        
        วัตถุประสงค์
        1.ไม่เกิดอันตรายจากการมีภาวะซีด
        เกณฑ์ประเมินผล
        1.ไม่เกิดภาวะเเทรกซ้อนจากภาวะซีด อ่อนเพลีย เหนื่อยหอบ
        2.Hb อยู่ในช่วง 12.0-14.9 g/dl, HCT อยู่ในช่วง 37.0-45.7%, RBC อยู่ในช่วง 4.00-5.50 Cell/cu.mm
        กิจกรรมพยาบาล
        1.ประเมินอาการ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย จากภาวะซีด เพื่อทําให้ทราบถึงภาวะซีดและ ให้การพยาบาลได้ถูกต้องเหมาะสม
        2.ประเมินความสามารถในการทํากิจกรรมที่ต้องทำเพื่อวางแผนการให้การพยาบาลได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
        3.ให้ผู้ป่วยนอนพักอยู่ที่เตียง จำกัดกิจกรรม เพื่อลดการใช้ออกซิเจนของร่างกายไม่ให้เกิดการเหนื่อยหอบ
        4.วัดสัญญาณชีพอย่างสม่ำเสมอทุก 4 ชั่วโมง สังเกตชีพจรเร็ว หายใจหอบ ความดันโลหิตต่ำ เพื่อไม่ให้เกิดภาวะเเทรกซ้อน
        5.ดูเเลให้ได้รับยาเสริมธาตุเหล็กคือ Ferrous Fumarate 200 mg เพื่อช่วยสร้างเม็ดเลือดเเดง รับประทาน 1 เม็ดวันละ 1 ครั้งหลังอาหารเช้า ในเวลา 8:00น เเละสังเกตอาการข้างเคียง ท้องผูกหรือท้องเสีย ปวดท้อง อุจจาระเป็นสีดา ความอยากอาหารลดลง มีแผลในปาก
        6.ดูเเลให้ได้รับ Folic acid เพื่อช่วยสร้างเม็ดเลือดเเดง 1 เม็ด วันละ 1 ครั้งหลังอาหาร เวลา 8:00 น. เเละสังเกตอาการข้างเคียงคือเกิดอาการปวดท้อง ท้องร่วง ผื่นขึ้น ปัญหาการนอนหลับ สับสน คลื่นไส้
        7.ติดตามผล CBC เพื่อติดตามภาวะซีด
        การประเมินผล(04/05/2567)
        ผู้ป่วยยังมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยหอบน้อยลง on cannula3LPM
        สัญญาณชีพ BP=137/65 mmHg, HR= 82 ครั้ง/นาที, RR= 18 ครั้ง/นาที, T= 37.2°C O2sat 98 %
        capillary refill 3 second , pale conjunctiva
        ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ 04/05/2567
        Hb 8.1 g/dl (12.0-14.9 g/dl ), HCT 24.6 % (37.0-45.7%), RBC 2.85 10S6 cell/cu mm (4.00-5.50 10S6 cell/cu mm)
        
        ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 6 มีภาวะติดเชื้อเนื่องจากมีภูมิต้านทานในร่างกายต่ำ
        
        3 more items...
        
        S = ญาติบอกว่า ผู้ป่วยตัวร้อน
        O = สัญญาณชีพ BP=154/108 mmHg, PR=80/min, RR=18 /min, T=38.3°C, O2sat 100% with ETT-Tube
        ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ (03/05/2567)
        WBC Count (White blood cell count) 27.69 (4.40-10.30 103/ul)
        Neutrophil 94.8 (40.0-73.1 %)
        Lymphocyte 2.9 (20.3-47.9 %)
        Monocyte 2.1 (3.4-9.7 %)
        Eosinophil 0.1 (0.4-7.5 %)
        Basophil 0.1 (0.2-1.4%)
        
        วัตถุประสงค์
        1.ลดการติดเชื้อในร่างกาย
        2.ป้องกันการติดเชื้อเพิ่ม
        เกณฑ์การประเมิน
        1.ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะติดเชื้อต่าง ๆ ของร่างกาย ได้แก่ อาการไข้
        2.สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ BP = Systolic 90–140 mmHg. / Diastolic 6 –90 mmHg.,
        PR=60– 100/min, RR=16–20/min, T=36.5-37.4°C
        3.ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ CBC UA หรือ Hemoculture ไม่พบเชื้อใดๆ
        กิจกรรมทางการพยาบาล
        1.อาการและอาการแสดงของภาวะติดเชื้อต่าง ๆ ของร่างกาย ได้แก่ อาการไข้ เพื่อประเมินดูความรุนแรงของความผิดปกติและเพื่อให้ได้รับการรักษาได้ทันท่วงที
        2.ประเมินสัญญาณชีพ วัดอุณหภูมิร่างกายทุก 1 ชั่วโมง เพื่อประเมินการติดเชื้อในร่างกาย หากมีไข้อุณหภูมิมากกว่า 38.0 C ดูแลเช็ดตัวลดไข้ เพื่อเป็นการถ่ายเทความร้อนออกจากร่างกายและวัดอุณหภูมิร่างกายซ้ำหลังจากเช็ดตัวแล้ว 30 นาที
        3.ดูแลเปลี่ยนชุดให้สารน้ำทางหลอดเลือดทุก 1-3 วัน โดยการทำความสะอาดรอยต่อของชุดให้สารน้ำและสายต่อจากกหลอดเลือดด้วยแอลกอฮอล์ 70 % หรือ 2% chlorhexidine ในแอลกอฮอล์ 70% เพื่อป้องกันการติดเชื้อเพิ่ม
        4.ดูแลให้ได้รับยา Tazocin 4.5 g IV q 6 hr. day 1 then Tazocin 2.25 g Iv q 6 hr. เพื่อรักษาการติดเชื้อ และประเมินผลข้างเคียงของยา ผื่นตามตัว ผื่นลมพิษ หายใจลำบาก ถ้ามีอาการให้รีบแจ้งแพทย์ เพื่อให้ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที
        5.ดูแลทำความสะอาดร่างกายเป็นประจำ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
        6.ให้ทำหัตถการด้วยหลัก Aseptic teachnique เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
        7.ดูแลทำความสะอาดสิ่งแวดล้อมรอบตัวผู้ป่วยเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อเข้าสู่ร่างกายและไม่เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค
        8.ติดตามและประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะติดเชื้อต่าง ๆ ของร่างกาย ได้แก่ อาการไข้
        สัญญาณชีพและผลตรวจทางห้องปฏิบัติการซ้ำหลังให้การพยาบาลเพื่อดูความก้าวหน้าของการรักษาและเพื่อนำไปสู่การวางแผนการพยาบาลที่เหมาะสมต่อไป
        การประเมินผล
        ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี ไม่มีไข้ On cannula 3 Lpm สัญญาณชีพ BP=137/65 mmHg, HR= /min, RR= 18 /min, T= 37.2°C, O2sat 98 %
        ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ (04/05/2567)
        
        WBC Count (White blood cell count) 16.53x103/ul
        
        Neutrophil 91.1%
        
        Lymphocyte 4.8%
        
        Monocyte 3.3%
        
        #Neutrophi 15.06 x103/ul
        
        #Lymphocyte 0.79 x103/ul
        
        UA ไม่มีส่งตรวจ
        
        Hemoculture ไม่พบเชื้อ
        
        ข้อวินิจฉัยพยาบาลข้อที่ 5 เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูง
        
        S = -
        O =
        -สัญญาณชีพ BP 154/108 mmHg., PR 80/min, RR 18 /min, T 38.3°C O2sat 100% with ETT-Tube
        -ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี E4VtM6 pupil 2 mm
        
