Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) - Coggle Diagram
โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus)
การรักษา
2.การปรับเปลี่ยนโภชนาการเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ระดับ HbA1c ระดับไขมัน LDL HDL Triglyceride ความดันโลหิตและน้ำหนักตัว
3.การออกกำลังกาย การออกกำลังกายช่วยให้ผู้ป่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น ลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ลดน้ำหนัก ควรจะมีการปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน และแนะนำวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับผู้ป่วย
1.การประเมินการควบคุมระดับน้ำตาลของผู้ป่วยผู้ป่วยที่มีการควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีและคงที่แนะนำให้ทำการตรวจวัดระดับ HbA1c อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง แต่ในรายที่ควบคุมได้ไม่ดีหรือไม่คงที่แนะนำให้มีการตรวจอย่างน้อยปีละ 4 ครั้ง
4.การใช้ยารักษาโรคเบาหวาน
4.1 ยาฉีดอินซูลิน
อินซูลินออกฤทธิ์นานปานกลาง (intermediate acting human insulin) เริ่มออกฤทธิ์ 2-4 ชั่วโมง ออกฤทธิ์สูงสุด 4-8 ชั่วโมง ออกฤทธิ์นาน 10-16 ชั่วโมง Humulin Insulatard Monotard
อินซูลินออกฤทธิ์ยาว (long acting human insulin) เริ่มออกฤทธิ์ 2 ชั่วโมง ออกฤทธิ์นาน 18-24 ชั่วโมง Lantus Levemir
อินซูลินออกฤทธิ์สั้น (short acting human insulin) เริ่มออกฤทธิ์ 30-45 นาที ออกฤทธิ์สูงสุด 2-3 ชั่วโมง ออกฤทธิ์นาน 4-8 ชั่วโมง Regular insulin
อินซูลินผสมสำเร็จรูป (pre-mixed 30%RI+70%NPH: mixtard 30HM) เริ่มออกฤทธิ์ 30-60 นาที ออกฤทธิ์สูงสุด 2-8 ชั่วโมง ออกฤทธิ์นาน 12-20 ชั่วโมง Humulin 70/30 Mixtard30 Humalog mix 25 Novomix 30
ชนิดออกฤทธิ์เร็ว (rapid acting insulin analog) เริ่มออกฤทธิ์ 5-15 นาที ออกฤทธิ์สูงสุด 1-2 ชั่วโมง ออกฤทธิ์นาน 3-4 ชั่วโมง Lispro Aspart
การพยาบาล
3.เฝ้าระวังการติดเชื้อ ด้วยการตรวจวัดอุณหภูมิทุก 4 ชั่วโมง และสังเกตอาการมีใช้อาการคันที่อวัยวะเพศ และ ผิวหนังทั่วไป
4.ดูแลกิจวัตรประจำวัน ได้แก่ การอาบน้ำ แปรงฟัน การขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ช่วยทำความสะอาดให้ในรายช่วยเหลือตนเองไม่ได้ และสอนให้ผู้ป่วยเห็นความสำคัญในการรักษาความสะอาดร่างกายทั่วไป เพื่อที่จะทำเองได้เมื่อมีอาการดีขึ้นและกลับไปอยู่บ้าน โดยเฉพาะการทำความสะอาดตามซอกรักแร้ ใต้ราวนม ขาหนีบ อวัยวะเพศให้แห้งอยู่เสมอ
2.ดูแลอาหารบำบัดให้ได้ตรงกับที่ได้คำนวณและกำหนด ไว้ สังเกตจำนวนอาหารที่ผู้ป่วยรับประทานกับอาการของโรคเบาหวาน คอยดูแลปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วย โดยที่ผู้ป่วยเข้าใจ มีความตั้งใจ และให้ความร่วมมือ
5.การดูแลเท้า สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ทำความสะอาดเท้า ซอกนิ้วเท้าและซับให้แห้งทุกครั้งที่อาบน้ำหรือเมื่อล้างเท้า ถ้ามีแผลควรปรึกษาแพทย์มากกว่ารักษาเอง ตัดเล็บให้ สั้น ระวังเล็บขบ สวมรองเท้าขนาดพอดี และสวมรองเท้า ทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน อย่างวางกระเป๋าน้ำร้อนบริเวณเท้า ที่รู้สึกชา ไม่ควรนั่งไขว่ห้าง
