Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
มารดาอายุ 22 ปี G1P0Ab0L0 - Coggle Diagram
มารดาอายุ 22 ปี G1P0Ab0L0
อาการไม่สุขสบายในไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์
ปัสสาวะบ่อย (Frequent urination)
ในไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ อาการปัสสาวะบ่อยจะลดน้อยลง เนื่องจากมดลูกลอยตัวพ้นจากกระดูกหัวเหน่า จึงไม่ได้กดเบียดกระเพาะปัสสาวะ แต่สตรีตั้งครรภ์จะมีอาการปัสสาวะบ่อยอีกครั้งเมื่ออายุครรภ์ใกล้ครบกำหนดเนื่องจากส่วนนำของทารกลงมากดเบียดกระเพาะปัสสาวะ
มารดามีการปัสสาวะบ่อยในไตรมาสเเรกโดยปัสสาวะทั้งวัน 8-10 ครั้งเเละปัสสาวะบ่อยในเวลากลางคืน 3-5 ครั้ง
หายใจลำบาก หรือหายใจสั้นๆ
(Dyspnea or Shortness of breath)
อาการหายใจลำบาก หรือหายใจสั้นๆ อาจพบได้ในไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ เนื่องจากอิทธิพลของฮอร์โมน Progesterone แต่ส่วนใหญ่พบในปลายไตรมาสที่สามของการตั้งครรภ์ เนื่องจากขนาดของมดลูกไปกดเบียดกะบังลม (Diaphragm) และปอด ประกอบกับสตรีตั้งครรภ์มีความต้องการใช้มากขึ้น อาการหายใจลำบาก หรือหายใจสั้นๆ อาจรบกวนการนอนของสตรีตั้งครรภ์ได้ ซึ่งสตรีตั้งครรภ์จะสังเกตอาการหายใจลำบากได้ชัดเจนในช่วงเวลากลางคืนขณะนอนหงายราบ
มีอาการหายใจลำบาก
อาการแสบร้อนยอดอก หรืออาการจุกเสียดท้อง
(Heart burn or Pyrosis)
อาการแสบร้อนยอดอก หรืออาการจุกเสียดท้อง เป็นอาการที่พบบ่อยตลอดการตั้งครรภ์ พบได้ร้อยละ 30-50 ของสตรีตั้งครรภ์ สาเหตุเกิดจากการไหลย้อนกลับของกรดในกระเพาะอาหาร(Gastric acid) เข้าไปในหลอดอาหาร สตรีตั้งครรภ์จะมีอาการแสบร้อนที่บริเวณยอดอก (Sternum) หรือบริเวณลิ้นปี (Epigastric area) และบางครั้งกรดอาจไหลย้อนเข้าไปถึงในช่องปาก การเปลี่ยนแปลงในระบบการย่อยอาหารนี้เกิดจากการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ช้าลง ร่วมกับกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหาร (Esophageal sphincter) คลายตัว เนื่องจากอิทธิพลของฮอร์โมน Progesterone ร่วมกับขนาดของมดลูกที่โตขึ้นไปกดเบียดกระเพาะอาหารให้เล็กลงการป้องกันอาการแสบร้อนยอดอก หรืออาการจุกเสียดท้อง
ไม่มีอาการแสบยอดอก
อาการท้องอืด (Flatulence)
เนื่องจากขนาดของมดลูกที่โตขึ้นแล้วไปเบียดกระเพาะอาหารให้มีขนาดเล็กลง ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเกิดจากการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมน Progesterone ทำให้กล้ามเนื้อเรียบของลำไส้คลายตัว มีการเคลื่อนไหว บีบตัวน้อยลง จึงทำให้อาหารค้างอยู่ในกระเพาะอาหารนานขึ้น
มีอาการท้องอืด
อาการท้องผูก (Constipation)
