Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

ผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 79 ปี DX : UGIB (Upper gastrointestinal bleeding) U/D…

- - - - มีกรดในกระเพาะที่มากขึ้น
      - มีการติดเชื้อhelicobacter pylori
      - รับประทานยาแก้ปวด หรือยาละลายลิ่มเลือด เช่น aspirin
      - เส้นเลือดโป่งพองที่หลอดอาหารและกระเพาะอาหาร
      - เนื้องอกหรือมะเร็งทางเดินอาหารส่วนบน
      - การฉีกขาดของหลอดอาหารจากการขย่อนและอาเจียนอย่างรุนแรง
    - - ผู้ป่วยรับประทานยา aspirin 81 mg วันละครั้ง หลังอาหารเช้า
      - มีประวัติเคยรับประทานยาทัมใจ และยาชุด
    - - ข้อมูลสนับสนุน
      - วัตถุประสงค์
      - เกณฑ์การประเมินผล
      - กิจกรรมการพยาบาล
      - การประเมินผล
  - - - อาเจียนเป็นเลือด
      - อุจจาระเป็นสีดำ มีกลิ่นเหม็น
      - ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่
      - เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย
      - หัวใจเต้นเร็ว สามารถเป็นลมหมดสติเข้าสู่ภาวะโคม่าได้
    - - ผู้ป่วยมีอาการอาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำ ปวดบริเวณลิ้นปี่ เบื่ออาหารและอ่อนเพลีย
      - ข้อวินิจฉัยข้อที่ 1 มีภาวะความดันตกเนื่องจากเลือดออกในทางเดินอาหาร
        
        ข้อมูลสนับสนุน
        
        S : ผู้ป่วยบอกว่า”มีอาการอาเจียนเป็นเลือดและถ่ายดำ”
        
        S :ผู้ป่วยบอกว่า”เบื่ออาหาร รับประทานอาหารได้น้อย”
        
        O : เยื่อบุตาซีด ปลายมือปลายเท้าซีด
        
        O : HCT 27.6%
        
        วัตถุประสงค์
        
        เกณฑ์การประเมินผล
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        
        การประเมินผล
      - ข้อวินิจฉัยข้อที่ 2 มีภาวะพร่องออกซิเจนเนื่องจากเลือดอออกในทางเดินอาหาร
        
        ข้อมูลสนับสนุน
        
        วัตถุประสงค์
        
        เกณฑ์การประเมินผล
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        
        การประเมินผล
      - ข้อวินิจฉัยข้อที่ 3 มีภาวะไม่สมดุลของอิเลกโทรไลต์เนื่องจากสูญเสียเลือด
        
        ข้อมูลสนับสนุน
        
        วัตถุประสงค์
        
        เกณฑ์การประเมินผล
        
        กิจกรรการพยาบาล
        
        การประเมินผล
  - - - เกิดจากทางเดินอาหารอักเสบหรือเป็นแผลตามปกติ ทางเดินอาหารจะมีmucosal barrier เพื่อป้องกันการย่อยตัวเองเมื่อมีการหลั่งกรด โดยมีprostaglandin เป็นตัวช่วยป้องกัน แต่ถ้ากลไกป้องกันล้มเหลวหรือขาดสมดุล จะทำให้ทางเดินอาหารอักเสบ มีการทำลายของmucosa ทำให้เกิดอันตรายต่อเส้นเลือดเล็กๆทำให้เกิดอาการบวมและเลือดออก เลือดที่ออกมาจะทำปฏิกิริยากับน้ำย่อยในกระเพาะอาหารจึงทำให้เลือดเป็นสีดำ ผู้ป่วยมักมาด้วยอาการอาเจียนเป็นเลือดสดหรือเลือดเก่า และถ่ายดำ
    - - ผู้ป่วยมาด้วยอาการอาเจียนเป็นเลือด และถ่ายดำ
  - - - การรักษาแบบประคับประคองตามอาการ
        