1.เฝ้าติดตามประเมินระดับน้ำตาลในเลือด ด้วยการตรวจปัสสาวะก่อนอาหารเช้า กลางวัน เย็นและก่อนนอน บันทึกอย่างต่อเนื่อง
6.ฉีดยาอินซูลิน หรือให้ยารับประทานตามแผนการรักษา และการสังเกตอาการหลังใช้ยา เช่น ง่วง ซึม ไม่รู้สึกตัว ช็อคจากน้ำตาลในเลือดต่ำ
ภาวะแทรกซ้อน
เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
เบาหวานขึ้นจอประสาทตา
เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
สูญเสียเท้าจากบาดแผล ซึ่งเป็นผลจากเบาหวาน
โรคไตจากเบาหวาน
ความหมาย
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
2.โรคร่วมขณะเป็นโรคเบาหวาน
2.1 โรคความดันโลหิตสูงหากไม่สามารถควบคุมโรคได้อาจมีผลต่อหัวใจ สมอง ไต หลอดเลือดและตา เพราะความดันโลหิตสูงที่เป็นอยู่นานจะทำให้ผนังหลอดเลือดแดงหนาตัวขึ้นและขนาดของหลอดเลือดเล็กลง ทําให้เลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ลดลงอวัยวะต่างๆ ทํางานได้ไม่เป็นปกติ ไตซึ่งเป็นอวัยวะที่มีหลอดเลือดมากที่สุดในร่างกาย ทำหน้าที่กรองของ เสียออกจากเลือด ความดันโลหิตสูงจึงมีผลต่อหลอดเลือดที่ไตทำให้เลือด ไปเลี้ยงไตไม่พอ ไตจึงเสื่อมสมรรถภาพจนถึงชั้นไตวายเรื้อรัง
2.2 ภาวะไขมันในกระแสเลือดสูง (Hypercholesterolemia) ระดับไขมันในเลือดที่สูงขึ้นจะทำให้เกิดพยาธิสภาพทางไดเกิดหลอดเลือดโกลเมอรูลัสแข็งตัวจึงทำให้อัตราการกรองของไตลดลงการรักษาไขมันในเลือดด้วยยากลุ่ม
สเตตินส์ (statins) จะช่วยฟื้นฟูสภาพหลอดเลือดได้ในผู้ป่วยที่ตรวจพบว่ามีไขมันในเลือดสูง ซึ่งเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการเป็นไตเสื่อมจากเบาหวาน
3.พฤติกรรมส่วนบุคคลซึ่งจะเป็นปัจจัยส่งเสริมการเสื่อมของไต
3.1 พฤติกรรมการรับประทานอาหารโดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ชอบอาหารรส จัดหวาน มัน เค็ม สารอาหารบางประเภทนอกจากจะมีประโยชน์แล้วหาก รับประทานในประมาณที่เหมาะสมก็อาจมีผลต่อการทางานของไตได้
3.2 การสูบบุหรี่มีผลเสียต่อไต เนื่องจากการสูบบุหรี่ทำให้ความดันโลหิตสูงอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น การไหลเวียนเลือดในไตลดลงจนทำให้เส้นเลือดในไตอุดตันได้ เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้ความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นมีโปรตีนรั่วทางปัสสาวะมากขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพการกรองของไตลดลง
3.3การมีพฤติกรรมการกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานานๆ บ่อยครั้งและในผู้ป่วย เบาหวานจะปัสสาวะบ่อย ผู้ป่วยบางรายจึงกลั้นปัสสาวะซึ่งเป็นสาเหตุให้ เชื้อโรคเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะและเกิดการอักเสบของท่อทางเดินปัสสาวะ และอาจเกิดโรคไตอักเสบเฉียบพลันได้
