Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 55 ปี Diagnosis : Hypoglycemia Underlying : HT, DM,…
ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 55 ปี
Diagnosis : Hypoglycemia
Underlying : HT, DM, CKD
โรคความดันโลหิตสูง Hypertension
ความหมาย
ความดันโลหิตสูงคือภาวะที่มีความดันโลหิตซิสโตลิค (systolic pressure (SBP) มากกว่าหรือเท่ากับ 140 มม.ปรอท และ/หรือความดันโลหิตไดแอสโตลิด (diastolic pressure (DBP)) มากกว่าหรือเท่ากับ 90 มม.ปรอท
พยาธิสภาพ
ทฤษฎี
ภาวะความดันโลหิตเหมาะสม (optimal) เป็นภาวะที่มีค่าความดันโลหิตขณะที่หัวใจ บีบตัวน้อยกว่า 120 mmHg และค่าความดันโลหิตขณะที่หัวใจคลายตัวน้อยกว่า 80 mmHg
ภาวะความดันโลหิตปกติ (normal) เป็นภาวะที่มีค่าความดันโลหิตขณะที่หัวใจบีบตัว120-129mmHg
และค่าความดันโลหิตขณะที่หัวใจคลายตัว 80 - 84 mmHg 3. ภาวะความดันโลหิตสูงเกรด: (grade | hypertension/mild) เป็นภาวะที่มีค่าความดันโลหิตขณะที่หัวใจบีบตัว 140-159 mmHg และ ค่าความดันโลหิตขณะที่หัวใจคลายตัว 90-99 mmHg
ภาวะความดันโลหิตสูงเกรด : 1 (grade | hypertension/mild) เป็นภาวะที่มีค่าความดันโลหิตขณะที่หัวใจบีบตัว 140-159 mmHg และค่าความดันโลหิตขณะที่หัวใจคลายตัว 90-99 mmHg
ภาวะความดันโลหิตสูงเกรต 2 (grade II hypertension/moderate) เป็นภาวะที่มีค่าความดันโลหิตขณะที่หัวใจบีบตัว 160-179 mmHg และค่าความดันโลหิตขณะที่หัวโจคลายตัว 100-109 mmHg
ภาวะความดันโลหิตสูงเกรด 3 (grade III hypertension/moderate) เป็นภาวะที่มีค่าความดันโลหิตขณะที่หัวใจบีบตัว 180 mmHg และค่าความดันโลหิตขณะที่หัวใจคลายตัวมากกว่า
110 mmHg 7. โลหิตสูงเฉพาะค่าความดันซิสโตลิค (isolated systolic hypertension) เป็นภาวที่หัวใจบีบตัวเท่ากับหรือมากกว่า 140 mmHg และค่า ความดันโลหิตขณะคลายตัวน้อยกว่า 90mmHg
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยเป็นความดันโลหิตสูงระดับ I BP 156/90 mmHg
สาเหตุ
ทฤษฎี
1.โรคความดันโลหิตสูงกลุ่มนี้ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่พบความสัมพันธ์ ของการเกิดโรคความดันโลหิตสูงกับการรับประทานอาหารเค็ม อ้วน กรรมพันธุ์ อายุมาก เชื้อชาติ ความเครียด การสูบบุหรี่ และการขาดการออกกำลังกาย
2.โรคความดันโลหิตที่ทราบสาเหตุ สาเหตุที่พบได้บ่อยคือ โรคหลอดแดงที่ไปเลี้ยงไต ตีบทั้งสองข้าง เนื้องอกที่ต่อมหมวกไตที่สร้างฮอร์โมนแอลโดสเทอโรน (primary aldosterone) ที่มีภาวะ ความดันโลหิตสูงร่วมกับระดับโพแทสเซียมในเลือดต่ำ โรคเนื้องอกที่ต่อมหมวกไตที่สร้างฮอร์โมน แคทีโคลามีนสูง (pheochromocytoma) ภาวะคุชชิ่ง ซินโดรม (Cushing's syndrome) โรคหลอดเลือด แดงใหญ่ตีบ (coarctation of the aorta) การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป การใช้ยาคุมกำเนิด การตั้งครรภ์ การมีก้อนเนื้องอกในสมอง
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยชอบรับประทานอาหารเค็ม อ้วน ความเครียดและ ขาดการออกกำลังกาย
อาการ
ทฤษฎี
ปวดศีรษะ มึนงง เวียนศีรษะ โดยทั่วไปจะปวดบริเวณท้ายทอย และมักเป็นในตอนเช้า ถ้าความดันโลหิตสูงมากและเพิ่มขึ้น อย่างรวดเร็วจะมีอาการคลื่นไส้ และตามัวร่วมด้วย ในบางรายอาจจะมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น เหนื่อยง่าย เนื่องจากหัวใจต้องทำงานหนัก หรือมีเลือดกำเดาไหล
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยมีอาการเวียนศีรษะ ตาพร่ามัว และเหนื่อยง่าย
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 4
ควบคุมความดันโลหิตไม่ได้เนื่องจากพยาธิสภาพหลอดเลือดแข็ง
ข้อมูลสนับสนุน
S : หน้ามืด เวียนศีรษะเวลาจะลุกเดิน
O : เป็นโรคความดันโลหิตสูงมา 20 ปี
BP 156/90 mmHg
จุดมุ่งหมายการพยาบาล
เพื่อให้ระดับความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ
เกณฑ์การประเมิน
1.ไม่มีอาการและอาการแสดงของความดันโลหิตตก ได้แก่ เวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม มองภาพไม่ชัด
2.ความดันโลหิตอยู่ในช่วง 90/60-140/90 mmHg
กิจกรรมการพยาบาล
1.ดูแลให้รับประทานอาหารของโรงพยาบาลจัดไม่รับประทานอาหารนอกโรงพยาบาล
ดูแลให้ยากิน Amlodipine ยาลดความดันโลหิต ปริมาณ 10 mg รับประทานครั้งละ 1 เม็ดตอนเช้า สังเกตอาการและอาการแสดงข้างเคียงจากยา ได้แก่ ใจสั่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง
3.แนะนำเปลี่ยนอิริยาบถช้าๆ
4.สังเกตอาการความดันโลหิตตกได้แก่ เวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม มองภาพไม่ชัด
5.วัดสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
การรักษา
ทฤษฎี
การรักษาโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิต เช่น การลดน้ำหนัก การใช้ DASH (dietary approach to stop hypertension diet) การจำกัดเกลือโซเดียมในอาหาร การออกกำลังกาย การเลิกบุหรี่ และการลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การรักษาด้วยยาลดความดันโลหิตประกอบด้วย 5 กลุ่มหลัก คือ
2.1 Angiotensin converting enzyme inhibitors (ACEIs) ยากลุ่มนี้เช่นenalapril, captopril, lisinopril, benazepril, perindopril, quinapril
2.2 angiotensin receptor blockers (ARBs) ยากลุ่มเช่น losartan, valsartan, candesartan
2.3 Beta-blocker (B-blockers) ยากลุ่มนี้เช่น atenolol, propranolol, metoprolol
2.4 Calcium channel blocker (CCBs) ยากลุ่มนี้เช่น amlodipine, verapamil, diltiazem
2.5 ยาขับปัสสาวะกลุ่ม thiazide diuretic เช่น hydrochlorothiazide และยาที่ใกล้เคียงกับ thiazides ได้แก่ chlorthalidone และ indapamide
ควรเลือกใช้ยาเบื้องต้นเป็นยาผสม 2 ชนิดในเม็ดเดียว
ควรใช้ยาลดความดันโลหิต 3 ชนิด หากใช้ 2 ชนิดแล้วไม่สามารถควบคุมความดันโลหิตได้ โดยหนึ่งในสามชนิดควรเป็นยาขับปัสสาวะ
. ควรเพิ่ม spironolactone หรือ B-blockers หรือ alpha-blocker ทีละชนิดตามลำดับ เมื่อใช้ยา 3 ชนิดแล้วยังไม่สามารถควบคุมได้และยังไม่ได้ใช้ยา 3 ชนิดนี้มาก่อน
ไม่ควรใช้ยากลุ่ม ACEI ร่วมกับ ARB
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยต้องจำกัดเกลือโซเดียมในอาหาร และออกกำลังกาย
ภาวะแทรกซ้อน
เฉียบพลัน
ทฤษฎี
ภาวะความดันโลหิตสูงฉุกเฉิน (hypertensive emergency) หมายถึง ภาวะที่มีความดัน โลหิตสูงมากจนทำให้เกิดอันตรายต่ออวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย (TOD) โดยความดันโลหิตมักสูงกว่า 220/120 มิลลิเมตรปรอท ผู้ป่วยเกิดอาการทางสมอง ได้แก่ อาการปวดศีรษะ ระดับความรู้สึกตัวลดลง ซึม ชัก และ หมดสติได้ เกิดอาการตกเลือดในสมอง หรือมีอาการเจ็บหน้าอก ใจสั่น หายใจตื้น หรืออาการของหัวใจเวนตริเคิลซ้ายวายเฉียบพลัน
ภาวะความดันโลหิตสูงเร่งด่วน (hypertensive urgency) เป็นภาวะที่มีความดันโลหิตสูงตั้งแต่ 180/110 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป ร่วมกับมีอาการของภาวะความดันโลหิตสูง เช่น ปวดศีรษะรุนแรง หอบเหนื่อย แต่ไม่มีอาการของการเกิดอันตรายต่อ อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย สามารถลดความดันโลหิต อยู่ในระดับที่ปลอดภัยด้วยการรักษาด้วยยาลดความดันโลหิต ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดอันตราย ต่ออวัยวะต่าง ๆ ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องการการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยปวดศีรษะ ซึม หมดสติ
เรื้อรัง
ทฤษฎี
สมอง หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองเกิดการตีบตัน ทำให้เลือดไป เลี้ยงสมองไม่เพียงพอเกิดอัมพฤกษ์หรืออัมพาตได้ขึ้นอยู่กับความ รุนแรงของโรค ในรายที่มีความดัน โลหิตสูงอย่างรุนแรงไม่ได้รับการ รักษาและดูแลอย่างต่อเนื่องจะทำให้เกิดเส้นเลือด ในสมองแตก ยิ่ง ถ้าเกิดในสมองส่วนสำคัญแตก จะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตอย่างกะทันหัน ได้ สัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือด
2.ตา มักเกิดภาวะจอประสาทตาเสื่อม เนื่องจากความดันโลหิตที่สูง จะส่งผลให้หลอด เลือดแดงภายในลูกตาเกิดการหนาตัว โดยใน ระยะแรกจะตีบ เกิดความดันในหลอดเลือดภายในลูกตา เพิ่มขึ้นจาก นั้นจะแตกออกทำให้มีเลือดออกบริเวณจอตาเกิดการ เสื่อมของจอ ประสาทตาส่งผลให้ เกิดอาการตามัวลงจนตาบอดได้
ไต ส่งผลให้หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงไตมีผนังหนา เกิดการแข็งและตีบ ทำให้ เลือด ไปเลี้ยงไตได้ไม่พอ อีกทั้งเกิดการแข็งตัวของหลอดเลือดฝอยตรงบริเวณ หน่วยไต (glomerular capillary) ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของอัตราการกรองใต โดยทำให้อัตราการกรองที่ไตหรือ สมรรถภาพในการกรองของเสียที่ไตบกพร่องไป (glomerular filtration rate tubular dysfunction) และมีการทำลายหน่วยไตทำให้ ความสามารถในการการจัดของเสียลดลงของเสียที่ เป็นสารพิษจะคั่ง ร่างกายหาก มีปริมาณมากเช่นสารยูเรียจะทำให้หมดสติเกิดภาวะโลหิตเป็นพิษไตวายและเสีย ชีวิตได้
4.หัวใจ ภาวะที่มีความดัน โลหิตสูงนานๆ จะส่งผลให้หัวใจบีบตัวแรงขึ้น เพื่อต่อต้าน ความดันโลหิตที่เพิ่มสูงขึ้น กล้ามเนื้อหัวใจก็จะปรับตัวโดย การเพิ่มความหนาของผนังกล้ามเนื้อ หัวใจเนื่องจากต้องสูบฉีดเลือด ต้านกับความดัน โลหิตที่สูง เมื่อผนังกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวขึ้น การ ทำงาน ของหัวใจในแต่ละห้องก็จะเสื่อมลง เกิดการยึดขยายของกล่ามม เนื้อหัวใจเพิ่มขึ้นจนไม่สามารถยึดขยายได้
หลอดเลือด ภาวะความดัน โลหิตที่สูง จะส่งผลให้ผนังหลอด เลือดเกิดการหนาตัวผนังหลอดเลือด ด้านในจะไม่เรียบ หากมี ไขมันไปเกาะภายในผนังหลอดเลือด จะส่งผลให้เกิดการแข็ง ตัว