อาการท้องผูกเป็นอีกอาการหนึ่งที่เกิดขึ้นเนื่องจากขนาดของมดลูกที่โตขึ้นแล้วไปกดเบียดกระหารให้มีขนาดเล็กลง ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงในระบบทางเดินอาหารโดยอิทธิพลของฮอร์โมน Progesterone ทำให้กล้ามเนื้อเรียบของลำไส้คลายตัว การเคลื่อนไหวและบีบตัวน้อยลง จึงทำให้อาหารในกระเพาะอาหารนานขึ้น อาหารจึงถูกดูดซึมได้มากขึ้น ซึ่งมีประโยชน์ต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก แต่การที่อาหารค้างอยู่ในกระเพะอาหารนานเกินไป จะทำให้เกิดอากรท้องอืด(Flatulence)
ไม่มีอาการท้องผูก
ปวดหลัง (Backaches or Back pain)
อาการปวดหลังพบได้สองในสามส่วนของสตรีตั้งครรภ์ สตรีตั้งครรภ์จะมีอาการปวดหลังที่บริเวณกระดูกสันหลังส่วนปั้นเอว(Lumbar lesion) อาการปวดหลังจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อมดลูกมีขนาดโตขึ้น ทำให้สตรีครรภ์ต้องรับน้ำหนักของมดลูก ร่างกายของสตรีตั้งครรภ์จึงมีการปรับสมดุลของร่างกายโดยการทำสันหลังโค้งแอ่น นอกจากนี้เส้นเอ็นที่บริเวณข้อต่อกระดูกสันหลังและเชิงกรานหลวมจึงเป็นปัจจัยส่งเสริมทำให้กระดูกสันหลังโค้งแอ่นได้มากขึ้นนอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอาการปวดหลังเพิ่มมากขึ้นได้แก่ สตรีที่มีน้ำหนักตัวมาก หรือสตรีที่มีประวัติปวดหลังมาก่อน และการใช้ท่าทางในการเดิน ยืน นั่ง หรือนอนที่ไม่ถูกต้อง
มีอาการปวดหลังตั้งเเต่อายุครรภ์ 37 สัปดาห์
ความตันโลหิตต่ำ (Hypotension)
ความดันโลหิตต่ำขณะเปลี่ยนอิริยาบถ
(Postural hypotension)
ยืน หรือจากท่านอน เดิน ท่านั่งเกิดขึ้นเนื่องจากขณะตั้งครรภ์มีการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมน Progesterone ทำให้การเคลื่อนไหว หรือเปลี่ยนอิริยาบถอย่างรวดเร็ว เช่น ท่านั่งเป็นท่า ยืนเลือดมีการขยายตัวและมีการคั่งของเลือดที่บริเวณปลายเท้า ร่วมกับมดลูกที่มีขนาดโตขึ้น ไปกดเบียดเส้นเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนกลับจากปลายเท้าไปสู่หัวใจได้ไม่ดี ทำให้เกิดความดันโลหิตต่ำ สตรีตั้งครรภ์จึงมีอาการหน้ามืด เวียนศีรษะ
ไม่มีความดันโลหิตต่ำ
อาการหดรัดตัวของมดลูก
(Braxton Hick's
contractions)
รัดตัวของมดลูกเริ่มต้นครั้งแรกตั้งแต่อายุครรภ์ได้ประมาณ 8-12 สัปดาห์ เป็นระยะๆ ในแรกๆ สตรีตั้งครรภ์ยังไม่รู้สึกถึงการหดรัดตัวของมดลูกBraxton Hick's contractions จนกระทั่งครรภ์เข้าสู่ช่วงกลางและปลายของการตั้งครรภ์ สตรีตั้งครภ์จึงจะรับรู้เนื่องจากการหดรัดตัวของมดลูกมีความรุนแรงเพิ่มากขึ้นลักษณะการปวดอาจคล้ายๆ กับการปวดประจำเดือน แต่การหดรัดตัวของมคลูก BraxtonHick's contractions ไม่ใช่เป็นอาการของการเจ็บครรภ์คลอด
มารดามีการหดรัดตัวของมดลูกบางครั้งเเต่ไม่นานตั้งเเต่อายุครรภ์ 18 สัปดาห์