3.4 พฤติกรรมการซื้อยามาใช้เองโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ เช่น ยาแก้ปวด ข้อปวดเส้น ปวดกล้ามเนื้อซึ่งเป็นยาลดการอักเสบที่มีฤทธิ์แรงมาก ถ้าใช้ ไม่ถูกวิธีหรือมีการแพ้ยาก็อาจเกิดอันตรายต่อไตได้ ยาจะตกตะกอนในไต ทำให้ปัสสาวะไม่ออกได้
1.โรคเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ในระยะ นานมากกว่า 5 ปี จะทําให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างเช่น ภาวะไตเสื่อมซึ่งมี โอกาสเกิดขึ้นได้สูงกว่าคนปกติทั่วไป เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงระดับ น้ำตาลในเลือดมีผลทำให้หลอดเลือดที่มาเลี้ยงใดเกิดการดับแข็งมีผล ให้การทำงานของไตเสื่อมลงไม่สามารถกรองของเสียออกทางปัสสาวะได้ และกลายเป็นโรคไตวายเรื้อรัง รวมถึงระยะเวลาการเป็นเบาหวานที่นาน ขึ้น 5 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยจะเริ่มไม่ปฏิบัติตามแผนการรักษาเนื่องจากมียาที่ใช้ ในการรักษาเพิ่มขึ้นผู้ป่วย จึงมีความรู้สึกกว่าการรักษายุ่งยากขึ้นจนเบื่อ การรักษาและการกินยา
การเสื่อมของอวัยวะตามอายุไตเป็นอวัยวะที่เสื่อมไปตามอายุ ในคน ปกติเมื่อเติบโตเจริญเต็มวัยแล้วอัตราการกรองของไตจะค่อยๆ ลดลงปี ละประมาณ 1 มิลลิลิตรต่อนาที หากอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปก็จะเกิด การเสื่อมตามอายุที่เพิ่มขึ้น
การวินิจฉัย
ระดับน้ำตาลก่อนอาหารเช้า (หลังงดอาหาร 8 ชั่วโมง) มากกว่า 130 mg/dl
มีค่าความดันโลหิตที่มากกว่า 130/80 mmHg
ระดับฮีโมโกลบิลเอวันซี (HbA1c) มากกว่าร้อยละ 7
ระดับไขมัน HDL น้อยกว่า 40 mg/dl ในผู้ชายและน้อยกว่า 50 mg/dl
ระดับไขมัน LDL มากกว่า 100 mg/dl
มีค่าอัตราการกรองของไตต่ำกว่า 60 mg/min ผู้ป่วยกลุ่มนี้ควรพบแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญทางไต
ระดับไขมัน Triglyceride มากกว่า 500 mg/dl
การตรวจพบโปรตีนชนิดอัลบูมินรั่วออกมาในปัสสาวะหากมีการตรวจพบ โปรตีนชนิดอัลบูมินในปริมาณ 30-299 mg/day จะวินิจฉัยว่าเป็นไมโคร อัลบูมินนูเรีย (microalbuminuria) แต่หากตรวจพบ โปรตีนชนิดอัลบูมิน ในปัสสาวะปริมาณ 300 mg/day หรือมากกว่าให้ถือเป็นภาวะแมคโครอัลบูมินนูเรีย (macroalbuminuria)
ภาวะไตเสื่อมจากเบาหวาน (diabetic nephropathy) หมายถึง ความผิดปกติของหลอดเลือดแดงฝอยในโกลเมอรูลัสของไตซึ่งเป็นผลมาจากการเป็นเบาหวานระยะเวลานานทําให้ประสิทธิภาพการกรองของไตลดลง (ศิริ ลักษณ์ ถุงทอง. 2560)
การรักษา
ระยะที่ 3 eGFR อยู่ระหว่าง 30-59 ml/min/1.73 m2 ในระยะนี้ผู้ป่วยเริ่มมีอาการชิดเนื่องจากโตไม่สามารถสร้างฮอร์โมน Erythropoietin ซึ่งเป็นสารที่ช่วยกระตุ้นให้ไขกระดูกผลิตเม็ดเลือดแดงจึงทำให้ผู้ป่วยซีด นอกจากนั้น ยังพบว่าไตขับของเสียที่มีไนโตรเจนจากการเผาผลาญของ โปรตีนลดลงต่ำกว่าครึ่ง ดังนั้นผู้ป่วยจึงต้องลดอาหารโปรตีน ลงเหลือ 0.6gm/kg/dl และต้องลดอาหารที่มีเกลือและฟอสฟอรัสซึ่งมีในอาหารประเภทโปรตีนสูงจากเนื้อสัตว์ ไข่ แดง นม และเมล็ดพืช โดยเฉพาะ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง มีปริมาณฟอสฟอรัส การรักษาจึงต้องใช้ยากลุ่มจับฟอสเฟต เช่น แคลเซียมคาร์บอเนตและ วิตามินดี เพื่อช่วยชะลอการเสื่อมของไต และลดภาวะแทรกซ้อนอื่น เช่น การเสื่อมของกระดูกจากไตเสื่อม (Renal osteodystophy)