        วัตถุประสงค์
        1.เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูง
        เกณฑ์การประเมินผล
        1.ไม่มีอาการปวดศีรษะ ตาพร่ามัว คลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะ ปากเบี้ยวหรือเเขนขาอ่อนแรง
        2.ความดันโลหิตอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ BP น้อยกว่า 140/90 mmHg
        3.ประเมิน Glasgow coma score ได้ 15 คะแนน คือ E4V5M6
        Eyes Open (E4) หมายถึง ลืมตาได้เอง คือสามารถยกหนังตาบนได้ หลับตาได้เองดวงตามีแววตื่นตัว ไม่ไร้จุดหมาย สามารถลืมตา-หลับตาตามที่บอกได้ และรับรู้สิ่งแวดล้อมรอบตัว เพราะฉะนั้นผู้ป่วยหลับอยู่เมื่อปลุกแล้วตื่นง่ายและรับรู้สิ่งแวดล้อมรอบตัว ก็ถือว่าลืมตาได้เอง
        Best verbal response (V5) หมายถึง ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี พูดคุยได้ไม่สับสน รับรู้ถึงบุคคลสถานที่ เช่น บอกชื่อตัวเองได้ถูกต้อง บอกอายุตนเองได้ถูกต้อง พยาบาลควรหลีกเลี่ยงคาถามที่ต้องอาศัยความแม่นยาจริงๆ เช่น เวลา บ้านเลขที่
        Best Motor Response (M6) หมายถึง ผู้ป่วยสามารถทำตามบอกได้ เช่น ยกมือขึ้นเหนือลาตัว กำมือหรือกำนิ้วชี้ กับนิ้วกลาง (2 นิ้วรวมกัน) ของพยาบาลผู้ตรวจทั้งซ้ายและขวาได้แน่นที่สุดและคลายออก ทำซ้ำ 2-3 ครั้ง
        กิจกรรมการพยาบาล
        1.ประเมินอาการของผู้ป่วยว่ามีภาวะความดันโลหิตสูงหรือต่ำผิดปกติหรือไม่ เมื่อผู้ป่วยมีภาวะความดันโลหิตสูงจะมีค่าBPมากกว่าหรือเท่ากับ 140/90mmHg หน้ามืดใจสั่นวินเวียนศีรษะหรือเมื่อผู้ป่วยมีภาวะความดันโลหิตต่ำจะมีค่าBPน้อยกว่าหรือเท่ากับ 90/60mmHg อาการอ่อนเพลีย มือ-เท้าเย็น ความรู้สึกตัวลดลงเพื่อประเมิน และเฝ้าระวังความดันโลหิตสูงหรือต่ำผิดปกติ
        
        2.ประเมิน Glasgow coma score เพื่อประเมินความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย อธิบายให้ผู้ป่วยทราบถึงวิธีการตรวจและจะตรวจอะไรบ้าง
        1.ประเมินการลืมตา (Eyes Open (E))
        E4 หมายถึง ลืมตาได้เอง คือสามารถยกหนังตาบนได้ หลับตาได้เองดวงตามีแววตื่นตัว ไม่ไร้จุดหมาย สามารถลืมตา-หลับตาตามที่บอกได้ และรับรู้สิ่งแวดล้อมรอบตัว เพราะฉะนั้นผู้ป่วยหลับอยู่เมื่อปลุกแล้วตื่นง่ายและรับรู้สิ่งแวดล้อมรอบตัว ก็ถือว่าลืมตาได้เอง
        E3 หมายถึง ผู้ป่วยลืมตาเมื่อเรียก หรือกระตุ้นโดยตะโกนหรือเขย่าตัวจึงจะลืมตา
        E2 หมายถึง ผู้ป่วยจะลืมตาเมื่อเจ็บปวด เช่น กดเล็บ โดยการใช้ด้ามดินสอกดบริเวณโคนเล็บมือจึงจะลืมตา แต่จะไม่ใช้วิธีการกดบนกระบอกตาระหว่างคิ้วทั้งสองข้าง (supra-orbital notch)
        E1 หมายถึง ผู้ป่วยไม่ลืมตาเลย แม้ถูกกระตุ้นด้วยความเจ็บปวดที่รุนแรงที่สุดแล้ว
        2.ประเมินการสื่อภาษา (Best verbal response (V))
        V5 หมายถึง ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี พูดคุยได้ไม่สับสน รับรู้ถึงบุคคลสถานที่ เช่น บอกชื่อตัวเองได้ถูกต้อง บอกอายุตนเองได้ถูกต้อง พยาบาลควรหลีกเลี่ยงคาถามที่ต้องอาศัยความแม่นยาจริงๆ เช่น เวลา บ้านเลขที่ ฯลฯ
        V4 หมายถึง ผู้ป่วยพูดคุยได้แต่สับสน
        V3 หมายถึง ผู้ป่วยพูดเป็นคาๆ ไม่เป็นประโยค
        V2 หมายถึง ผู้ป่วยส่งเสียงไม่เป็นคาพูด เช่น เสียงอืออา เสียงคราง
        V1 หมายถึง ไม่มีการออกเสียงเลยเมื่อถูกกระตุ้น
        หมายเหตุ: ผู้ป่วยที่ On Endotracheal tube หรือ Tracheostomy tube ให้บันทึก VT และให้ 1คะแนน ถ้าตอบคำาถามได้ดีแม้พูดเป็นคำก็ถือว่าพูดเข้าใจ และสื่อความหมายได้ดี ให้ 5 คะแนน
        3.ประเมินการเคลื่อนไหว (Best Motor Response(M)) เป็นการตรวจการเคลื่อนไหวที่ดีที่สุดของแขนเท่านั้น เพราะเห็นได้ชัดเจนและไม่มี Withdrawal Spinal Reflex ของไขสันหลังมาเกี่ยวข้อง
        M6 หมายถึง ผู้ป่วยสามารถทำตามบอกได้ เช่น ยกมือขึ้นเหนือลาตัว กำมือหรือกำนิ้วชี้ กับนิ้วกลาง (2 นิ้วรวมกัน) ของพยาบาลผู้ตรวจทั้งซ้ายและขวาได้แน่นที่สุดและคลายออก ทำซ้ำ 2-3 ครั้ง
        M5 หมายถึง ผู้ป่วยทราบตำแหน่งที่เจ็บ พยายามเอามือมาปัด หรือยกมือขึ้นมาบริเวณเจ็บปวดได้ ถ้าแขนข้างหนึ่งเป็นอัมพาต ให้ทดสอบแขนข้างที่ดี และบันทึกหมายเหตุว่า ข้างใดเป็นอัมพาต
        M4 หมายถึง ผู้ป่วยชักแขนขาหนีเมื่อเจ็บ ผู้ป่วยจะตอบสนองต่อความเจ็บปวดเร็ว และตอบสนองต่อความเจ็บปวดในท่าต่างๆที่ไม่เหมือนกัน เช่น ใช้ด้ามดินสอกดที่เล็บมือก็ขยับแขนหนี
        M3 หมายถึง แขนงอผิดปกติ ผู้ป่วยจะตอบสนองต่อความเจ็บปวดช้า และตอบสนองต่อความเจ็บปวดในท่าเดียวกัน โดยแขนเคลื่อนไหวผ่านหน้าอก ขาเกร็งเหยียดตรง ปลายแขนหมุนเข้าหาลำตัวรูป คล้ายตัว C เรียกลักษณะนี้ว่า Decorticate rigidity
        M2 หมายถึง ผู้ป่วยเหยียดเกร็งแขน เมื่อถูกกระตุ้นด้วย Pain โดยเหยียดเกร็งแขนไปกับลำตัว ลักษณะนี้เรียกว่า Decerebrate rigidity
        M1 หมายถึง ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อ Pain เลย อาจมีหรือไม่มีการกระตุกของนิ้วมือ นิ้วเท้า ซึ่งเป็นการตอบสนองโดย Reflex เท่านั้น
        