การวินิจฉัยการตั้งครรภ์
Presumptive signs
อาการแพ้ท้อง
ทฤษฏี
โดยจะมีอาการคลื่นไส้ อาจจะมีอาเจียนร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ เริ่มแรกอาจมีความรู้สึกพะอึดพะอม ส่วนใหญ่แล้วจะมีอาการในตอนเย็นมากกว่าตอนเช้า ทำให้ไม่อยาก รับประทานอาหาร น้ำหนักจึงลดหรือไม่ขึ้นในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ บางคนอาเจียนมากเกือบตลอดเวลา รับประทานอาหารไม่ได้เลย เรียกว่า hyperemesis gravidarum อาการแพ้ท้อง มักเริ่มปรากฏขึ้นขณะอายุครรภ์ 6 สัปดาห์ และจะหายไปเองในอีก 6- 12 สัปดาห์ต่อมา
กรณีศึกษา
มารดามีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เริ่มตั้งเเต่อายุครรภ์ได้ 2 เดือน
ปัสสาวะบ่อย
ทฤษฏี
ปัสสาวะบ่อยในไตรมาสแรกมดลูกที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจะมากดเบียดกระเพาะปัสสาวะทำให้ปัสสาวะบ่อย เมื่อมดลูกโตขึ้นสู่ช่องท้องจะกดกระเพาะปัสสาวะลดลงอาการจะดีขึ้น และเมื่อเข้าระยะใกล้คลอดก็จะปัสสาวะบ่อยอีก เนื่องจากศีรษะเด็กเคลื่อนลงในเชิงกรานกดเบียดกระเพาะปัสสาวะ
กรณีศึกษา
มารดามีการปัสสาวะบ่อยในไตรมาสเเรกโดยปัสสาวะทั้งวัน 8-10 ครั้งเเละปัสสาวะบ่อยในเวลากลางคืน 3-5 ครั้ง
อ่อนเพลีย
อ่อนเพลีย พบในการตั้งครรภ์ระยะแรก เป็นอาการหนึ่งของการตั้งครรภ์
มารดามีอาการอ่อนเพลียในช่วงระยะ 2 เดือนเเรกของการตั้งครรภ์
รู้สึกว่าเด็กดิ้น
จะเริ่มรู้สึกประมาณอายุครรภ์ 16- 20 สัปดาห์ การเคลื่อนไหวจะบ่อยขึ้นและแรงขึ้น การดิ้นของทารกในครรภ์ที่มารดารู้สึกได้เป็นครั้งแรก เรียกว่า quickening ในครรภ์แรกจะเริ่มรู้สึกประมาณอายุครรภ์ 18-20 สัปดาห์ ในครรภ์หลังจะรู้สึกเร็วขึ้นประมาณอายุครรภ์ 16-18 สัปดาห์ ทั้งนี้ขึ้นกับความหนาของหน้าท้องมารดา และตำแหน่งที่รกเกาะด้วย
มารดารู้สึกว่าลูกดิ้นเมื่ออายุครรภ์ได้ 18 สัปดาห์
การขาดประจำเดือน
การขาดประจำเดือน การขาดประจำเดือนในสตรีที่มีสุขภาพดี มีเพศสัมพันธ์และประจำเดือนสม่ำเสมอ ถ้าประจำเดือนขาดหายไปเกิน 1 รอบ 4 สัปดาห์ โดยนับจากวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย ให้สันนิษฐานว่าอาจจะมีการตั้งครรภ์ แต่การขาดประจำเดือนยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ได้ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ เช่น ภาวะไม่มีการตกไข่ (Anovulation) อันเนื่องจากความเครียด การมีโรคเรื้อรัง โรคของระบบต่อมไร้ท่อ ภาวะเจ็บป่วยที่รุนแรง การรับประทานยาคุมกำเนิดผู้อยู่ในระยะการให้นมบุตรการมีประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ การเริ่มเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน เช่น ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปเป็นต้น