ระยะที่ 4 ผู้ป่วยเริ่มอ่อนเพลียมีอาการซีดมากขึ้น และ อัตราการกรองของไตลดลงมาก ค่า eGFR อยู่ระหว่าง 15-29 ml/min/1.73 m2 มีอาการบวมและภาวะเลือดเป็นกรด การรักษาจึงต้องใช้ยากลุ่ม erythropoietin เหล็กและ กรดโฟลิค ช่วยเพิ่มเม็ดเลือดแดงรักษาอาการอ่อนเพลีย การให้ โซเดียมไบคาร์บอเนต ช่วยไม่ให้เลือดเป็นกรด ชะลอการเสื่อมของไตและกระดูกอาหารที่มีสภาพเป็นต่าง เช่น ผักทุก ชนิด โดยเฉพาะผักเขียว ผลไม้ เช่น มะละกอ แอปเปิ้ล กล้วย มะพร้าว มะนาว ส้มเป็นต้น ระยะนี้ต้อง ระวังเรื่องระดับโปรแตสเซียมในเลือดอาจสูงเพราะไตขับถ่ายได้น้อยลง ต้องลดอาหารประเภทผักผลไม้ ไม่ควรใช้ยาลดความดันโลหิต กลุ่ม ACE-I, ARB และยาขับปัสสาวะกลุ่ม potassium exchange resin (Calcium styrene polysulfonate) ผู้ป่วยในระยะที่ 4 จะเริ่มมีโรค แทรกซ้อนจากโรคไตวายเรื้อรัง จึงต้องป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยเสียชีวิตหรือพิการด้วย
ระยะที่ 2 ผู้ป่วยยังไม่มีอาการแต่ใดจะเสื่อมเร็วขึ้น eGFR อยู่ระหว่าง 60-89 ml/min/1.73 m2 มีโปรตีนรั่วในปัสสาวะเป็นครั้งคราว ในระยะนี้จะต้องควบคุมระดับน้ำตาล และระดับความดันโลหิตให้ต่ำกว่า 130/80 mmHg
ระยะที่ 5 ค่า eGFR ลดลงต่ำกว่า 15ml/min/1.73 m2เป็นระยะที่ไตทําหน้าที่ลดลงอย่างชัดเจน ผู้ป่วยจึงมีอาการอ่อนเพลียมากขึ้น มีอาการบวมเพราะไตขับน้ำและเกลือลดลง เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ซีด หอบ เหนื่อย สับสน ซึม อาการดังกล่าวเกิดจากภาวะยูรีเมีย ต้องทำการรักษาด้วยการบำบัดทดแทนไต ได้แก่ วิธีล้างไต (Dialysis) การล้างไตทางช่องท้อง (Continuous ambulatory peritoneal dialysis) การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม(Hemodialysis)
ระยะที่ 1 ผู้ป่วยยังไม่มีอาการของโรคแต่ตรวจเลือดพน Serum creatinine90 ml/min/1.73 m2 ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานจึงควรได้รับการตรวจคัดกรองการท่างานของไตอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และต้องควบคุมระดับน้ำตาลให้ได้น้อยกว่า 120 mg/dl เพื่อชะลอการเสื่อมของไต
กลไกการเกิดไตเสื่อมจากเบาหวาน
เนื่องจากความหนืดของน้ำตาลที่ผสมในเลือด
ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของการไหลเวียนของเลือดซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ส่งผลให้เส้นเลือดแดงขนาดเล็กที่ไตเสื่อม
ระดับน้ำตาลที่สูงเรื้อรังทำให้ระดับกลูโคสสูงขึ้นจะสร้างความเสียหายให้ กับเส้นเลือดฝอยในไต
มีความดันและความเร็วเลือดที่เพิ่มสูงขึ้นเกิดการหนาตัวของเส้นเลือด การ ทำงานของไตจึงเสื่อมลง เริ่มพบการรั่วของสารต่างๆ ออกมาพร้อมกับ ปัสสาวะ
โปรตีนชนิดอัลบูมิน
ข้อวินิจฉัยหรือปัญหาทางการพยาบาล
4.แผลหายช้าจากหลอดเลือดตีบแข็ง
5.มีแนวโน้มจะเกิดความดันโลหิตสูง/กล้ามเนื้อหัวใจขาด เลือด/ไตวาย จากหลอดเลือดตีบแข็ง