        3.ติดตามวัดสัญญาณชีพทุก ๆ 2-4 ชั่วโมง เพื่อประเมินความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
        4.ดูแลให้ได้รับยาความดันโลหิตสูงตามแผนการรักษาคือ Nicardipine (1:5) IV drip 10ml/hr. เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาความดันโลหิตสูงตามแผนการรักษาของแพทย์ สังเกตอาการของภาวะความดัน โลหิตต่ำจากผลข้างเคียงของยา Nicardipine (1:5) IV drip 10ml/hr. คือ BPต่ำ 90/60mmHg อ่อนเพลียระดับความรู้สึกตัวลดลง เพื่อสังเกตและเฝ้าระวังภาวะความดันโลหิตต่ำาจากผลของการใช้ยา
        5.ดูแลจัดท่านอนให้ผู้ป่วยได้รับความสุขสบาย ในการนอนหลับพักผ่อน เพื่อป้องกันการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอจนเกิดภาวะความดันโลหิตสูง
        6.ดูแลให้ผู้ป่วย ได้รับสารน้ำและสารอาหารเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายคือ Blenderized Diet Low salt 1.2:1 200 x 4Feed + น้ำ 30 ml เพื่อป้องกันการขาดน้ำและสารอาหารจนทำให้ร่างกายอ่อนเพลียและความดันโลหิตต่ำ
        7.ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการและค่าความดันโลหิตเพื่อคิดตามผลของการดูแลรักษา
        การประเมินผล(04/05/2567)
        ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี E4V5M6 pupil 2 mm ไม่มีอาการปวดศีรษะ ตาพร่ามัว คลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะ ปากเบี้ยวเเขนขาอ่อนเเรง สัญญาณชีพ BP=137/65 mmHg, HR= 82 /min, RR= 18 /min, T= 37.2°C
        
        ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลที่ 4 มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis Treatment) ความดันโลหิตต่ำ น้ำตาลในเลือดต่ำ หัวใจเต้นผิดจังหวะ
        
        S = -
        O = - Dx. End-stage renal disease (ESRD) with volume overload with Hypertensive emergency (โรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย มีภาวะน้ำเกิน และระดับความดันโลหิตสูงมากกว่า 180/100 mmHg.)
        
        วัตถุประสงค์
        1.เพื่อให้ผู้ป่วยไม่มีภาวะแทรกซ้อนหลังการฟอกไตด้วยเครื่องฟอกไตเทียม
        เกณฑ์การประเมิน
        1.สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ BP=Systolic 90–140 mmHg. / Diastolic 60–90 mmHg.
        MAP > 65mmHg., PR=60–100/min, RR=16–20/min, T= 36.5-37.4°C
        2.ไม่เกิดอาการกลุ่ม dialysis disequilibrium syndrome เช่น อาการปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียนกระสับกระส่าย ความดันโลหิตต่ำหรือสูงมาก ชักไม่รู้สึกตัว
        3.ไม่เกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอก หายใจลำบาก ไอกระสับกระส่าย สับสน ซีด เขียว ตามองเห็นไม่ชัดเจนความดันโลหิตต่ำในท่านั่ง ชัก หมดสติ ซึ่งเกิดจาก air embolism
        4.ไม่เกิดอาการตะคริว
        กิจกรรมการพยาบาล
        1.ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะภาวะแทรกซ้อนหลังการฟอกไตด้วยเครื่องฟอกไตเทียม ได้แก่ อาการปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียนกระสับกระส่าย ความดันโลหิตต่ำหรือสูงมาก ชักไม่รู้สึกตัว เจ็บแน่นหน้าอก หายใจลำบาก ไอกระสับกระส่าย สับสน ซีด เขียว ตามองเห็นไม่ชัดเจนความดันโลหิตต่ำในท่านั่ง ชัก หมดสติ ซึ่งเกิดจาก air embolism เพื่อประเมินดูความรุนแรงของความผิดปกติและเพื่อให้ได้รับการรักษาได้ทันท่วงที
        2.ประเมินสัญญาณชีพ ทุก 1 ชั่วโมง เพื่อประเมินดูความรุนแรงของความผิดปกติและเพื่อให้ได้รับการรักษาได้ทันท่วงที
        3.ชั่งน้ำหนักหลังการฟอกเลือดทุกครั้ง เพื่อใช้เปรียบเทียบกับน้ำหนักหลังจากทำการฟอกเลือดไปครั้งก่อน
        4.ผู้ป่วยที่ใช้เส้นฟอกเลือดที่แขนเมื่อเสร็จสิ้นการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม พยาบาลจะใช้ม้วนผ้าก๊อซเป็นก้อนกดบริเวณที่แทงเข็มและใช้ปิดปลาสเตอร์ไว้ ถ้ามีเลือดซึมออกจากแผลควรใช้ก๊อซหรือผ้าสะอาดกดบริเวณที่แทงเข็มประมาณ 15-30 นาที ถ้าเลือดไม่หยุดให้รีบแจ้งพยาบาลโดยเร็ว
        5.หลังการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม อาจยังมีผลตกค้างของยาที่ใช้ในการป้องกันการแข็งตัวของเลือด(heparin) ควรระวังดังนี้
        5.1ระวังการกระทบกระแทกแรงๆ เช่น การหกล้ม การกระแทกกับสิ่งของ อาจมีให้ บริเวณที่ถูกกระแทกเขียวช้ำให้ประคบเย็นทันทีและประคบเย็นต่อเนื่อง 24 ชั่วโมงแรกหลังจากนั้นประคบด้วย น้ำอุ่นเพื่อลดการขยายตัวของหลอดเลือดบริเวณที่ช้ำใน 24 ชั่วโมงแรก และหลังจาก 24 ชั่วโมงประคบอุ่นจะทำให้หลอดเลือดขยายตัวทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้นลดอาการช้ำเขียวและลดอาการปวดบริเวณนั้น
        5.2ถ้ามีแผลของมีคมบาด ใช้ผ้าก๊อซสะอาดกดจนเลือดหยุด นานประมาน 15-30 นาที ถ้าบาดแผลใหญ่มากหรือเลือดไหลไม่หยุด ควรรีบแจ้งพยาบาลทันที เพื่อป้องกันการสูญเสียเลือด
        5.3หลังการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน เมื่อกลับบ้าน หากอาการดังกล่าวควรแจ้งให้แพทย์และพยาบาลทราบเพื่อการเปลี่ยนแปลงปรับน้ำหนักตัวแห้ง (dry weight) ของผู้ป่วยให้เหมาะสมกับร่างกายต่อไป
        5.4ดูแลบริเวณที่ปิดปลาสเตอร์ให้แห้งอยู่เสมอ หากเปียกน้ำควรแกะปลาสเตอร์ทิ้งทันที เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่รูเข็ม หากยังมีเลือดซึมที่ผิวหนังเล็กน้อยให้ใช้ปลาสเตอร์สะอาดแผ่นใหม่ปิดแทน
        5.5ผู้ป่วยที่ใช้เส้นฟอกเลือดที่คอ ควรดูแลความสะอาดของผิวหนังรอบสาย โดยห้ามแผลเปียกน้ำระวังการมีเหงื่อออกมาก การอับชื้นของแผล ห้ามเกาแผล ระวังไม่ให้ผ้าปิดแผลหลุดเพราะจะเป็นช่องทางของเชื้อโรคทำให้เกิดการติดเชื้อได้
        6.ติดตามและประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะแทรกซ้อนหลังการฟอกไตด้วยเครื่องฟอกไตเทียม ได้แก่ อาการปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียนกระสับกระส่าย ความดันโลหิตต่ำหรือสูงมาก ชักไม่รู้สึกตัว เจ็บแน่นหน้าอก หายใจลำบาก ไอกระสับกระส่าย สับสน ซีด เขียว ตามองเห็นไม่ชัดเจนความดันโลหิตต่ำในท่านั่ง ชัก หมดสติ ซึ่งเกิดจาก air embolism และวัดสัญญาณชีพ ซ้ำหลังให้การพยาบาลเพื่อดูความก้าวหน้าของการรักษาและเพื่อวางแผนการพยาบาลต่อไปให้เหมาะสม
        การประเมินผล(04/05/2567)
        หลังจากการฟอกไตด้วยเครื่องฟอกไตเทียมผู้ป่วย ไม่มีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ไม่มีภาวะความดันโลหิตต่ำหรือสูงมาก ไม่มีอาการหายใจลำบากหรือเจ็บแน่นหน้าอก ปลายมือปลายเท้าของผู้ป่วยมีสีซีดแต่ไม่เขียว สัญญาณชีพ : BP=152/108 mmHg., PR=80/min, RR=18/min, T=38.3°C, MAP=122mmHg.
        