การขาดประจำเดือนบางครั้ง ยังไม่สามารถเป็นข้อมูลประกอบวินิจฉัยการตั้งครรภ์ได้ เช่น การตั้งครรภ์ในเด็กสาว คือ ในรายที่อายุน้อยกว่าช่วงอายุของการมีประจำเดือนครั้งแรก (Menarche) หรือการตั้งครรภ์ครั้งใหม่ขณะยังอยู่ในระยะให้นมบุตรในช่วงเวลาหลังคลอดบุตรได้ประมาณ 6 เดือนและการตั้งครรภ์ในวัยหมดประจำเดือนโดยเข้าใจว่าตนเองหมดประจำเดือนไปแล้ว
มารดามีการขาดประจำเดือนประมาณ 2 เดือนก่อนที่จะทำการตรวจครรภ์
การเปลี่ยนแปลงของเต้านม
การเปลี่ยนแปลงของเต้านม ชัดเจนในครรภ์แรกมากกว่าครรภ์หลัง บริเวณ areola จะกว้างออกมีสีคล้ำเนื่องจากมี pigment มากขึ้น sebaceous glands บริเวณ areola ขยายขนาดโตขึ้นเรียก montgomery tubercles เต้านมใหญ่ขึ้น คัดตึงขึ้น อาจเกิดจากอิทธิพลของฮอร์โมนหลายตัว เช่น เอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน และโปรแลคติน เป็นต้น
มารดามีขอบหัวนมที่คล้ำขึ้นจากเดิม และมี montgomery tubercles รู้สึกคัดตึงเต้านมเมื่ออายุครรภ์ได้ 3 เดือน
ผิวหนังมีเม็ดสีเพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้องมี pigmentation เพิ่มขึ้นเรียกว่า Striae gravidarum ถ้าเป็นที่บริเวณหน้า โหนกแก้ม หน้าผาก และจมูก เรียกว่า chloasma หรือ the mask of pregnancy ถ้าเป็นแถบสีดำกลางท้องน้อย เรียกว่า linea nigra
มารดามี linea nigra, และchloasma
อาการแสดงที่น่าจะตั้งครรภ์ (Probable signs)
หน้าท้องขยายใหญ่ (Abdominal enlargement)
มดลูกจะมีการขยายใหญ่ขึ้นสัมพันธ์กับอายุครรภ์และปรากฏให้เห็นได้ทางหน้าท้อง โดยในสตรีที่มีอายุครรภ์เท่ากัน ครรภ์แรกจะมองเห็นว่าหน้าท้องขยายช้ากว่าครรภ์หลัง เพราะกล้ามเนื้อหน้าท้องครรภ์แรกมีความยืดหยุ่นตึงตัวดี หน้าท้องที่เคยยืดขยายมาแล้วในครรภ์หลังจะค่อนข้างหย่อนคล้อย
มีขนาดหน้าท้องที่ใหญ่ขึ้น มารดาอายุครรภ์ได้ 16+1 weeks มีขนาดหน้าท้อง 2/3 เหนือ SP
การเปลี่ยนแปลงที่ปากมดลูก (Changes in the cervix)
ใน 2 - 3 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ มดลูกจะโตขึ้นในแนวหน้าหลัง ต่อมาตัวมดลูกจะกลมขึ้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 8 ซม. เมื่ออายุครรภ์ 12 สัปดาห์ การตรวจภายในอาจพบอาการแสดงน่าจะตั้งครรภ์
Goodelis sign
มีลักษณะคือปากมดลูกนุ่มลง ซึ่งอาจเกิดเร็วตั้งแต่อายุครรภ์ 4 สัปดาห์
Von Fernwald's sign
การที่มดลูกบริเวณยอดมดลูกในตำแหน่งที่รกเกาะนุ่มลง
Ladin's sign
การตรวจภายในพบว่ามดลูกนุ่มลงที่แนวกลางด้านหน้าตามแนวรอยต่อปากมดลูกและตัวมดลูก
Piskacek's sign
การตรวจภายในพบว่ามดลูกขยายใหญ่ออกไปข้างหนึ่ง คล้ายมดลูกโตไม่สม่ำเสมอ ซึ่งเกิดจากการที่รกเกาะด้านข้างของมดลูกทำให้นูนเด่นออกไป แต่เมื่ออายุครรภ์มากขึ้นก็จะโตสม่ำเสมอเท่า ๆ กัน