3.เสี่ยงต่อการเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำจากการรักษาด้วยยาลดน้ำตาล
6.ขาดความรู้เกี่ยวกับการใช้ยารับประทาน/ยาฉีดและวิธีการฉีดยา
2.เสี่ยงต่อภาวะขาดโซเดียมเนื่องจากการถ่ายปัสสาวะบ่อย
7.ขาดความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน และการปฏิบัติตัว เพื่อการป้องกันภาวะแทรกซ้อน
มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง จากการที่ร่างกายสร้าง อินซูลินไม่เพียงพอ
8.มีความวิตกกังวล ท้อแท้ และซึมเศร้าจากภาวะความเจ็บป่วยที่ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางส่วนของร่างกาย และการดำเนินชีวิต
การวินิจฉัย
การตรวจร่างกาย
หัวใจและหลอดเลือด
อาจพบความดันโลหิตสูง เจ็บหน้าอก เส้นเลือดสมองอุดตัน เวลาเดินปวดน่องมากพอหยุดเดินแล้วอาการจะหายไปหรือเป็นอัมพาต
ช่องท้อง
มีไขมันพอกบริเวณหน้าท้อง หน้าอก คอและหน้า อาจคลำพบตับโต ขอบเรียบ กดไม่เจ็บ เมื่อได้รับการรักษาที่ดีตับจะเล็กลงมีอาการทางลำไส้ ท้อง ผูกหรือท้องเดินในเวลากลางคืน
ลักษณะทั่วไป
รูปร่างร่างอาจอ้วนหรือผอมแล้วแต่ระยะเวลาที่เป็น ท่าทาง อ่อนเพลีย ปากแห้ง หน้าแดง ผิวหนังร้อน เท้าอุ่น มีไข้ต่ำๆ ถึงไข้สูงและถ้ามีภาวะเป็นกรดร่วมด้วย อาจพบหายใจหอบเร็ว ลึก (Kussmual respiration) อาจซึม หรือไม่รู้สึกตัวก็ได้
กล้ามเนื้อและระบบประสาท
ปวด ชา ปลายมือปลายเท้า มึนงง เวียนศีรษะ กล้ามเนื้อลีบและอาจตรวจพบเชื้อราตามข้อพับ แขนขาไม่มีปฏิกิริยาสะท้อน (Reflex) ตามข้อเข่า และข้อเท้า
ตา
พบมีต้อกระจก ต้อหิน เส้นเลือด ในจอรับภาพแตก มองเห็นภาพซ้อน(Diplopia)
ระบบขับถ่ายและอวัยวะสืบพันธุ์
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กรวยไตอักเสบ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ความรู้สึกทางเพศลดลงหรือไม่มี ถ้าตั้งครรภ์ครบกำหนดบุตรมีน้ำหนักมากกว่าปกติ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ระดับน้ำตาลในเลือด หลังอดอาหาร (ออย่างน้อย 8 ชั่วโมง) มากกว่าเท่ากับ 126 mg/dl
การตรวจความทนต่อกลูโคส โดยให้รับประมาณกลูโคส 75 g แล้วตรวจระดับน้ำตาลในเลือดที่ 2 ชั่วโมง
มีอาการโรคเบาหวานชัดเจน ได้แก่ หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย และปริมาณมาก น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่มีสาเหตุร่วมกับตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเวลาใดก็ได้ไม่จําเป็นต้องอดอาหาร ถ้ามีค่ามากกว่าเท่ากับ 200 mg/dl
การตรวจระดับน้ำตาลสะสม (A1C) มากกว่าเท่ากับ 6.5% โดยวิธีการตรวจและห้องปฏิบัติการต้องได้รับการรับรองตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งมีน้อยในประเทศไทย ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้ใช้วิธีนี้
สาเหตุ
โรคอ้วน
ผู้ที่มีน้ำหนักมาก ไขมันส่วนเกินจะสร้างสารที่ทำให้การตอบสนองของเนื้อเยื่อร่างกายต่ออินซูลินไม่ดี หรือนัยหนึ่งเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินขึ้น
พฤติกรรม
พฤติกรรมที่เป็นสาเหตุของโรคเบาหวาน