        S = ผู้ป่วยบอกว่า ยังมีอาการอ่อนเพลีย รู้สึกเบื่ออาหาร
        O =
        
        Nail : capillary refill time > 2 sec, Eyes : pale conjunctiva
        
        Hb 7.2 g/dl (12.0-14.9 g/dl.) HCT23.9 % (37.0-45.7% ) RBC 2.70 10S6 cell/cu mm (4.00-5.50 10S6 cell/cu mm) (03/05/2567)
      - ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 2 มีของเสียคั่งในร่างกายเเละน้ำเกินเนื่องจากไตทำงานไม่มีประสิทธิภาพจากภาวะไตวายเรื้อรัง
      - S = -
        O = BUN 32 mg/dL creatinine 5.31 mg/dL eGFR 4.34 mL/min/1.73m2
        Pitting edema 1+ both leg (03/05/2567)
      - วัตถุประสงค์
        1.ป้องกันภาวะเเทรกซ้อนจากของเสียคั่งเเละน้ำเกินในร่างกาย
        เกณฑ์การประเมินผล
        1.ไม่มีอาการเเสดงของเสียคั่งคืือ ระดับความรู้สึกตัวลดลง คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนแรง ผิวแห้ง คัน กล้ามเนื้อเป็นตะคริว ปัสสาวะออกน้อย
        2.ไม่มีอาการน้ำเกิน คือ บวมตามร่างกาย นอนราบไม่ได้ เหนื่อยหอบ
        3.ผลทางห้องปฏิบัติการปกติ BUN 8-20 mg/dL และ Creatinine 0.55-1.02 mg/dL
        กิจกรรมพยาบาล
        1.ประเมินและบันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมงโดยเฉพาะค่าความดันโลหิต
        เพื่อเฝ้าระวังภาวะเเทรกซ้อน
        2.ประเมินอาการน้ำเกินในร่างกายคือ บวมตามตัว ไอ เหนื่อยหอบ นอนราบไม่ได้ หากพบให้รีบเเจ้ง
        3.สังเกตอาการปัสสาวะออกน้อย คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย บวม หอบเหนื่อย คันตามตัวเพื่อประเมินภาวะของเสียคั่งในร่างกาย
        4.จํากัดกิจกรรมและให้พักผ่อนอยู่บนเตียง เพื่อป้องกันภาวะความดันโลหิตสูง
        5.ดูแลให้ได้รับประทาน Blenderized Diet Low salt 1.2:1 200 x 4Feed + น้ำ 30 ml โดยผ่านสายยางให้อาหาร เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่เหมาะสมต่อโรคที่ผู้ป่วยเป็น
        6..ดูเเลให้ได้รับยา คือยา Lasix 500mg iv drip in 12hr. ขับปัสสาวะเพื่อขับน้ำเเละของเสียที่อยู่ในร่างกายออกมา พร้อมสังเกตอาการข้างเคียงคือ มือสั่น ปากเเห้ง หนาวสั่น ความดันต่ำ
        7.ดูเเลให้ได้ยาขับปัสสาวะ Lasix 500mg ¼ tab PO BID PC. หลังอาหาร ในเวลา 8:00น 17:00น เพื่อขับน้ำเเละของเสียในร่างกาย พร้อมสังเกตอาการข้างเคียงคือ มือสั่น ปากเเห้ง หนาวสั่น ความดันต่ำ
        8.ดูเเลให้ได้รับการรักษาด้วยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis) สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ในวัน อังคาร เเละ พฤหัส เพื่อช่วยขับของเสียในเลือดเเละของเหลวส่วนเกินออกให้ไตทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
        9.บันทึกปริมาณสารน้ำเข้า-ออกในร่างกายทุก 8 ชั่วโมง เพื่อประเมินภาวะน้ำเกินในระบบไหลเวียนซึ่งส่งผลให้มีความดันโลหิตสูง หากน้อยกว่า 30 cc/hr ให้รายงานแพทย์
        10.ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ ค่า BUN และ Creatinine เพื่อติดตามการดำเนินและการรักษาของโรค
        การประเมินผล (04/05/2567)
        ผู้ป่วยปัสสาวะออกน้อย ไม่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนแรง ไม่มีบวมตามร่างกาย นอนราบได้
        เหนื่อยเล็กน้อย on cannula 3 Lpm สัญญาณชีพ BP=137/65 mmHg, HR= 82 ครั้ง/นาที, RR= 18 ครั้ง/นาที, T= 37.2°C O2sat 98 %
        I/O 750/100 เวรเช้า ปัสสาวะเหลืองเข้ม ไม่มีตะกอน
        ผลตรวจ 04/05/2567 BUN 59 mg/dL (8-20 mg/dL) Creatinine 8.03 mg/dL (0.55-1.02 mg/dL)
  - - - ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 5 มีภาวะติดเชื้อเนื่องจากมีภูมิต้านทานในร่างกายต่ำ
        
        S = ญาติบอกว่า ผู้ป่วยตัวร้อน
        O =
        สัญญาณชีพ BP 140/79 mmHg PR 67 ครั้ง/นาที RR 18 ครั้ง/นาที T 36.2 C O2sa98 %
        WBC Count (White blood cell count) 16.53 (4.40-10.30 103/ul)
        Neutrophil 91.1 (40.0-73.1 %)
        Lymphocyte 4.8 (20.3-47.9 %)
        Monocyte 3.3 (3.4-9.7 %)
        Eosinophil 0.5 (0.4-7.5 %)
        Basophil 0.3 (0.2-1.4%) (4/05/67)
        
        วัตถุประสงค์
        คงเดิม
        เกณฑ์การประเมิน
        คงเดิม
        กิจกรรมทางการพยาบาล
        
        อาการและอาการแสดงของภาวะติดเชื้อต่าง ๆ ของร่างกาย ได้แก่ อาการไข้ เพื่อประเมินดูความรุนแรงของความผิดปกติและเพื่อให้ได้รับการรักษาได้ทันท่วงที
        