        การให้สารน้ำหรืออาหารผ่านทางหลอดเลือดดำ
        
        การใช้ยาคลายเครียด
        
        ให้เลือดแก่ผู้ป่วยที่มีภาวะซีด
      - การรักษาเพื่อการหยุดเลือด
        
        งดน้ำงดอาหารในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง
        
        งดใช้ยาที่ทำให้เกิดภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร เช่น aspirin
        
        งดพฤติกรรมที่ทำให้เกิดเลือดออกในทางเดินอาหาร เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่
        
        การผ่าตัดผูกหลอดเลือดที่เกิดเลือดออกหรือการตัดอวัยวะที่มีเลือดออก
        
        การจี้ด้วยไฟฟ้าผ่านการส่องกล้องในบริเวณที่มีเลือดออก
        
        ในรายที่มีอาการเลือดออกในทางเดินอาหารรุนแรงอาจใส่สารอุดตันเข้าหลอดเลือดเพื่ออุดจุดรั่วของหลอดเลือด
  - - - โลหิตจาง
      - ไตวาย
      - ภาวะช็อกจากเลือดออกมาก
    - - ไม่พบในกรณีศึกษา
- - - - หูรูดส่วนล่างของหลอดอาหารเสื่อม
      - กระเพาะอาหารบีบตัวลดลง
      - การตั้งครรภ์
      - การรับประทานยาที่ออกฤทธิ์ให้กระเพาะอาหารมีการหลั่งกรดเพิ่มขึ้น
      - การสูบบุหรี่
      - ความเครียด
      - โรคอ้วน
  - - - อาการของหลอดอาหาร
        