พฤติกรรมการรับประทานอาหาร
เวลา การไม่รับประทานผักและผลไม้
การรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายซึ่งมีส่วนประกอบของแป้ง น้ำตาล และไขมันทรานส์
การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา
พฤติกรรมการสูบบุหรี่และดื่มสุรา
การไม่ออกกำลังกายในชีวิตประจำวัน
ความผิดปกติของตับอ่อน
เนื่องจากตับอ่อนจะทำหน้าที่ในการผลิตอินซูลิน ดังนั้นหากตับอ่อนมีการเสื่อมสภาพหรือเกิดความผิดปกติก็ย่อมส่งผลต่อการเกิดโรคเบาหวานได้ด้วย
ผู้สูงอายุ
เมื่ออายุมากขึ้น ตับอ่อนจะเสื่อมการทำงาน ทำให้การสังเคราะห์และการหลั่งอินชูลินลดลง
การตั้งครรภ์
เนื่องจากขณะตั้งครรภ์จะมีการสร้างฮอร์โมนจากรกซึ่งมีผลต่อต้านการทำงานของอินชูลิน
Genetic (พันธุกรรม)
เบาหวานมีสาเหตุจากกรรมพันธุ์ส่วนหนึ่ง แต่ผู้ที่มีญาติสายตรง อาทิเช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง เป็นเบาหวานก็ไม่จำเป็นต้องป่วยเป็นโรคเบาหวานทุกราย ทั้งนี้ขึ้นกับการควบคุมดูแลปัจจัยเรื่องอย่างอื่น
อาการและอาการแสดง
การกระหายน้ำบ่อยขึ้น
เพราะร่างกายต้องการน้ำเพื่อไปทดแทนน้ำที่เสียไปจากการขับปัสสาวะ ทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะรู้สึกคอแห้งและกระหายน้ำมากกว่าปกติที่เคย ไม่ว่าช่วงนั้นจะมีอากาศร้อนหรืออากาศเย็นก็ตาม นอกจากอาการกระหายน้ำแล้วยังสามารถดื่มน้ำได้มากในแต่ละครั้งที่ดื่มอีกด้วย
ตาพร่ามัว
เนื่องจากระดับน้ำตาลในร่างกายที่มากกว่าปกติ เป็นสาเหตุทำให้ร่างกายขับน้ำตาลออกมาทางเลนส์ตา เมื่อรับน้ำที่ผ่านเข้าเลนส์ตาก็จะทำการซับน้ำไว้ให้ได้มากที่สุดจึงเกิดการทำงานที่ผิดปกติ เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการตาพร่ามัว มองภาพได้ไม่ชัด หรือถ้าเป็นมาก จะเห็นน้ำไหลออกมาจากดวงตาแต่ไม่ใช่น้ำตา น้ำที่ไหลออกจากจะมีลักษณะเหนียวข้น
ปัสสาวะบ่อยขึ้น
การขับปัสสาวะบ่อยเกิดจากกลไกการทํางานของไตที่พยายามจะกรองแยกสารอาหารที่มีประโยชน์ (น้ำตาล) กลับคืนสู่ร่างกายและคัดกรองของเสียออกจากเลือดแล้วขับออกจากร่างกายไปโดยส่งไปพร้อมกับปัสสาวะจึงเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยเบาหวานต้องปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ
ผิวหนังมีปัญหา
เช่น คัน ทำให้เกิดการติดเชื้อ แผลหายช้า
น้ำหนักตัวลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
เนื่องมาจากร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ ทำให้ร่างกายเหมือนอยู่ในสภาวะขาดอาหารและเริ่มดึงโปรตีนจากกล้ามเนื้อ มาใช้เป็นพลังงานแทน นอกจากนี้การที่ไตทํางานอย่างหนักยังส่งผลให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่มากเกินไป
อ่อนเพลีย
หิวบ่อย กินจุ
คลื่นไส้อาเจียน
ปัจจัยเสี่ยง
มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป
กิจวัตรประจำวันไม่มีกิจกรรมการทำงานที่ต้องใช้แรงงานหรือการเคลื่อนไหวร่างกายที่เหมาะสม
มีประวัติเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์หรือมีลูกที่น้ำหนักแรกคลอดมากกว่า 4,000 กรัม