        ประเมินสัญญาณชีพ วัดอุณหภูมิร่างกายทุก 1 ชั่วโมง เพื่อประเมินการติดเชื้อในร่างกาย หากมีไข้อุณหภูมิมากกว่า 38.0 C ดูแลเช็ดตัวลดไข้ เพื่อเป็นการถ่ายเทความร้อนออกจากร่างกายและวัดอุณห๓มิร่างกายซ้ำหลังจากเช็ดตัวแล้ว 30 นาที
        
        ดูแลเปลี่ยนชุดให้สารน้ำทางหลอดเลือดทุก 1-3 วัน โดยการทำความสะอาดรอยต่อของชุดให้สารน้ำและสายต่อจากกหลอดเลือดด้วยแอลกอฮอล์ 70 % หรือ 2% chlorhexidine ในแอลกอฮอล์ 70% เพื่อป้องกันการติดเชื้อเพิ่ม
        
        ดูแลให้ได้รับยา Tazocin 4.5 g IV q 6 hr. 1 day then Tazocin 2.25 g Iv q 6 hr. เพื่อรักษาการติดเชื้อ และประเมินผลข้างเคียงของยา ผื่นตามตัว ผื่นลมพิษ หายใจลำบาก ถ้ามีอาการให้รีบแจ้งแพทย์ เพื่อให้ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที
        
        ดูแลทำความสะอาดร่างกายเป็นประจำ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
        
        ให้ทำหัตถการด้วยหลัก Aseptic teachnique เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
        7.ดูแลทำความสะอาดสิ่งแวดล้อมรอบตัวผู้ป่วยเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อเข้าสู่ร่างกายและไม่เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค
        
        ติดตามและประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะติดเชื้อต่าง ๆ ของร่างกาย ได้แก่ อาการไข้ สัญญาณชีพและผลตรวจทางห้องปฏิบัติการซ้ำหลังให้การพยาบาลเพื่อดูความก้าวหน้าของการรักษาและเพื่อนำไปสู่การวางแผนการพยาบาลที่เหมาะสมต่อไป
        
        การประเมินผล (05/05/2567)
        ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี ไม่มีไข้ On cannula 3 Lpm สัญญาณชีพ BP=137/65 mmHg, HR= 82 ครั้ง/นาที, RR= 18 ครั้ง/นาที, T= 37.2°C O2sat 98 %
        
        ข้อวินิจฉัยพยาบาลข้อที่ 4 เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูง
        
        S = -
        O = สัญญาณชีพ BP 140/79 mmHg PR 67 ครั้ง/นาที RR 18 ครั้ง/นาที T 36.2 C O2sa98 %
        
        วัตถุประสงค์
        คงเดิม
        เกณฑ์การประเมินผล
        คงเดิม
        กิจกรรมการพยาบาล
        1.ประเมินอาการของผู้ป่วยว่ามีภาวะความดันโลหิตสูงหรือต่ำผิดปกติหรือไม่ เมื่อผู้ป่วยมีภาวะความดันโลหิตสูงจะมีค่าBPมากกว่าหรือเท่ากับ 140/90mmHg หน้ามืดใจสั่นวินเวียนศีรษะหรือเมื่อผู้ป่วยมีภาวะความดันโลหิตต่ำจะมีค่าBPน้อยกว่าหรือเท่ากับ 90/60mmHg อาการอ่อนเพลีย มือ-เท้าเย็น ความรู้สึกตัวลดลงเพื่อประเมิน และเฝ้าระวังความดันโลหิตสูงหรือต่ำผิดปกติ
        
        2.ประเมิน Glasgow coma score เพื่อประเมินความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย อธิบายให้ผู้ป่วยทราบถึงวิธีการตรวจและจะตรวจอะไรบ้าง
        1.ประเมินการลืมตา (Eyes Open (E))
        E4 หมายถึง ลืมตาได้เอง คือสามารถยกหนังตาบนได้ หลับตาได้เองดวงตามีแววตื่นตัว ไม่ไร้จุดหมาย สามารถลืมตา-หลับตาตามที่บอกได้ และรับรู้สิ่งแวดล้อมรอบตัว เพราะฉะนั้นผู้ป่วยหลับอยู่เมื่อปลุกแล้วตื่นง่ายและรับรู้สิ่งแวดล้อมรอบตัว ก็ถือว่าลืมตาได้เอง
        E3 หมายถึง ผู้ป่วยลืมตาเมื่อเรียก หรือกระตุ้นโดยตะโกนหรือเขย่าตัวจึงจะลืมตา
        E2 หมายถึง ผู้ป่วยจะลืมตาเมื่อเจ็บปวด เช่น กดเล็บ โดยการใช้ด้ามดินสอกดบริเวณโคนเล็บมือจึงจะลืมตา แต่จะไม่ใช้วิธีการกดบนกระบอกตาระหว่างคิ้วทั้งสองข้าง (supra-orbital notch)
        E1 หมายถึง ผู้ป่วยไม่ลืมตาเลย แม้ถูกกระตุ้นด้วยความเจ็บปวดที่รุนแรงที่สุดแล้ว
        2.ประเมินการสื่อภาษา (Best verbal response (V))
        V5 หมายถึง ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี พูดคุยได้ไม่สับสน รับรู้ถึงบุคคลสถานที่ เช่น บอกชื่อตัวเองได้ถูกต้อง บอกอายุตนเองได้ถูกต้อง พยาบาลควรหลีกเลี่ยงคาถามที่ต้องอาศัยความแม่นยาจริงๆ เช่น เวลา บ้านเลขที่ ฯลฯ
        V4 หมายถึง ผู้ป่วยพูดคุยได้แต่สับสน
        V3 หมายถึง ผู้ป่วยพูดเป็นคาๆ ไม่เป็นประโยค
        V2 หมายถึง ผู้ป่วยส่งเสียงไม่เป็นคาพูด เช่น เสียงอืออา เสียงคราง
        V1 หมายถึง ไม่มีการออกเสียงเลยเมื่อถูกกระตุ้น
        หมายเหตุ: ผู้ป่วยที่ On Endotracheal tube หรือ Tracheostomy tube ให้บันทึก VT และให้ 1คะแนน ถ้าตอบคำาถามได้ดีแม้พูดเป็นคำก็ถือว่าพูดเข้าใจ และสื่อความหมายได้ดี ให้ 5 คะแนน
        3.ประเมินการเคลื่อนไหว (Best Motor Response(M)) เป็นการตรวจการเคลื่อนไหวที่ดีที่สุดของแขนเท่านั้น เพราะเห็นได้ชัดเจนและไม่มี Withdrawal Spinal Reflex ของไขสันหลังมาเกี่ยวข้อง
        M6 หมายถึง ผู้ป่วยสามารถทำตามบอกได้ เช่น ยกมือขึ้นเหนือลาตัว กำมือหรือกำนิ้วชี้ กับนิ้วกลาง (2 นิ้วรวมกัน) ของพยาบาลผู้ตรวจทั้งซ้ายและขวาได้แน่นที่สุดและคลายออก ทำซ้ำ 2-3 ครั้ง
        M5 หมายถึง ผู้ป่วยทราบตำแหน่งที่เจ็บ พยายามเอามือมาปัด หรือยกมือขึ้นมาบริเวณเจ็บปวดได้ ถ้าแขนข้างหนึ่งเป็นอัมพาต ให้ทดสอบแขนข้างที่ดี และบันทึกหมายเหตุว่า ข้างใดเป็นอัมพาต
        M4 หมายถึง ผู้ป่วยชักแขนขาหนีเมื่อเจ็บ ผู้ป่วยจะตอบสนองต่อความเจ็บปวดเร็ว และตอบสนองต่อความเจ็บปวดในท่าต่างๆที่ไม่เหมือนกัน เช่น ใช้ด้ามดินสอกดที่เล็บมือก็ขยับแขนหนี
        M3 หมายถึง แขนงอผิดปกติ ผู้ป่วยจะตอบสนองต่อความเจ็บปวดช้า และตอบสนองต่อความเจ็บปวดในท่าเดียวกัน โดยแขนเคลื่อนไหวผ่านหน้าอก ขาเกร็งเหยียดตรง ปลายแขนหมุนเข้าหาลำตัวรูป คล้ายตัว C เรียกลักษณะนี้ว่า Decorticate rigidity
        M2 หมายถึง ผู้ป่วยเหยียดเกร็งแขน เมื่อถูกกระตุ้นด้วย Pain โดยเหยียดเกร็งแขนไปกับลำตัว ลักษณะนี้เรียกว่า Decerebrate rigidity
        M1 หมายถึง ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อ Pain เลย อาจมีหรือไม่มีการกระตุกของนิ้วมือ นิ้วเท้า ซึ่งเป็นการตอบสนองโดย Reflex เท่านั้น
        