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยตามัวเคยผ่าตัดต้อกระจกตา
โรคเบาหวาน Diabetes Mellitus
ความหมาย
• โรคเบาหวานเป็นกลุ่มโรคที่มีความผิดปกติในการเผาผลาญให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นระยะเวลานานเป็นผลมาจากความผิดปกติในการหลังอินซูลินหรือความผิดปกติในการออกฤทธิ์ของอินซูลินหรือทั้งสองอย่างร่วมกัน
ค่าน้ำตาลหลังจากงดน้ำและอาหารไม่ควรเกิน 100-125 mg/dl ถ้าเกินถือว่ามีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน
ระดับน้ำตาลในเลือดปกติ อยู่ระหว่าง 70-100 mg/dl
ระดับน้ำตาลในเลือด มากกว่า 126 mg/dl คุณมีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน
พยาธิสภาพ
ทฤษฎี
•โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (type 1 diabetes mellitus [T1DMI) เกิดจาก B-cell ของตับอ่อนถูก ทำลายจากภูมิคุ้มกันของร่างกาย (autoimmune B-cell destruction) จนไม่สามารถผลิตอินซูลิน ได้เพียงพอ ทำให้ขาดอินซูลินโดยสิ้นเชิง ส่วนใหญ่พบในคนอายุน้อยกว่า 30 ปี อาจเกิดอาการรวดเร็วและ รุนแรง ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบ C-peptide ในเลือดต่ำ
•โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (type 2 diabetes mellitus [T2DM]) เกิดจากการที่ร่างกายมีภาวะดื้อ ต่ออินซูลินและการหลั่งอินซูลินลดลง (a progressive loss of adequate B-cell insulin secretion frequently on the background of insulin resistance) หรือทั้งสองประการรวมกัน พบในคนอายุ มากกว่า 30 ปีขึ้นไป อาการมักไม่ค่อยรุนแรง เกิดอย่างค่อยเป็นค่อยไป มักมีประวัติบุคคลในครอบครัว ที่เป็นญาติสายตรงเป็นโรคเบาหวาน พบในผู้สูงอายุ ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ผู้ที่ขาดการออกกำลังกายและ ผู้ที่เคยมีประวัติเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
•โรคเบาหวานชนิดที่เกิดจากสาเหตุอื่น ๆ (other specific type diabetes) ได้แก่ ความผิดปกติ ทางพันธุกรรมของเบต้าเซลล์ ความผิดปกติทางพันธุกรรมของการออกฤทธิ์ของอินซูลิน โรคของตับอ่อน (เช่น cystic fibrosis และ pancreatitis) โรคต่อมไร้ท่อต่าง ๆ เช่น acromegaly ภาวะคุชชิ่ง ซินโดรม (Cushing's syndrome) การได้รับยาหรือสารเคมีบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ ฟินิลโตอิน ยาเม็ดคุมกำเนิด ยาที่ใช้ในการรักษาโรคเอชไอวี/เอดส์ หรือ ยาที่ได้รับหลังผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ เป็นต้น
•โรคเบาหวานที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ (gestational diabetes mellitus (GDM]) เป็นความผิดปกติ ในความทนต่อกลูโคส ส่วนใหญ่ภายหลังการคลอดบุตรภาวะนี้จะหายไป แต่สตรีดังกล่าวจะเสี่ยงต่อการ เกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยเป็นเบาหวานชนิดที่2 และมีรูปร่างอ้วน อายุ 55 ปี ร่วมกับมีมารดาเป็นเบาหวาน
สาเหตุ
ทฤษฎี
1.อายุ 35 ปีขึ้นไป
2.มีโรคอ้วน (ดัชนีมวลกายตั้งแต่ 25 กิโลกรัม/ตารางเมตร) หรือรอบเอวเกินมาตรฐาน (มากกว่า 90 เซนติเมตรในผู้ชาย หรือ 80 เซนติเมตรในผู้หญิง
กรรมพันธุ์ พ่อ แม่ พี่หรือน้องเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2
มีโรคความดันโลหิตสูง หรือรับประทานยาลดความดันโลหิตสูง
ระดับไขมันในเลือดผิดปกติ (ระดับไตรกลีเซอไรด์ มากกว่า 250 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือระดับคอเลสเตอรอล เอชดีแอล < 35 มิลลิกรัม/ เดซิลิตร)
เคยมีประวัติเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
เคยได้รับการตรวจพบระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ เช่น ระดับน้ำตาลขณะอดอาหาร 100-125 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือระดับน้ำตาลสะสม 5.7-6.4%
มีโรคหัวใจและหลอดเลือด
กลุ่มอาการถุงน้ำในรังไข่
พฤติกรรมที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกายในระหว่างวัน
การติดเชื้อเอชไอวี (HIV)
กรณีศึกษา
1.ผู้ป่วยอายุ 55 ปี
2.มารดาเป็นเบาหวาน
3.มีความดันโลหิตสูง
5.ไม่ออกกำลังกาย
6.ค่าBMI 29.5
7.ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดได้ 22 mg%
อาการ
ทฤษฎี
1.ปัสสาวะบ่อย (Polyuria) เนื่องจากไตมีความสามารถดูดกลับน้ำตาลไว้ได้ในระดับหนึ่งแต่ในผู้ป่วยเบา หวานพบว่าไตไม่สามารถดูดน้ำตาลในเลือดที่สูงได้ดังนั้นจึงมีน้ำตาลส่วนหนึ่งออกมาในปัสสาวะ
กระหายน้ำมาก (Polydrjpsia) พบว่าผู้ปีวยจะมีอาการกระหายน้ำมาก คอแห้วเป็นผลมาจากการสูญเสียน้ำออกมาทางปัสสาวะร่างกายจึงอยู่ในภาวะขาดน้ำ
หิวบ่อย และรับประทานจุ (Polyphagia)
เนื่องจากร่างกายไม่สามารถนําน้ำตาลไปใช้ได้ตามปกติทําให้ร่างกายขาด พลังงานจึงมีการหิวบ่อยและรับประทานจุตามมา