Hegar's sign
การที่ส่วน isthmus นุ่มมากจนสามารถกดเข้าหากันได้จากการตรวจภายในขณะที่อีกมือหนึ่งกดทางหน้าท้อง จะตรวจพบประมาณ 6-8 สัปดาห์
กรณีศึกษาไม่มีการตรวจภายใน
การหดรัดตัวของมดลูก (Braxton Hicks contraction)
มดลูกของคนตั้งครรภ์มีการหดรัดตัวเป็นครั้งคราว ไม่มีอาการเจ็บปวด ไม่สม่ำเสมอ จะเกิดขึ้นได้เมื่ออายุครรภ์ 16 สัปดาห์ขึ้นไป ถ้านวดคลึงมดลูก การหดรัดตัวนี้จะเพิ่มความแรงขึ้น การหดรัดตัวนี้เรียกว่า Braxton Hicks contraction
มารดามีการหดรัดตัวของมดลูกบางครั้งเเต่ไม่นานตั้งเเต่อายุครรภ์ 18 สัปดาห์
Ballottement
นื่องจากมดลูกนุ่มและทารกลอยอยู่ในน้ำคร่ำ (liquor amni) เวลากระตุ้นมดลูกทารกจะโก่งตัวลอยมากระทบมือ อาจสังเกตได้ระหว่างอายุครรภ์ 16-18 สัปดาห์
มารดารู้การขยับคลอนทารกเมื่ออายุครรภ์ 18 สัปดาห์
ผลการทดสอบทางฮอร์โมนให้ผลบวก (positive pregnancy test)
การทดสอบการตั้งครรภ์โดยการตรวจหา Human Chorionic Gonadotropins (HCG) เป็นการทดสอบการตั้งครรภ์ในทางปฏิบัติมากที่สุด การตรวจพบ HCG ในกระแสเลือด หรือในปัสสาวะ แสดงว่ามี acive trophoblast อยู่ในร่างกายแสดงว่าหญิงผู้นั้นน่าจะมีการตั้งครรภ์อย่างไรก็ตาม การตรวจพบ HCG มิใช่จะสรุปได้ร้อยละ 100 ว่ามีการตั้งครรภ์
เพราะการทดสอบอาจจะให้ผลบวกก็ได้ หรือ HCG อาจจะมาจากเซลล์มะเร็งอื่น ๆ ก็เป็นได้การตรวจพบ HCG ถือว่าเป็น probable sign ของการตั้งครรภ์ HCG หลั่งจาก syncytiotropholast ในระดับสูงสุดประมาณ 50,000- 100,000 miu/ml ขณะอายุครรภ์ 110 สัปดาห์ จากนั้น HCG จะลดระดับลงมา จนกระทั่งอยู่ระหว่างประมาณ 10,000-20,000 miu/m ที่อายุครรภ์ 20 สัปดาห์ และจะคงระดับนี้ไปตลอดการตั้งครรภ์
มารดาตรวจปัสสาวะ 6 ครั้งขึ้น 2 ขีดทุกครั้ง
อาการแสดงที่ตั้งครรภ์แน่นอน (Positive signs)
ตรวจพบการเต้นของหัวใจทารก(Auscultation of fetal heart sounds)
การได้ยินการเต้นของหัวใจทารก สามารถให้การวินิจฉัยการตั้งครรภ์ได้ทันที โดยถ้ำใช้เครื่องวัด Electronic Doppler สามารถตรวจพบการเต้นของหัวใจและฟังได้ยินเสียงหัวใจ ทารกตั้งแต่อายุครรภ์10 - 12 สัปดาห์ การฟังด้วย Stethoscope จะได้ยินเสียงหัวใจหารกตั้งแต่อายุครรภ์ 18 – 20 สัปดาห์ อัตราการเต้นหัวใจ (FHS) ของทารกปกติคือ 120 - 160 ครั้ง/นาที ตำแหน่งบนตัวทารกที่ได้ยิน FHS คือบริเวณด้านหลังที่แนวสะบักข้างซ้ายของทารกในครรภ์เสียงจังหวะการเต้นสม่ำเสมอนอกจากนั้นอาจได้ยินเสียงอื่น ๆ แทรกอยู่ด้วย การได้ยินจังหวะและระดับความดังชัดเจนของเสียง FHSขึ้นอยู่กับท่านอนของทารกในครรภ์การถูกห่อหุ้มด้วยน้ำคร่ำ และชั้นผนังหน้าท้องของสตรีตั้งครรภ์ตำแหน่งที่ฟังเสียงการเต้นของหัวใจทารกอาจจะเปลี่ยนไปตามตำแหน่งท่า หรือส่วนนำของทารกเนื่องจากทารกในครรภ์มีการดิ้นหรือเคลื่อนไหวอยู่เป็นระยะ ๆ การฟังเสียงการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ต้องจำแนกจากเสียงอื่นๆ ที่สามารถได้ยินทางหน้าท้องของสตรีตั้งครรภ์