มีระดับไขมันในเลือดผิดปกติ
มีประวัติบุคคลในครอบครัว เป็นโรคเบาหวาน
มีภาวะดื้ออินซูลิน
ภาวะ Metabolic Syndrome
ความดันโลหิตสูง
ไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
HDL ต่ำ
น้ำหนักตัวเกินมาตรฐานหรืออ้วน
มีความดันโลหิตมากกว่าหรือเท่ากับ 140/90 mmHg
ความหมาย
โรคเบาหวานเป็นกลุ่มโรคของความผิดปกติของการเผาผลาญไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเป็นผลจากความบกพร่องของการหลั่ง insulin หรือการออกฤทธิ์ของ insulin หรือทั้งสองสาเหตุ ทำให้เกิดระดับน้ำตาลในเลือด สูง ภาวะระดับน้ำตาลสูงเรื้อรังมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเสียหายในระยะยาว การสูญเสียหน้าที่ และความล้มเหลวของอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของตา ไต ระบบ ประสาท หัวใจและหลอดเลือด
พยาธิสภาพและกลไก
อินซูลินจะมีหน่วยที่ควบคุมอัตราการเผาผลาญ คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน การพร่องอินซูลินพบสาเหตุใหญ่ๆ อย่างน้อย 4 ปัจจัย
กรรมพันธุ์
กระบวนการเผาผลาญ
ภาวะติดเชื้อ
เป็นผลให้ไอสเลทบีต้าเซลล์ถูกทำลาย หรือสร้างอินซูลินไม่ได้
จะทำให้กลูโคสในกระแสเลือดผ่านเข้าสู่เซลล์ได้ช้าในขณะเดียวกัน จะมีการสร้างกลูโคสจากไกลโคเจนที่ตับ และมีการดูดซึมเพิ่มจากอาหารที่รับประทานเข้าไป
ปัจจัยทางภาวะภูมิต้านทานจึงเกิดภาวะน้ำตาลในกระแสเลือดสูง (Hyperglycemia)
ระดับกลูโคสที่สูงขึ้นนี้ ถ้าเกินกว่าที่ความสามารถของไตจะดูดซึม กลับ (Renal threshold) ก็จะถูกขับออกพร้อมกับน้ำมากับปัสสาวะ จึงตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะ (Glucosuria) น้ำตาลที่เข้มข้นสูงจะ พาเอาน้ำออกมาเป็นจํานวนมาก
โรคเบาหวานเกิดขึ้นจากการที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงในการเผาผลาญสารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน เนื่องจากความไม่สมดุลของการใช้กับการสร้างอินซูลินร่างกาย
ทำให้ผู้ป่วยปัสสาวะบ่อย (Polyuria) พร้อมกับสูญเสียเกลือแร่บางชนิด โดยเฉพาะโซเดียมร่างกายจึงขาดทั้งอาหาร น้ำและเกลือแร่ จึงมีอาหารหิวบ่อย กินจุ (Polyphagia) กระหายน้ำ ดื่มน้ำบ่อย (Polydipsia) และ น้ำหนักลด ผอมลงบางรายอ่อนเพลีย อาการมากน้อยแล้วแต่การสูญเสีย น้ำตาล น้ำ และเกลือแร่ไปเป็นแบบเรื้อรัง
โรคเบาหวานแบ่งเป็น 4 ชนิด
โรคเบาหวานชนิดที่ 2
เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุดของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด เกิดจากภาวะดื้ออินซูลินมักพบในผู้ใหญ่ หรือผู้ที่มีน้ำหนักเกิน หรืออ้วน
โรคเบาหวานที่มีสาเหตุจำเพาะ
มีได้หลายสาเหตุ เช่น โรคของตับอ่อน โรคทางต่อมไร้ท่อ หรือยาสเตียรอยด์
โรคเบาหวานชนิดที่ 1
เกิดจากเซลล์ตับอ่อนถูกทำลายโดยภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ขาดอินซูลินมักพบในเด็ก
โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
เป็นโรคเบาหวานที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ มักเกิดเมื่อไตรมาส 2-3 ของการตั้งครรภ์