        ปวดแสบปวดร้อนกลางอก
        
        จุกแน่นบริเวณหน้าอกเหมือนก้อนติดอยู่ในลำคอ
        
        กลืนอาหารลำบาก
        
        คลื่นไส้
        
        มีอาการเรอเปรี้ยว
      - อาการนอกหลอดอาหาร
        
        ไอเรื้อรัง เจ็บคอเรื้อรัง
        
        เสียงแหบโดยเฉพาะในตอนเช้า
        
        เป็นโรคปอดอักเสบ เจ็บหน้าอก
    - - ในทางกรณีศึกษาผู้ป่วยมีอาการคลื่นไส้
  - - - มีการเปิดหรือคลายตัวของหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง
      - ความดันหูรูดของหลอดอาหารลดลง
      - การมีhiatal hernia
      - การมีgastric emptyingที่ช้า
      - การเกิดacid pocket
  - - - การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารรสจัด และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารก่อนเข้านอน 3 ชั่วโมง
      - ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เช่น ลดน้ำหนักในผู้ป่วยที่อ้วน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ สวมใส่เสื้อผ้าที่หลวมสบายตัว ไม่รัดเข็มขัดแน่น
      - การใช้ยาลดกรดในกลุ่ม proton pump inhibitors เช่น omeprazole 20mg วันละ1-2ครั้ง ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงมากในการป้องการอาการกรดไหลย้อน
        บางกรณีอาจใช้ยาเพิ่มการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหารร่วมด้วย เช่น metoclopramide 10mg 1 เม็ดวันละ 3-4ครั้ง
      - การผ่าตัดในรายที่ใช้ยาไม่ได้ผลหรือมีภาวะแทรกซ้อน พิจารณาการรักษาด้วยการผ่าตัด ได้แก่severe EE,Esophageal stricture,Barrett’sesophagus
    - - ผู้ป่วยรับประทานยา omeprazole 20 mg วันละครั้งก่อนอาหารเช้า
  - - - หลอดอาหารอักเสบ ซึ่งจะมีอาการเจ็บหน้าอกขณะกลืนอาหาร
      - แผลหลอดอาหาร อาจมีเลือดออกในระบบทางเดินอาหารส่วนบนเช่น อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำ
      - หลอดอาหารตีบตัน พบว่ามีอาการกลืนอาหารลำบาก อาเจียนบ่อย
      - เกิดการเปลี่ยนแปลงเซลล์ของเยื่อบุหลอดอาหารถ้าเป็นรุนแรงอาจเกิดมะเร็งหลอดอาหารได้ จะมีอาการเจ็บขณะกลืนอาหาร อาเจียนบ่อย น้ำหนักลด
    - - ในทางกรณีศึกษา ผู้ป่วยมีอาการอาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำ
- - - - การตั้งครรภ์ ขณะตั้งครรภ์จะมีการสร้างฮอร์โมนจากรกซึ่งมีผลต่อต้านการทำงานของอินซูลิน
      - ความผิดปกติของตับอ่อน ตับอ่อนทำหน้าที่ในการผลิตอินซูลิน หากตับอ่อนมีการเสื่อมสภาพหรือเกิดความผิดปกติก็จะส่งผลต่อการเกิดโรคเบาหวาน
      - โรคอ้วน ไขมันส่วนเกินจะสร้างสารที่ทำให้การตอบสนองของเนื้อเยื่อร่างกายต่ออินซูลินไม่ดี
      - พฤติกรรมการใช้ชีวิต การรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายซึ่งมีส่วนประกอบของแป้ง น้ำตาล ไขมันทรานส์ การสูบบุหรี่และดื่มสุรา การไม่ออกกำลังกาย
      - อายุ อายุที่มากขึ้นจะส่งผลต่อตับอ่อนเสื่อมสภาพในการทำงาน ทำให้การสังเคราะห์และหลั่งอินซูลินลดลง
      - พันธุกรรม
    - - มีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน และอายุที่มากขึ้นส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของตับอ่อน
  - - - ปัสสาวะบ่อยในช่วงกลางคืน มากกว่า 3 ครั้ง/คืน
      - กระหายน้ำบ่อย
      - รับประทานอาหารมากขึ้นแต่น้ำหนักลดลง
      - ตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด
      - ชาบริเวณปลายมือปลายเท้า
      - แผลหายช้า
    - - ผู้ป่วยมีอาการตาพร่ามัว และชาบริเวณปลายมือปลายเท้า
  - - - เกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ ส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง โรคเบาหวานจะมีอาการเกิดขึ้นเนื่องจากการที่ร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลได้ ซึ่งปกติน้ำตาลจะเข้าสู่เซลล์ร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงานภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งผู้ที่เป็นโรคเบาหวานร่างกายจะไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลที่เกิดขึ้นทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ในระยะยาวจะมีผลในการทำลายหลอดเลือด ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
  - - - การคุมอาหาร จำกัดน้ำตาลหรืออาหารประเภทแป้ง ผลไม้หวาน
      - การรักษาด้วยยา
        
        ยารับประทาน
        
        กลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย ได้แก่ glipizide glibenclamide
        
        กลุ่มไบกัวไนด์ ได้แก่ metformin
        
        กลุ่มกลิทาโซน ได้แก่ rosiglitazone
        
        กลุ่มเมกลิทิไนด์ ได้แก่ repaglinide
        
        กลุ่มยับยั้งเอนไซม์แอลฟากลูโคซิเดส ได้แก่ acarbose voglibose
        
        ยาฉีด
        
        อินซูลินออกฤทธิ์เร็ว ได้แก่ insulin aspart
        
        อินซูลินออกฤทธิ์สั้น ออกฤทธิ์ภายใน30นาที หลังฉีดเข้าใต้ผิวหนัง
        
        อินซูลินชนิดออกฤทธิ์ปานกลาง ได้แก่ NPH lente
        
        อินซูลินชนิดออกฤทธิ์ยาว ได้แก่ insulin glarine
        
        อินซูลินชนิดผสม ได้แก่ ฮิวมูลิน
      - การออกกำลังกาย
    - - ผู้ป่วยมีการรับประทานอาหารอ่อนจืดเบาหวานเฉพาะโรคที่โรงพยาบาลจัดให้
  - - - ภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลัน
        
        ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ มักมีอาการมือสั่น ใจสั่น มึนงง สับสน แขนขาไม่มีแรง ชัก หมดสติ
        
        ภาวะน้ำตาลน้ำตาลในเลือดสูง
        
        ภาวะคีโตอะซิโดซิส(DKA) ภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 250 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ร่วมกับภาวะกรดเมตาบอลิกจากกรดคีโตนคั่งในร่างกาย
        