        3.ติดตามวัดสัญญาณชีพทุก ๆ 2-4 ชั่วโมง เพื่อประเมินความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
        4.ดูแลให้ได้รับยาความดันโลหิตสูงตามแผนการรักษาคือ Nicardipine (1:5) IV drip 10ml/hr. เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาความดันโลหิตสูงตามแผนการรักษาของแพทย์ สังเกตอาการของภาวะความดัน โลหิตต่ำจากผลข้างเคียงของยา Nicardipine (1:5) IV drip 10ml/hr. คือ BPต่ำ 90/60mmHg อ่อนเพลียระดับความรู้สึกตัวลดลง เพื่อสังเกตและเฝ้าระวังภาวะความดันโลหิตต่ำาจากผลของการใช้ยา
        5.ดูแลจัดท่านอนให้ผู้ป่วยได้รับความสุขสบาย ในการนอนหลับพักผ่อน เพื่อป้องกันการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอจนเกิดภาวะความดันโลหิตสูง
        6.ดูแลให้ผู้ป่วย ได้รับสารน้ำและสารอาหารเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายคือ Blenderized Diet Low salt 1.2:1 200 x 4Feed + น้ำ 30 ml เพื่อป้องกันการขาดน้ำและสารอาหารจนทำให้ร่างกายอ่อนเพลียและความดันโลหิตต่ำ
        7.ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการและค่าความดันโลหิตเพื่อคิดตามผลของการดูแลรักษา
        การประเมินผล (05/05/2567)
        ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี E4V5M6 pupil 2 mm ไม่มีอาการปวดศีรษะ ตาพร่ามัว คลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะ On cannula 3 Lpm สัญญาณชีพ BP=137/65 mmHg, HR= 82 ครั้ง/นาที, RR= 18 ครั้ง/นาที, T= 37.2°C O2sat 98 %
        
        ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่3 มีภาวะภาวะซีดเนื่องจากการสร้างเม็ดเลือดเเดงลดลงจากไตวายเรื้อรัง
        
        S = ผู้ป่วยบอกว่า มีอาการอ่อนเพลีย รู้สึกเบื่ออาหาร
        O =
        
        Nail : capillary refill time > 2 sec, Eyes : pale conjunctiva
        
        ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ 04/05/2567 (07:00 น.)
        Hb 8.1 g/dl (12.0-14.9 g/dl)
        HCT 24.6 % (37.0-45.7%)
        RBC 2.85 10S6 cell/cu mm (4.00-5.50 10S6 cell/cu mm)
        
        วัตถุประสงค์
        คงเดิม
        เกณฑ์ประเมินผล
        คงเดิม
        กิจกกรรมพยาบาล
        1.ประเมินอาการ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย จากภาวะซีด เพื่อทําให้ทราบถึงภาวะซีด และให้การพยาบาลได้ถูกต้องเหมาะสม
        2.ประเมินความสามารถในการทํากิจกรรมที่ต้องทำเพื่อวางแผนการให้การพยาบาลได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
        3.ให้ผู้ป่วยนอนพักอยู่ที่เตียง จำกัดกิจกรรม เพื่อลดการใช้ออกซิเจนของร่างกายไม่ให้เกิดการ
        เหนื่อยหอบ
        4.วัดสัญญาณชีพอย่างสม่ำเสมอทุก 4 ชั่วโมง สังเกตชีพจรเร็ว หายใจหอบ ความดันโลหิตต่ำ เพื่อไม่ให้เกิดภาวะเเทรกซ้อน
        5.ดูเเลให้ได้รับยาเสริมธาตุเหล็กคือ Ferrous Fumarate 200 mg เพื่อช่วยสร้างเม็ดเลือดเเดง รับประทาน 1 เม็ดวันละ 1 ครั้งหลังอาหารเช้า ในเวลา 8:00น เเละสังเกตอาการข้างเคียง ท้องผูกหรือท้องเสีย ปวดท้อง อุจจาระเป็นสีดา ความอยากอาหารลดลง มีแผลในปาก
        6.ดูเเลให้ได้รับ Folic acid เพื่อช่วยสร้างเม็ดเลือดเเดง 1 เม็ด วันละ 1 ครั้งหลังอาหาร เวลา 8:00 น. เเละสังเกตอาการข้างเคียงคือเกิดอาการปวดท้อง ท้องร่วง ผื่นขึ้น ปัญหาการนอนหลับ สับสน คลื่นไส้
        7.ติดตามผล CBC เพื่อติดตามภาวะซีด
        การประเมินผล (05/05/2567)
        ผู้ป่วยยังมีอาการอ่อนเพลีย ผลตรวจร่างกาย Nail : capillary refill time > 2 sec, Eyes : pale conjunctiva
        
        ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 2 มีของเสียคั่งในร่างกายเเละน้ำเกินเนื่องจากไตทำงานไม่มีประสิทธิภาพจากภาวะไตวายเรื้อรัง
        