Funic souffle (Umbilical cord souffle)
เป็นเสียงของเลือดที่ไหลผ่านหลอดเลือดในสายสะดือทารก (Umbilical arteries) มักเกิดจากหลอดเลือดถูกกดทับจากตัวทารก ทำให้เกิดแรงดันเลือดที่ผ่านบริเวณนี้สูงมากลักษณะเสียงจะเป็นเสียงฟูฟู มีจังหวะและความเร็วสอดคล้องกันกับการเต้นของหัวใจทารก
Uterine souffle
เป็นเสียงของเลือดไหลผ่านเส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงมดลูก (Uterine artery) ลักษณะเสียงเบาดังฟูฟูเหมือนลมเป่าเช่นกัน อัตราเท่ากับชีพจรของสตรีตั้งครรภ์ เกิดจากการเพิ่มปริมาณเลือดไปเลี้ยงที่มดลูกตำแหน่งที่ได้ยินจะเป็นส่วนล่างของมดลูกซึ่ง เป็นตำแหน่งปลายเปิดของหลอดเลือดแดงใหญ่(Uterine artery) เข้าสู่หลอดเลือดเล็กในตัวมดลูกปริมาณเลือดจำนวนมากในหลอดเลือดที่แตกกระจายสู่หลอดเลือดเล็กๆ เหล่านี้ทำให้เกิดเสียงดังฟูฟู ต่างจากเสียงของชีพจร ลักษณะเช่นนี้อาจพบได้ในผู้ป่วยที่มีเนื้องอกขนาดใหญ่ของมดถูก หรือเนื้องอกขนาดใหญ่ที่รังไข่
เสียงอื่น ๆ
อาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเสียงของการเต้นหัวใจทารกในครรภ์ ได้แก่ การเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ (Fetal movement) ที่ดิ้นมากระทบหน้าท้องบริเวณที่ฟังเสียงและเสียงการเคลื่อนไหวของลำไส้ (Bowel sound) โดยเสียงเหล่านี้ไม่มีเสียงสม่ำเสมอ ฟังได้ยินเสียงไม่ต่อเนื่อง
สามารถฟังเสียงทารกได้เมื่ออายุครรภ์ได้ 16+1 สัปดาห์ 2/3> SP อัตราการเต้นของหัวใจ 152 ครั้ง/นาที
ตรวจพบการเคลื่อนไหวของทารก
(Perception of fetal movements)
การเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ที่ผู้ตรวจจะสัมผัสและรับรู้ได้จากการตรวจทางหน้าท้องเป็นการวินิจฉัยการตั้งครรภ์ที่แน่นอน อีกประการหนึ่งผู้ตรวจเริ่มจากการตรวจพบความเคลื่อนไหวของทารกทารกได้ตั้งแต่อายุครรภ์ประมาณ 20 สัปดาห์โดยใช้มือสัมผัสที่หน้าท้องและคอยรับความรู้สึกเมื่อทารกดิ้นมากระทบรวมทั้งสามารถมองเห็นทารกดิ้นได้ด้วยในช่วงอายุครรภ์ 18-20 สัปดาห์ การเคลื่อนไหวของทารกจะมีลักษณะเร็วและเบา ทั้งนี้เมื่ออายุ
ครรภ์มากขึ้นจะสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของทารกบริเวณหน้าท้องของสดรีตั้งครรภ์ได้ด้วยตาเปล่าชัดเจนขึ้นตามลำดับ อย่างไรก็ตามการบีบรัดตัวของลำไส้และกล้ามเนื้อหน้าท้องอาจทำให้รู้สึกคล้ายกับทารกดิ้นอยู่ภายใน ซึ่งผู้ตรวจที่มีทักษะความชำนาญจะสามารถแยกแยะลักษณะการเคลื่อนไหวของทารก