        ภาวะไฮเปอร์ไกลซีมิกไฮเปอร์ออสโมล่าร์ (HHS) ภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 600 มิลลิกรัม/เดซิลิตร และออสโมลาริตี้ในเลือดมากกว่า 320 มิลลิออสโมล์/กก. ร่วมกับระดับความรู้สึกตัวลดลง
      - ภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง
        
        เบาหวานขึ้นตา
        
        ไตเสื่อม ไตวาย
        
        โรคหลอดเลือดหัวใจ
        
        โรคหลอดเลือดสมองตีบ ตัน
        
        โรคเบาหวานที่เท้า แผลเบาหวานที่เท้า
        
        ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท
- - - - โรคความดันโลหิตสูงที่ไม่ทราบสาเหตุ แต่พบความสัมพันธุ์ของการเกิดโรคความดันโลหิตสูงกับการรับประทานอาหารเค็ม ความอ้วน กรรมพันธุ์ อายุมาก เชื้อชาติ ความเครียด การสูบบุหรี่และขาดการออกกำลังกาย
      - โรคความดันโลหิตสูงที่ทราบสาเหตุ สาเหตุที่พบได้บ่อยคือ โรคหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงไตตีบทั้ง 2 ข้าง เนื้องอกที่ต่อมหมวกไตสร้างฮอร์โมนแอลโดสเทอโรน ภาวะคุชชิ่งซินโดรม การใช้ยาคุมกำเนิด การตั้งครรภ์
    - - ผู้ป่วยมีประวัติมีมารดาเป็นโรคความดันโลหิตสูง
  - - - ปวดศรีษะ มึนงง เวียนศรีษะ คลื่นไส้ ตามัว เหนื่อยง่าย
    - - ในกรณีศึกษา ผู้ป่วยมีอาการเวียนศรีษะ เหนื่อยง่าย
  - - - ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การลดน้ำหนัก การจำเกลือในอาหาร การออกกำลังกาย และการลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
      - การใช้ยาลดความดันโลหิต ยาที่นิยมใช้ในการรักษามี 4 กลุ่ม คือ
        
        Thiazide-type
        
        Calcium channel blocker
        
        Angiotensin converting enzyme inhibitors
        
        Angiotensin ll receptors blocker
    - - ผู้ป่วยมีการจำกัดเกลือรับประทานอาหารอ่อนจืดที่โรงพยาบาลจัดให้
  - - - เกิดจากการมีแรงต้านทานการไหลเวียนโลหิตในร่างกายเพิ่มขึ้น ทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น
        กลไกแรงต้านทานของหลอดเลือดส่วนปลายที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากการตีบแคบของหลอดเลือดแดงขนาดเล็กส่วนปลายและอาจมีส่วนจากการลดจำนวนและความหนาแน่นของหลอดเลือดฝอย
  - - - ภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง ภาวะความดันโลหิตสูงที่เกิดขึ้นเป็นเวลานานจะทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงตีบแข็ง ส่งผลทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในระบบหัวใจ สมอง ไต ตา ดังนี้
        1.หัวใจโต ภาวะหัวใจล้มเหลว กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
        2.หลอดเลือดในสมองตีบตันหรือแตก ความจำเสื่อม
        3.การรั่วของโปรตีนและเลือดออกมาทางปัสสาวะ ไตวายเรื้อรัง
        4.ประสาทตาเสื่อม ตามัว
      - ภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลัน จะมีอาการปวดศรีษะ ระดับความรู้สึกตัวลดลง ซึม ชัก เจ็บหน้าอก ใจสั่น หอบเหนื่อย
    - - ผู้ป่วยมีอาการตาข้างซ้ายมัว
- - - - สาเหตุหลัก
        
        รับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น ไขมันสัตว์ เนย กะทิ อาหารที่มีคลอเรสเตอรอลสูง เช่น เครื่องในสัตว์ หมึก หอย
        