น้ำหนักตัวลดลง (Weight loss)
จากการที่ร่างกายขาดอินซูลินทําให้ไม่สามารถนําน้ำตาลไปใช้ได้ตามปกติ ส่งผลให้ร่างกายขาดพลังงานร่วมกับการขาดน้ำจากปัสสาวะบ่อยร่างกาย จึงมีการนําโปรตีนและไขมันที่สะสมไว้ในเนื้อเยื่อ มาใช้แทนจึงทําให้รู้สึกอ่อนเพลียน้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยมีอาการ ปัสสาวะบ่อย เหนื่อยง่าย ตาพร่ามัว ชาตามปลายมือ ปลายเท้า แผลหายช้า และหมดสติ ระดับน้ำตาลในเลือด 22 mg% ตรวจร่างกายพบเยื่อบุตาซีด ปากแห้ง ผิวคล้ำ
การรักษา
ทฤษฎี
ชนิดรับประทานแบ่งเป็น 5 กลุ่ม
กลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย (sulfonylureas) ได้แก่ glibenclamide , glipizide ,giclazide
ยากลุ่มนี้จะกระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งอินซูลิน ผลข้างเคียงคือ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
กลุ่มไบกัวไนค์ (biguanides) ได้แก่ metformin ยากลุ่มนี้จะมีฤทธิ์ยับยั้งการ
สร้างกลูโคสที่ตับ และกระตุ้นให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ดีขี้น ผลข้างเคียง คือ ระบบทางเดินอาหาร
กลุ่มกลิทาโซน (glitazone) ได้แก่ rosiglitazone , pioglitazone
ยากลุ่มนี้มีฤทธิ์กระตุ้นให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น ผลข้างเคียงคือ บวม น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
กลุ่มเมกลิทิไนค์ (meglitinides) ได้แก่ repaglinide ยากลุ่มนี้มีฤทธิ์กระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งอินซูลิน
ผลข้างเคียงคือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
กลุ่มยับยั้ง เอนไซม์แอลฟากลูโคซิเคส (alpha Glucosidaseinhibitors) ได้แก่ acarbose , vogliose
ยากลุ่มนี้จะยับยั้ง การทํางานของเอนไซม์ที่มีส่วนย่อยแป้งให้เป็น น้ำตาล ผลข้างเคียงคือ ปวดท้อง มีลมในท้อง
ยารักษาโรคเบาหวานชนิดฉีด อินซูลินแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่
2.1 อินซูลินที่ออกฤทธิ์เร็ว (rapid-acting insulin) ได้แก่ Lispro, Aspart ออกฤทธิ์ได้เร็ว คือ 15-30 นาที มีฤทธิ์สูงสุดที่เวลา 30-90 นาที ผลข้างเคียงจากการใช้อินซูลิน : หัวใจเต้นเร็ว ปัสสาวะน้อยลง ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน
2.2 อินซูลินที่ออกฤทธิ์สั้น (short-acting insulin) ได้แก่ Regular insulin (RI) เป็นอินซูลินที่มีระยะเวลาที่เริ่มออกฤทธิ์ 30-60 นาที มิฤทธิ์สูงสุดที่เวลา 2-4 ชั่วโมง ผลข้างเคียงจากการใช้อินซูลิน : หัวใจเต้นเร็ว ปัสสาวะน้อยลง ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน
2.3อินซูลินที่ออกฤทธิ์ปานกลาง (intermediate-acting insulin) ได้แก่ Protamine stabilized insulin (NPH) เริ่มออกฤทธิ์ 2 ชั่วโมง มีฤทธิ์สูงสุดที่เวลา 4-10 ชั่วโมง ผลข้างเคียงจากการใช้อินซูลิน : หัวใจเต้นเร็ว ปัสสาวะน้อยลง ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน
2.4 อินซูลินที่ออกฤทธิ์นาน (long-acting insulin) ระยะเวลาที่เริ่มออกฤทธิ์ 5- 6 ชั่วโมงมีฤทธิ์สูงสุดที่เวลา 24 ชั่วโมง
ผลข้างเคียงจากการใช้อินซูลิน : หัวใจเต้นเร็ว ปัสสาวะน้อยลง ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน
•การควบคุมพฤติกรรม การรับประทานอาหารเป็นอาหารรสเผ็ด ไขมันสูง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การควบคุมน้ำหนัก ไม่ดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่ การจัดการอารมณ์
กรณีศึกษา
ดูแลให้ได้รับประทานอาหารเบาหวาน ตามแผนการรักษา
ผู้ป่วยรับทานยาเมทฟอร์มิน (Metformin) และฉีดยาอินซูลินชนิด(Mixtard)ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ระดับน้ำตาล 22 mg%
ภาวะแทรกซ้อน
ทฤษฎี
เรื้อรัง
ภาวะแทรกซ้อนที่หลอดเลือดแดงขนาดใหญ่ (Macrovascular complication)
1.1 หลอดเลือดหัวใจโคโรนารี่ (coronary heart disease)
1.2 หลอดเลือดสมอง (Cerebrovascular disease)
1.3 หลอดเลือดส่วนปลายที่ขา (Peripheral vascular disease)
ภาวะแทรกซ้อนที่หลอดเลือดแดงฝอย (Microvascular complication)
2.1 ภาวะแทรกซ้อนที่จอประสาทตา (Retinopathy)
2.2 ภาวะแทรกซ้อนที่ไต (Nephropathy)
2.3 ภาวะแทรกซ้อนที่เส้นประสาท (Neuropathy))
เฉียบพลัน
1.ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง Hyperglycemia
ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงโดยไม่มีกรด (Hyperglycemic Hyperosmolar Non-Kctotic Coma : HHNC)
ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงร่วมกับเลือดเป็นกรด DKA
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ Hypoglycemia
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลัน คือ hypoglycemia และ
ภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง คือ CKD
ภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง CKD
สาเหตุ
ทฤษฎี
เดิมพบว่ามีสาเหตุจากโรคหลอดเลือดฝอยไตอักเสบเรื้อรัง (chronic glomerulonephritis) มากที่สุดในปัจจุบันพบว่าผู้ป่วยโรคไตที่เข้าสู่ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายมีสาเหตุมาจ ากโรคเบาหวาน (diabetic kidney disease) มากที่สุดรองลงมาคือโรคความดันโลหิตสูง (Hypertensive Nephrosclerosis) นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นๆได้แก่ โรคนิ่วในไต โรคไตอักเสบเรื้อรังจากการติดเชื้อ โรคไตจากเก๊าท์ โรคไตจากกการกินยาแก้ปวดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน โรคถุงน้ำในไต ภาวะอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง มา20 ปี
อาการ
ทฤษฎี
ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน พบได้เมื่อการทำงานของไตเริ่มเสื่อมลงในระยะแรก
อาการอาเจียนหรือคลื่นไส้ เบื่ออาหาร ซึม สับสน คันตามตัว ผิวแห้งและหยาบ เกิดจากของเสียคั่ง (มักพบระยะท้ายของโรค)
ซีด (โลหิตจาง) ทำให้เหนื่อยล้า และ อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เกิดจากขาดฮอร์โมนจากไตที่ใช้ในกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง
กล้ามเนื้อกระตุกและเป็นตะคริว
เปลือกตา ใบหน้า เท้าและข้อเท้าบวม กดบุ๋ม เกิดจากมีเกลือและน้ำคั่งในร่างกาย หรือมีโปรตีนรั่วมาในปัสสาวะมาก ส่งผลให้ระดับโปรตีนอัลบูมินในเลือดต่ำ หากบวมมากจะทำให้เกิดอาการหอบเหนื่อยจากการมีน้ำคั่งในปอด ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต
หายใจหอบถี่เมื่อของเหลวคั่งในปอด
ความดันโลหิตสูงที่ไม่สามารถควบคุมได้
ประสบปัญหาการนอนหลับ
ปวดบั้นเอวหรือบริเวณสีข้าง (ไม่ต่ำกว่าเอวหรือไม่กลางหลัง) อาจเกิดจากนิ่วในทางเดินปัสสาวะ
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน เบื่ออาหาร ซึม ผิวแห้ง อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เท้าและข้อเท้ากดบุ๋ม ความดันโลหิตสูง
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่3
มีภาวะของเสียคั่งเนื่องจากไตสูญเสียหน้าที่
1 more item...
ข้อวินิจฉัยการการพยาบาลข้อที่2
มีภาวะ Electrolytes Imbalance เนื่องจากการรับประทานอาหารได้น้อย
ข้อมูลสนับสนุน
S: รับประทานอาหารได้น้อยกินยาและฉีดยาเท่าเดิม
S:อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ชาปลายมือปลายเท้า
จุดมุ่งหมายการพยาบาล
เพื่อเกิดความสมดุลของElectrolyes ในร่างกาย
เกณฑ์การประเมิน
1.ไม่มีอาการของภาวะไม่สมดุลของอิเล็กโตไลท์ ได้แก่ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อคันตามร่างกาย ชัก คลื่นไส้ อาเจียน
2.Lab Electrolytes ค่า Potassium มากกว่า 3.2 mmol/L
กิจกรรมการพยาบาล
1.ดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่โรงพยาบาลจัดให้ไม่รับประทานอาหารจากภายนอกโรงพยาบาล
2.ดูแลให้สารน้ำ0.9% NSS 1000 ml rate 60 cc/hr ทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษา
3.ดูแลให้รับประทานยาKCl 25 ml สังเกตอาการและผลข้างเคียงของยา
4.สังเกตอาการโพแทสเซียมต่ำ เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ชา
5.บันทึกสารน้ำเข้า-ออกร่างกาย
6.วัดสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
พยาธิสภาพ
ทฤษฎี
การทำงานของไตเสียหน้าที่กว่าครึ่งจึงเริ่มมีอาการแสดงโดยไตมีอัตราการกรองน้อยกว่า 60 ml/min/1.73 m^2
การแบ่งระดับของไตวายเรื้อรังได้ 5 ระยะ ระยะที่ 1 GFR >= 90 ml/min/1.73 m^2 มีภาวะไตผิดปกติ มีโปรตีนรั่วในปัสสาวะแต่อัตราการกรองยังปกติ
ระยะที่ 2 GFR 60-89 ml/min/1.73 m^2 มีภาวะไตผิดปกติ มีโปรตีนรั่วในปัสสาวะแต่อัตราการกรองลดลงเล็กน้อย
ระยะที่ 3 GFR 30-59 ml/min/1.73 m^2 อัตราการกรองลดลงปานกลางถึงมาก
ระยะที่ 4 GFR 15-29 ml/min/1.73 m^2 อัตราการกรองลดลงมาก
ระยะที่ 5 GFR < 15 ml/min/1.73 m^2 ไตวายระยะสุดท้าย
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 GFR 40.23 ml/min/1.73 m²
การรักษา
ทฤษฎี
การรักษาเพื่อชะลอการเสื่อมของไต
•ควบคุมโรคประจำตัวให้ดี ได้แก่ คุมโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงให้ดี ยาลดความดันบางกลุ่มหรือยารักษาเบาหวานบางกลุ่มก็ช่วยชะลอ ความเสื่อมของไตได้ การให้ยากดภูมิในผู้ป่วยโรคไตอักเสบ ควบคุมโรคไขมันโลหิตสูง
•การควบคุมอาหาร ลดทานอาหารเค็ม รับประทานอาหารโปรตีนให้เหมาะสม ได้รับพลังงานที่เพียงพอ การควบคุมระดับโพแทสเซียมและ ฟอสฟอรัสในอาหารให้ไม่มากเกินไป อาจมีการจำกัดปริมาณสารอาหารบางชนิด ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์โรคไตที่ดูแลเพราะผู้ป่วยแต่ละราย อาจมีการจำกัดอาหารบางชนิดที่ไม่เหมือนกัน ขึ้นกับสาเหตุและระยะของโรคไตเรื้อรัง