        วัตถุประสงค์
        คงเดิม
        เกณฑ์การประเมินผล
        คงเดิม
        กิจกรรมพยาบาล
        1.ประเมินและบันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมงโดยเฉพาะค่าความดันโลหิต
        เพื่อเฝ้าระวังภาวะเเทรกซ้อน
        2.ประเมินอาการน้ำเกินในร่างกายคือ บวมตามตัว ไอ เหนื่อยหอบ นอนราบไม่ได้ หากพบให้รีบเเจ้ง
        3.สังเกตอาการปัสสาวะออกน้อย คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย บวม หอบเหนื่อย คันตามตัวเพื่อประเมินภาวะของเสียคั่งในร่างกาย
        4.จํากัดกิจกรรมและให้พักผ่อนอยู่บนเตียง เพื่อป้องกันภาวะความดันโลหิตสูง
        5.ดูแลให้ได้รับประทาน Blenderized Diet Low salt 1.2:1 200 x 4Feed + น้ำ 30 ml โดยผ่านสายยางให้อาหาร เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่เหมาะสมต่อโรคที่ผู้ป่วยเป็น
        6..ดูเเลให้ได้รับยา คือยา Lasix 500mg iv drip in 12hr. ขับปัสสาวะเพื่อขับน้ำเเละของเสียที่อยู่ในร่างกายออกมา พร้อมสังเกตอาการข้างเคียงคือ มือสั่น ปากเเห้ง หนาวสั่น ความดันต่ำ
        7.ดูเเลให้ได้ยาขับปัสสาวะ Lasix 500mg ¼ tab PO BID PC. หลังอาหาร ในเวลา 8:00น 17:00น เพื่อขับน้ำเเละของเสียในร่างกาย พร้อมสังเกตอาการข้างเคียงคือ มือสั่น ปากเเห้ง หนาวสั่น ความดันต่ำ
        8.ดูเเลให้ได้รับการรักษาด้วยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis) สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ในวัน อังคาร เเละ พฤหัส เพื่อช่วยขับของเสียในเลือดเเละของเหลวส่วนเกินออกให้ไตทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
        9.บันทึกปริมาณสารน้ำเข้า-ออกในร่างกายทุก 8 ชั่วโมง เพื่อประเมินภาวะน้ำเกินในระบบไหลเวียนซึ่งส่งผลให้มีความดันโลหิตสูง หากน้อยกว่า 30 cc/hr ให้รายงานแพทย์
        10.ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ ค่า BUN และ Creatinine เพื่อติดตามการดำเนินและการรักษาของโรค
        การประเมินผล (05/05/2567)
        ผู้ป่วยไม่มีอาการเเสดงของเสียคั่งคืือ ระดับความรู้สึกตัวลดลง คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนแรง เบื่ออาหาร ผิวแห้ง คัน กล้ามเนื้อเป็นตะคริว มีบวมบริเวณขา ตรวจร่างกายพบ Pitting edema 1+ both leg
        
        S = -
        O = BUN 59 mg/dL creatinine 8.03 mg/dL eGFR 6.28 mL/min/1.73m2.
        ตรวจร่างกายพบ Pitting edema 1+ both leg
      - ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 1 เสี่ยงต่อภาวะเนื้อเยื่อของร่างกายพร่องออกซิเจนเนื่องจากพื้นที่การแลกเปลี่ยนก๊าซลดลง
      - S = ญาติบอกว่า หายใจดูเหนื่อย นอนราบไม่ค่อยได้ ไอมีเสมหะ
        O =
        On cannula 3 Lpm
        ตรวจร่างกายพบ Pitting edema 1+ both leg
        Lung : crepitation both lung
        สัญญาณชีพ BP 140/79 mmHg PR 67 ครั้ง/นาที RR 18 ครั้ง/นาที T 36.2 C O2sat 98 %
      - วัตถุประสงค์
        คงเดิม
        เกณฑ์การประเมิน
        คงเดิม
        กิจกรรมการพยาบาล
        1.ฟังเสียงการหายใจเพื่อประเมินปริมาณเสมหะและภาวะหลอดลมตีบ ดูดเสมหะทุก 4 ชั่วโมง เพิ่ม FiO2 100 % นาน 2 นาที เพื่อป้องกันการขาดออกซิเจนขณะดูดเสมหะ
        2.ดูแลให้ Oxygen cannula 3 Lpm ตามแผนการรักษา เพื่อการช่วยการหายใจให้เนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนเพียงพอตามเป้าหมาย
        3.ดูแลให้ละอองไอน้ำและความชื้นผ่านทางการหายใจ ในกรณีผู้ป่วยมีเสมหะเหนียว ไอออกได้ยาก เพื่อให้ทางเดินหายใจชุ่มชื้นและช่วยขับเสมหะออกมาได้ ดูแลการเปลี่ยนทุกครั้งเมื่อน้ำใน humidifier เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับความชื้นตลอด
        4.ดูเเลให้ได้รับยา คือยา Lasix 500 mg iv drip in 12hr. ขับปัสสาวะเพื่อขับน้ำเเละของเสีย ที่อยู่ในร่างกายออกมา พร้อมสังเกตุอาการข้างเคียงคือ มือสั่น ปากเเห้ง หนาวสั่น ความดันต่ำ
        5.ดูเเลให้ได้ยาขับปัสสาวะ Lasix 500 mg ¼ tab po BID pc. หลังอาหาร ในเวลา 8:00น 17:00น เพื่อขับน้ำเเละของเสียในร่างกาย พร้อมสังเกตุอาการข้างเคียงคือ มือสั่น ปากเเห้ง หนาวสั่น ความดันต่ำ
        6.ดูแลให้ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ดูแลช่วยเหลือในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อลดการใช้ออกซิเจน
        
        ติดตามผล X-ray ปอด เพื่อให้การพยาบาลตามความเหมาะสมและการดำเนินของโรค
        8.รายงานอาการให้แพทย์ทราบทันทีเมื่อพบความผิดปกติ เช่น หายใจหอบเหนื่อยมากขึ้น หรือ หายใจลำบาก เป็นต้น เพื่อร่วมวางแผนในการดูแลผู้ป่วยร่วมกัน
        
        ติดตามประเมินผลและบันทึกสัญญาณชีพ วัดระดับ O2 saturation เพื่อจะได้ให้การพยาบาลตามความเหมาะสมและการดำเนินไปของโรค
        
        การประเมินผล(05/05/2567)
        ผู้ป่วย On cannula 3 Lpm ไม่มีภาวะพร่องออกซิเจน เช่น หายใจหอบเหนื่อย ปลายมือปลายเท้าเขียว หายใจเร็วตื้นใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องในการหายใจ ริมฝีปากเขียวคล้ำ กระสับกระส่าย อัตราการหายใจ 18 ครั้งต่อนาที ลักษณะการหายใจปกติ ไม่มีการหายใจเร็วแรงลึก ไม่มีอาหารหายใจลำบาก ความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือด 98 % ฟังเสียงปอดยังคงมีเสียง Crepitation ทางเดินหายใจโล่ง ไม่มีเสมหะ และ ผล X-ray ไม่มี infiltration
  - - - ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่3 มีภาวะภาวะซีดเนื่องจากการสร้าง เม็ดเลือดเเดง ลดลงจากไตวายเรื้อรัง
        
        S = ผู้ป่วยบอกว่า มีอาการอ่อนเพลีย รู้สึกเบื่ออาหาร
        O = Nail : capillary refill time > 2 sec, Eyes : pale conjunctiva
        
        วัตถุประสงค์
        คงเดิม
        เกณฑ์ประเมินผล
        คงเดิม
        กิจกกรรมพยาบาล
        1.ประเมินอาการ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย จากภาวะซีด เพื่อทําให้ทราบถึงภาวะซีด และให้การพยาบาลได้ถูกต้องเหมาะสม
        2.ประเมินความสามารถในการทํากิจกรรมที่ต้องทำเพื่อวางแผนการให้การพยาบาลได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
        3.ให้ผู้ป่วยนอนพักอยู่ที่เตียง จำกัดกิจกรรม เพื่อลดการใช้ออกซิเจนของร่างกายไม่ให้เกิดการเหนื่อยหอบ
        4.วัดสัญญาณชีพอย่างสม่ำเสมอทุก 4ชั่วโมง สังเกตชีพจรเร็ว หายใจหอบ ความดันโลหิตต่ำ เพื่อไม่ให้เกิดภาวะเเทรกซ้อน
        5.ดูเเลให้ได้รับยาเสริมธาตุเหล็กคือ Ferrous Fumarate 200 mg เพื่อช่วยสร้างเม็ดเลือดเเดง รับประทาน 1 เม็ดวันละ 1 ครั้งหลังอาหารเช้า ในเวลา 8:00น เเละสังเกตอาการข้างเคียง ท้องผูกหรือท้องเสีย ปวดท้อง อุจจาระเป็นสีดา ความอยากอาหารลดลง มีแผลในปาก
        6.ดูเเลให้ได้รับ Folic acid เพื่อช่วยสร้างเม็ดเลือดเเดง 1 เม็ด วันละ 1 ครั้งหลังอาหาร เวลา 8:00 น. เเละสังเกตอาการข้างเคียงคือเกิดอาการปวดท้อง ท้องร่วง ผื่นขึ้น ปัญหาการนอนหลับ สับสน คลื่นไส้
        7.ติดตามผล CBC เพื่อติดตามภาวะซีด
        การประเมินผล (06/05/2567)
        ผู้ป่วยกลับบ้าน
        
        ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 2 มีของเสียคั่งในร่างกายเเละน้ำเกินเนื่องจากไตทำงานไม่มีประสิทภาพจากภาวะไตวายเรื้อรัง
        
        S = -
        O =
        BUN 81 mg/dL creatinine 10.27 mg/dL eGFR 4.66 mL/min/1.73m2.
        Pitting edema 1+ (5/05/67)
        
        วัตถุประสงค์
        คงเดิม
        เกณฑ์การประเมินผล
        คงเดิม
        กิจกรรมพยาบาล
        1.ประเมินและบันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมงโดยเฉพาะค่าความดันโลหิต
        เพื่อเฝ้าระวังภาวะเเทรกซ้อน
        2.ประเมินอาการน้ำเกินในร่างกายคือ บวมตามตัว ไอ เหนื่อยหอบ นอนราบไม่ได้ หากพบให้รีบเเจ้ง
        3.สังเกตอาการปัสสาวะออกน้อย คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย บวม หอบเหนื่อย คันตามตัวเพื่อประเมินภาวะของเสียคั่งในร่างกาย
        4.จํากัดกิจกรรมและให้พักผ่อนอยู่บนเตียง เพื่อป้องกันภาวะความดันโลหิตสูง
        5.ดูแลให้ได้รับประทาน Blenderized Diet Low salt 1.2:1 200 x 4Feed + น้ำ 30 ml โดยผ่านสายยางให้อาหาร เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่เหมาะสมต่อโรคที่ผู้ป่วยเป็น
        6..ดูเเลให้ได้รับยา คือยา Lasix 500mg iv drip in 12hr. ขับปัสสาวะเพื่อขับน้ำเเละของเสียที่อยู่ในร่างกายออกมา พร้อมสังเกตุอาการข้างเคียงคือ มือสั่น ปากเเห้ง หนาวสั่น ความดันต่ำ
        7.ดูเเลให้ได้ยาขับปัสสาวะ lasix 500mg ¼ tab PO BID PC. หลังอาหารง ในเวลา 8:00น 17:00น เพื่อขับน้ำเเละของเสียในร่างกาย พร้อมสังเกตุอาการข้างเคียงคือ มือสั่น ปากเเห้ง หนาวสั่น ความดันต่ำ
        8.ดูเเลให้ได้รับการรักษาด้วยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis) สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ในวัน อังคาร เเละ พฤหัส เพื่อช่วยขับของเสียในเลือดเเละของเหลวส่วนเกินออกให้ไตทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
        9.บันทึกปริมาณสารน้ำเข้า-ออกในร่างกายทุก 8 ชั่วโมง เพื่อประเมินภาวะน้ำเกินในระบบไหลเวียนซึ่งส่งผลให้มีความดันโลหิตสูง หากน้อยกว่า 30 cc/hr ให้รายงานแพทย์
        10.ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ ค่า BUN และ Creatinine เพื่อติดตามการดำเนินและการรักษาของโรค
        การประเมินผล(06/05/2567)
        ผู้ป่วยกลับบ้าน
        
        ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 1 เสี่ยงต่อภาวะเนื้อเยื่อของร่างกายพร่องออกซิเจนเนื่องจากพื้นที่การแลกเปลี่ยนก๊าซลดลง
        
        S = -
        O =
        On cannula 3 Lpm
        สัญญาณชีพ BP=137/65 mmHg HR= 82 ครั้ง/นาที RR= 18 ครั้ง/นาที T= 37.2°C O2sat 98%
        
        วัตถุประสงค์
        คงเดิม
        เกณฑ์การประเมิน
        คงเดิม
        กิจกรรมการพยาบาล
        1.ฟังเสียงการหายใจเพื่อประเมินปริมาณเสมหะและภาวะหลอดลมตีบ ดูดเสมหะทุก 4 ชั่วโมง เพิ่ม FiO2 100 % นาน 2 นาที เพื่อป้องกันการขาดออกซิเจนขณะดูดเสมหะ
        2.ดูแลให้ Oxygen cannula 3 Lpm ตามแผนการรักษา เพื่อการช่วยการหายใจให้เนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนเพียงพอตามเป้าหมาย
        3.ดูแลให้ละอองไอน้ำและความชื้นผ่านทางการหายใจ ในกรณีผู้ป่วยมีเสมหะเหนียว ไอออกได้ยาก เพื่อให้ทางเดินหายใจชุ่มชื้นและช่วยขับเสมหะออกมาได้ ดูแลการเปลี่ยนทุกครั้งเมื่อน้ำใน humidifier เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับความชื้นตลอด
        4.ดูเเลให้ได้รับยา คือยา Lasix 500 mg iv drip in 12hr. ขับปัสสาวะเพื่อขับน้ำเเละของเสีย ที่อยู่ในร่างกายออกมา พร้อมสังเกตอาการข้างเคียงคือ มือสั่น ปากเเห้ง หนาวสั่น ความดันต่ำ
        5.ดูเเลให้ได้ยาขับปัสสาวะ Lasix 500 mg ¼ tab po BID pc. หลังอาหาร ในเวลา 8:00น 17:00น เพื่อขับน้ำเเละของเสียในร่างกาย พร้อมสังเกตอาการข้างเคียงคือ มือสั่น ปากเเห้ง หนาวสั่น ความดันต่ำ
        6.ดูแลให้ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ดูแลช่วยเหลือในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อลดการใช้ออกซิเจน
        
        ติดตามผล X-ray ปอด เพื่อให้การพยาบาลตามความเหมาะสมและการดำเนินของโรค
        8.รายงานอาการให้แพทย์ทราบทันทีเมื่อพบความผิดปกติ เช่น หายใจหอบเหนื่อยมากขึ้น หรือ หายใจลำบาก เป็นต้น เพื่อร่วมวางแผนในการดูแลผู้ป่วยร่วมกัน
        
        ติดตามประเมินผลและบันทึกสัญญาณชีพ วัดระดับ O2 saturation เพื่อจะได้ให้การพยาบาลตามความเหมาะสมและการดำเนินไปของโรค
        
        การประเมินผล (06/05/2567)
        ผู้ป่วยกลับบ้าน
- - - - T-lymphocyte, Macrophage ทําให้ Efterrent arteriole หดตัว ทำให้ Growth fectures สูงขึ้น และปริมาณเลือดหล่อเลี้ยงไตลดลง ทำให้ Renal blood flow ลดลง และ Leukocyte รวมตัวกับ เซลล์บุผิวขึ้นในของ ผนังหลอดเลือดทำให้อัตราการกรองของ Glomerulus ลดลง
      - เกิด Complement system Inflammation
        
        ทำให้เกิด รูกรองของ Glomerulus ขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้เกิด Hematuria และทำให้มีโปรตีนปั่น ออกมากับปัสสาวะ ทําให้ Albumin ในเลือดต่ำ ทําให้ Oncotic pressure ต่ำลง ส่งผลให้น้ำซึมเข้า Interstitial tissue
        
        lupus nephritis