        ภาวะอ้วน น้ำหนักเกิน รับประทานอาหารมากเกินความต้องการของร่างกาย
        
        สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
      - สาเหตุรอง
        
        โรคเบาหวาน
        
        ฮอร์โมนไทรอย์ต่ำทำให้ระดับไขมันLDLในเลือดสูง
        
        โรคไต
        
        โรคตับ ตับอักเสบ ไขมันพอกตับ
        
        ยารักษาโรค เช่นยาขับปัสสาวะ ยาคุมกำเนิด ยาลดความดันโลหิตสูง
        
        ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เพราะเมื่ออายุมากขึ้นจะทำให้ระดับไขมันคลอเรสเตอรอลสูงขึ้น
    - - ผู้ป่วยมีประวัติดื่มสุรา
      - ผู้ป่วยวัยสูงอายุ หมดประจำเดือน
      - ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวเป็นโรคเบาหวาน 20 ปี
  - - - ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ ทราบได้จากการตรวจเลือดเท่านั้น อาจจะมีอาการจากภาวะแทรกซ้อนของหลอดเลือดตีบตัน เช่น เจ็บหน้าอก หัวใจวาย อัมพาต
    - - ไม่พบในกรณีศึกษา
  - - - เป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ ระดับไขมันในเลือดมีความสำคัญต่อการเกิดหลอดเลือดตีบ ตัน โดยเฉพาะหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงที่หัวใจ ดังนั้นผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงจึงมีโอกาสเป็นโรคหัวใจขาดเลือด สมองขาดเลือด
    - - ผู้ป่วยมีประวัติเป็นโรคหัวใจขาดเลือด
  - - - ปรับพฤติกรรม
        
        ลดน้ำหนักในผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำหนักเกิน
        
        ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
        
        ลดการรับประทานอาหารไขมันอิ่มตัว และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารทะเลพวกหมึก หอย
        
        เพิ่มสัดส่วนของผลไม้ และรับประทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต
        
        งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
      - การใช้ยาช่วยลดไขมัน
        
        ยากลุ่มสแตติน เช่น simvastatin atorvastatin fluvastatin
        
        ยากลุ่ม Bile acid sequestrant เช่น Cholestyramine
        
        ยา Ezetimibe
        
        ยากลุ่ม fibrates เช่น fenofibrate gemfibrozil
        
        Nicotinic acid
    - - ผู้ป่วยรับประทานยาSimvastatin 20 mg วันละครั้ง ก่อนนอน
  - - - โรคหลอดเลือดตีบตัน
      - ลิ่มเลือดอุดตันเฉียบพลัน
      - หัวใจวายเฉียบพลัน
      - อัมพฤกษ์ อัมพาต
    - - ไม่พบในกรณีศึกษา
- - - - ไม่มีอาการข้ออักเสบ แต่จะเกิดข้ออักเสบขึ้นใน 6-24เดือน
    - - เกิดที่ข้อหัวแม่เท้าหรือข้อเท้า ข้อปวดบวมแดงรุนแรงใน 24 ชั่วโมงแรก หากไม่รักษาสามารถหายได้เองใน 5-7วัน และส่วนใหญ่จะเป็นซ้ำๆ
    - - หลังจากมีอาการซ้ำๆ3-5ปี ข้ออักเสบจะมีจำนวนมากขึ้นลามมาที่ข้ออื่นๆและเกิดก้อนจากผลึกของกรดยูริกขนาดโตขึ้นอาจแตกเห็นเป็นผงขาวนวลคล้ายชอล์ก
- - - - หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น ชะอม หน่อไม้
      - ออกกำลังสม่ำเสมอ
      - หลีกเลี่ยงการนอนดึกและลดความเครียด
      - รักษาโรคร่วมและปัจจัยอื่นๆ เช่นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ภาวะไขมันในเลือด
    - - การใช้ยาลดการอักเสบเพื่อบรรเทาอาการอักเสบที่เกิดขึ้นจากโรคเก๊าท์ เช่น colchicine
      - การใช้ยาลดระดับกรดยูริกเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากโรคเก๊าท์ เช่น allopurinol