• การรักษาด้วยยา เช่น ยาลดการดูดซึมฟอสเฟต ยาขับปัสสาวะ ยารักษาภาวะโลหิตจาง ยาลดความดันโลหิต ยาลดไขมันในเลือด และการให้ ยาปรับสมดุลกรดด่าง
• การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ลดน้ำหนัก งดสูบบุหรี่ ออกกำลังกาย และหลีกเลี่ยงสารหรือยาที่มีผลเสียต่อไต
การรักษาด้วยวิธีบำบัดทดแทนไต (Renal Replacement Therapy) คือกระบวนการรักษาผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 5 เพื่อ ทดแทนไตที่ไม่สามารถทำงานได้เองตามที่ควรจะเป็น ช่วยขจัดของเสียที่ค้างอยู่ในร่างกาย จะเริ่มมีบทบาทเมื่ออัตราการกรองของไต (eGFR) น้อย กว่า 6 มล./นาที/1.73 ตร.ม
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยรักษาโดยการควบคุมโรคประจำตัวคือ เบาหวานและความดันโลหิต และควบคุมอาหารและรักษาด้วยการรับประทานยาลดความดันโลหิต
ความหมาย
โรคไตเรื้อรัง (Chronic kidney disease) คือ ภาวะที่ไตทำงานได้ลดลง โดยดูจากค่าอัตราการกรองของไตที่ผิดปกติ (estimated Glomerular Filtration Rate, eGFR) หรือไตมีภาวะผิดปกติ เช่น มีโปรตีนรั่วในปัสสาวะ หรือมีความผิดปกติทางรังสีวิทยา เป็นต้น ในระยะเวลามากกว่า 3 เดือนขึ้นไป
ภาวะแทรกซ้อน
ทฤษฎี
1.ระบบประสาท สมอง และกล้ามเนื้อ มีอาการปลายประสาทเสื่อม ทำให้มือหรือเท้าชา ปวดหลังบริเวณบั้นเอว กล้ามเนื้อกระตุก เป็นตะคริวและกล้ามเนื้ออ่อนแรง เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ขาดสมาธิ สมองเสื่อม
2.ระบบหัวใจและการหายใจ ถ้าไตทำงานได้น้อยลงจนขับปัสสาวะและเกลือแร่ไม่ได้ ทำให้มีอาการบวม จนราบแล้วหายใจลำบาก ความดันเลือดสูง หัวใจโต กล้ามเนื้อหัวใจเสื่อมสภาพ หัวใจทำงานไม่ไหว เหนื่อยง่าย นอนราบแล้วหายใจลำบาก ความดันเลือดสูง เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ อาจเกิดภาวะน้ำคั่งในเยื่อหุ้มหัวใจ น้ำคั่งในปอด ปอดบวม ทำให้หายใจไม่ออก ไอเป็นเลือด
3.ระบบโลหิต ฮอร์โมนที่ไปกระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเม็ดเลือดแดงน้อยลง ทำให้มีภาวะเลือดจาง และการทำงานของเกล็ดเลือดผิดปกติ ระบบทางเดินอาหาร มีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปากชม ไม่สามารถ รับรสได้ สะอีก ปวดท้อง ท้องเดิน
4.เลือดออกในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ และเป็นแผลในกระเพาะและลำไส้
5.ระบบผิวหนัง มีผิวหนังชิด มีเลือดเกิดขึ้นง่าย ผิวหนังแตกแห้ง เป็นแผลแล้วหายช้า
6.ระบบกระดูก เนื่องจากได้ลูมาเสียหน้าที่ในหนังลูกศรเกิดตามในสทำได้ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำเกิดภาวะกระดูกพรุน แตกหักง่าย ตกหักง่าย
7.ระบบทางเดินปัสสาวะ จะทำให้ปัสสาวะบ่อยและปัสสาวะออกน้อยมาก
8.ระบบภูมิต้านทานโรค ภูมิต้านทานโรคต่ำ ซึ่งเป็นสาเหตุให้ติดเชื้อได้ง่าย ๆ เช่น ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง ต่อมไทรอยด์ ต่อมพาราไทรอยด์ ต่อมหมวกไต
9.ระบบฮอร์โมนอื่น ๆ ก่อร์โมนกากเชื่อมได้สมทำให้ปากว่าเต้นผิดปกลา หรือฮอร์โมนจากลูกอัณฑะในเพศชายทำให้เป็นหมันและเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
10.ภาวะไตวายเฉียบพลัน (Acute Kidney Injury)
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยมีประสาทส่วนปลายอักเสบคือ ชาปลายมือปลายเท้า
และมีภาวะต่อมพาราไทรอยด์ทำงานหนักเกินไป
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ Hypoglycemia
สาเหตุ
ทฤษฎี
1.กินอาหารน้อยไปหรือไม่ตรงเวลา
2.รับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่
3.กินยาลดระดับน้ำตาลในเลือดเท่าเดิม หรือฉีดยาอินซูลินเท่าเดิม 4.การออกกำลังกาย หรือทำงานมากกว่าปกติ
5.ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตอนท้องว่าง
6.ป่วยเป็นโรคตับขั้นรุนแรงหรือผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยรับประทานอาหารน้อย กินยาเบาหวานและฉีดยาอินซูลินเท่าเดิม ไม่ออกกำลังกายและทำงานมากกว่าปกติร่วมกับป่วยเป็นไตวายเรื้อรัง
ระดับน้ำตาลในเลือด 22mg%
อาการ
ทฤษฎี
อาการทางระบบประสาทอัตโนมัติ ได้แก่ มือสั่น ใจสั่น กระวนกระวาย หิว คลื่นไส้ ชาตามตัว อาการทางระบบประสาท ได้แก่ พูดไม่ชัด สับสน ไม่มีสมาธิ ตาพร่ามัว อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ ซึมลง ชักและหมดสติ
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยมีอาการ มือสั่น ใจสั่น คลื่นไส้ ชาตามตัว ตาพร่ามัว อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ ซึมหมดสติ
ระดับน้ำตาลในเลือด 22 mg%
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่1
มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเนื่องจากตับอ่อนทำงานไม่มีประสิทธิภาพ
1 more item...
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล ข้อที่ 5
มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำเนื่องจากพร่องความรู้เกี่ยวกับการรับประทานอาหาร
ข้อมูลสนันสนุน
S: รับประทานอาหารได้น้อยกินยาและฉีดยาเท่าเดิม
S: เหงื่อออก เวียนศีรษะ ตาพร่ามัว หัวใจเต้นเร็ว
O :อ่อนเพลีย หายใจหอบ
จุดมุ่งหมายการพยาบาล
ไม่กลับมาเป็นซ้ำ
เกณฑ์การประเมิน
1.ผู้ป่วยสามารถบอกเกี่ยวกับการปฏิบัติตนเมื่อกลับไปอยู่บ้านได้ถูกต้องใน
กิจกรรมการพยาบาล
D : Diagnosis
โรคเบาหวานเกิดจากเซลล์ร่างกายมีความผิดปกติในขบวนการเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดให้เป็นพลังงานโดยขบวนการนี้เกี่ยวข้องกับอินซูลินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างจากตับอ่อนเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเมื่อน้ำตาลถูกใช้งานมากเกินไปจึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่าระดับปกติที่รับประทานอาหารเข้าไปน้อยและยังกินยาฉีดยาเท่าเดิมจะทำให้ร่างกายหลั่งอินซูลินออกมากกว่าปกติแล้วทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำได้
สาเหตุของโรค
1.กินอาหารน้อยไปหรือไม่ตรงเวลา
2.กินยาลดระดับน้ำตาลในเลือดเท่าเดิม หรือฉีดยาอินซูลินเท่าเดิม 3.การออกกำลังกาย หรือทำงานมากกว่าปกติ
4.ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตอนท้องว่าง
5.ป่วยเป็นโรคตับขั้นรุนแรงหรือผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง
อาการและอาการแสดง
อาการทางระบบประสาทอัตโนมัติ ได้แก่ มือสั่น ใจสั่น กระวนกระวาย หิว คลื่นไส้ ชาตามตัว
2.อาการทางระบบประสาท ได้แก่ พูดไม่ชัด สับสน ไม่มีสมาธิ ตาพร่ามัว อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ ซึมลง ชักและหมดสติ
M : Medication
รับประทานยาตามแผนการรักษาของแพทย์ได้แก่
1.Amlodipine ยาลดความดันโลหิต ปริมาณ 10 mg รับประทานครั้งละ 1 เม็ดตอนเช้า อาการข้างเคียงจากยา ใจสั่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง
2.Metformin ยารักษาเบาหวาน ปริมาณ 500 mg รับประทาน 1 เม็ด พร้อมอาหารเช้า อาการข้างเคียงของยา คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย
3.ยาฉีด Mixtard 25-0-15 ū sc ตามแผนการรักษาและสังเกตอาการและผลข้างเคียงได้แก่ ปวดศีรษะ ผิวหนังซีด ผื่นขึ้น
E: Environment
การจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
1.ควรเก็บสิ่งของให้เป็นระเบียบเพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
2.ที่พักควรถ่ายเทสะดวกหลีกเลี่ยงชุมชนแออัดและบุคคลที่เป็นโรคติดต่อ
T: Treatment
การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
1.รับประทานอาหารที่เหมาะสม
2.รับประทานยาให้ครบและตรงตามเวลา
3.ออกกำลังกายวันละ15นาที
H: Health
ส่งเสริมให้ออกกำลังกายวันละ15นาทีแนะนำการออกกำลังกายที่ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ ได้แก่ การย่ำเท้าอยู่กับที่ การแกว่งแขน รำมวยจีน
O: Out patient
การมาตรวจตามนัด และมีอาการผิดปกติที่ต้องรีบมาโรงพยาบาล ได้แก่
1.อ่อนเพลียมาก
2.หายใจหอบเหนื่อย
3.คลื่นไส้อาเจียน
D:Diet
1.รับประทานอาหารครบทั้ง 3 มื้อไม่ควรงดอาหารเพราะการงดอาหารบางมื้อทำให้เกิดภาวะน้ำตาลต่ำและมื้อที่รับประทานต่อไปจะรับประทานอาหารมากเพราะหิวทำให้เกิดภาวะน้ำตาลสูง
2.ควรหลีกเลี่ยง เครื่องดื่มที่มี Alcohol
3.การรับประทานอาหารควรรับประทานแค่พออิ่มและควรรับประทานผักมากๆ ช่วยในการขับถ่าย
พยาธิสภาพ
ทฤษฎี
กลูโคสในเลือดลดต่ำลง จะมีอินซูลินหลั่งน้อยลงและกระตุ้นให้ฮอร์โมน4ชนิดได้แก่ กลูคากอน อิพิเนฟริน คอร์ติซอล และโกรว์ธฮอร์โมน หลั่งเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มระดับกลูโคสในเลือดสลับกันไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมให้ระดับกลูโคสอยู่ในช่วงปกติแต่ผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับยารักษาเบาหวานมากเกินไป โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 1 อินซูลินที่ได้รับมากเกินไป
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยมีกลูโคสในเลือดต่ำมีอินซูลินหลั่งน้อยและกระตุ้นให้ฮอร์โมน 4 ชนิด หลั่งเพิ่มขึ้น
การรักษา
ทฤษฎี
ระดับไม่รุนแรง-ปานกลาง
•ให้รับประทานคาร์โบไฮเดรต 15 กรัมได้แก่ข้าวต้ม /โจ๊ก: กลูโคสเม็ดหรือทอฟฟี่ 3 เม็ด น้ำส้มคั้นหรือน้ำอัดลม 180 มล. น้ำผึ้ง 3 ช้อนชา
ระดับรุนแรง
•ฉีดกลูคากอน (ถ้ามี) 0.5 มก. (ผู้ป่วยอายุ < 5 ปี) หรือ 1 มก. (ผู้ป่วยอายุ > 5 ปี) เข้ากล้ามหรือใต้ผิวหนัง
•ให้สารละลายกลูโคส 50% 50 มล. ทันที โดยแบ่งให้ 2 ครั้ง ครั้งแรก 10-20 มล. ครั้งที่สอง 30-40 มล. และให้ 5-10% dextrose
กรณีศึกษา
DTX แรกรับ 22 mg%
ผู้ป่วยได้รับสารละลายกลูโคส 50% 50 มิลลิตรและให้ 10% dextrose ตามแผนการรักษาของแพทย์
รับประทานอาหารอ่อนจืดโรคเบาหวาน ได้แก่ ข้าวต้ม และดื่มน้ำหวาน 2 ช้อนโต๊ะผสมน้ำเปล่าครึ่งแก้ว
ความหมาย
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) คือภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่า 70 มิลลิกรัม / เดซิลิตร
ภาวะแทรกซ้อน
ทฤษฎี
ภาวะหัวใจหยุดเต้น หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ อวัยวะล้มเหลว สมองถูกทำลายถาวร โคม่า และเสียชีวิต
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยไม่มีอาการภาวะแทรกซ้อน
ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง hyperglycemia
ความหมาย
น้ำตาลในเลือดสูงคือภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า126 mg/dl
พยาธิสภาพ
ทฤษฎี
เบาหวานชนิดที่ 2 มีความผิดปกติที่ตัวรับ (Receptor site) ของเซลล์ ที่เรียกว่า ภาวะดื้ออินซูลิน ทำให้ร่างกายไม่สามารถดึงน้ำตาลกลูโคสไปใช้ได้ จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขณะเดีย วกันร่างกายจะอยู่ในภาวะที่มีอินซูลินในเลือดสูงมาก (Hyperinsulinemia) ซึ่งจะส่งผลให้ B cell ของตับอ่อน ไม่สามารถผลิตอินซูลินในระดับปกติได้ ในระยะต่อมาจึงมีอินซูลินน้อยลง เมื่ออินซูลินน้อย ร่างกายจึงหลั่งกลูคากอน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ออกฤทธิ์ตรงข้ามกับอินซูลินให้มีปริมาณเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะมีผลไปเร่งการ สลายไกลโคเจนที่ดับ จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดยิ่งสูงขึ้นจนเมื่อมากเกินขีดกักกั้นของไต (Renal threshold น้ำตาลจะถูกขับถ่ายออกมาทางปัสสาวะ
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยเป็นเบาหวานชนิดที่2
สาเหตุ
ทฤษฎี
1 ภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin resistance) ซึ่งเป็นภาวะที่เซลล์เป้าหมายต่างๆ เช่น ไขมัน กล้าม เซลล์ลดลงทำให้มีน้ำตาลในกระแสเลือดสูงขึ้น (insulin sensitivty) ลดลง เช่น การเก็บกลับกลูโคสเข้าเซลล์ลดลงทำให้น้ำตาลในกระแสเลือดสูงขึ้น สาเหตุของภาวะการดื้อต่ออินซูลินนั้นมีความสัมพันธ์กับ กรรมพันธุ์ ความอ้วน การสูบบุหรี่ พฤติกรรมการรับประทานอาหาร ขาดการออกกำลังกายมีความสัมพันธ์กัน เช่น steroid, rifampicin, antiretroviral
ความบกพร่องของการหลั่งอินซูลิน (Impaired insulin secretion) เนื่องจากพบความผิดปกติของ B cell ที่ตับอ่อน ทำให้มีการสร้างและหลังอินซูลินลดลง
กรณีศึกษา
1.กรรมพันธุ์มารดาเป็นเบาหวาน
2.การรับประทานอาหาร
3.ไม่ออกกำลังกาย
อาการ
ทฤษฎี
1.กระหายน้ำ อยากอาหาร
2.น้ำหนักลดไม่ทราบสาเหตุ
3.สาตาพร่ามัว
4.ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ
5.ชาปลายมือปลายเท้า
6.แผลหายช้า
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยมีอาการ
1.สายตาพร่ามัว
2.ปัสสาวะบ่อย
3.ชาปลายมือปลายเท้า
การรักษา
ทฤษฎี
1.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำและมีกากใยสูง อย่างเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เนื้อปลา ผัก ผลไม้ หรือธัญพืชไม่ขัดสี
2.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลาอย่างน้อย 30–60 นาที สำหรับการออกกำลังในระดับปานกลาง หรือ 15–30 นาที สำหรับการออกกำลังกายระดับหนัก หากร่างกาย ไม่สามารถออกกำลังเป็นระยะเวลานานติดต่อกันได้ ควรทำกิจกรรมที่ได้ออกแรงทดแทนในระหว่างวัน
3.ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ร่วมกับการปรับพฤติกรรมการรับประทาน
4.หลีกเลี่ยงการนั่งอยู่นิ่ง ๆ หรือไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายเป็นเวลานาน ควรลุกขึ้นเดินยืดเส้นยืดสายเป็นระยะในระหว่างวัน
6.หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยไม่ควบคุมการรับประทานอาหารและไม่ออกกำลังกาย
ภาวะแทรกซ้อน
ทฤษฎี
•การทำงานของไตเสื่อมลงจนอาจเกิดไตวาย
•โรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดอาการหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคเส้นเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน เส้นประสาทถูกทำลายและทำงานผิดปกติ ทำให้รู้สึกปวดแสบปวดร้อน เจ็บเหมือนเข็มทิ่ม และการรับรู้สึกความรู้สึกเปลี่ยนแปลงไป •โรคทางตาหรือเกิดความผิดปกติกับดวงตาที่เรียกว่าเบาหวานขึ้นตา เช่น จอประสาทเสียหาย โรคต้อหิน โรคต้อกระจก เป็นต้น •ผิวหนังเกิดการติดเชื้อและเท้า
เนื่องจาก เส้นประสาทถูกทำลายและเลือดไหลเวียนไม่สะดวก เช่น เท้าติดเชื้อหรือไร้ความรู้สึก บางรายอาจรุนแรงจนต้องตัดขาทิ้ง
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยมีอาการตาพร่ามัว