มารดารู้สึกทารกดิ้นเมื่ออายุครรภ์ 18 สัปดาห์
การตรวจพบทารกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
(Ultrasonic recognition of pregnancy)
ในปัจจุบันการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงหรืออัลตราซาวด์เป็นที่นิยมใช้กันมากทางสูติศาสตร์ การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงทางหน้าท้องสามารถตรวจเห็นการตั้งครรภ์ได้โดยตรวจพบ Gestationalsac ตั้งแต่อายุครรภ์ 4 สัปดาห์ นับจากวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย และเมื่ออายุครรภ์ 7 – 8 สัปดาห์ สามารถมองเห็นรูปร่างของทารกและการทำงานของหัวใจได้ การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงจะมีความแม่นยำเชื่อถือได้เมื่ออายุครรภ์ประมาณ 8 สัปดาห์ และมีความคลาดเคลื่อนประมาณ 4 วันภาพจากคลื่นเสียงความถี่สูงยังช่วยวินิจฉัยการตั้งครรภ์ที่ผิดปกติได้ด้วย เช่น Blighted ovum การตั้งครรภ์นอกมดลูก ครรภ์แฝด ครรภ์ไข่ปลาอุก เป็นต้น การตรวจอัลตราซาวด์ทางช่องคลอดช่วยให้มองเห็นภาพได้ชัดเจนกว่าการตรวจทางหน้าท้องการอัลตราชาวด์ทางช่องคลอดสามารถเห็น Gestational sac ได้ตั้งแต่ 10 วันหลังจากการฝังตัว(Implantation) สามารถตรวจพบการเต้นของหัวใจทารกได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 4 สัปดาห์ หลังปฏิสนธิและยังสามารถดูโครงสร้างอื่นๆ ภายนอกมดลูก ทำให้เห็นความผิดปกติอื่นๆ ได้เช่น การตั้งครรภ์นอกมดลูกหรือเนื้องอกที่รังไข่ เป็นต้น
พัฒนกิจในหญิงตั้งครรภ์
พัฒนกิจขั้นที่ 1 การสร้างความมั่นใจและยอมรับการตั้งครรภ์ (pregnancy Validation)
ความรู้สึกครั้งแรกที่เกิดขึ้นกับหญิงตั้งครรภ์ก็คือ ความประหลาดใจเมื่อทราบว่าตนเองตั้งครรภ์พร้อมกัน นั้นก็จะมีความรู้สึกสองฝักสองฝ่าย ระหว่างความต้องการมีบุตรและไม่ต้องการมีบุตร ขัดแย้งภายใน จิตใจ ต่อมาถ้าเริ่มมีอาการที่ทำให้ไม่สบายเป็นเหตุให้ความรู้สึกสองผักสองฝ่ายเพิ่มมากขึ้น เพราะความไม่สุขสบายทำให้หญิงตั้งครรภ์รู้สึกอ่อนเพลีย นอกจากนี้ในระยะนี้ยังเริ่มจินตนาการที่แปลก ๆเกี่ยวกับสิ่งที่ยังไม่รู้ ไม่เห็น และไม่แน่ใจ ลำดับต่อมาคือการตรวจสอบการตั้งครรภ์เพื่อยืนยันให้เกิดความแน่ใจ แล้วจึงตัดสินใจบอกการตั้งครรภ์ให้ผู้อื่นรับรู้
มารดาประหลาดใจที่ตนเองตั้งครรภ์ ซื้อที่ตรวจปัสสาวะ 6 ครั้ง มารดามีความไม่สุขสบายรู้สึกอ่อนเพลีย มารดายอมรับการตั้งครรภ์จึงมาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาล
พัฒนกิจขั้นที่ 2 การมีตัวตนของบุตร และรับรู้ว่าบุตรในครรภ์เป็นส่วนหนึ่งของตน (Tetal embodiment)
เกิดมโนภาพเกี่ยวกับตนเอง โดยสังเกตและสนใจตนเองมากขึ้น เป็นการมองภาพลักษณ์ของตนในลักษณะหญิงตั้งครรภ์ความวิตกกังวลเริ่มลดลง เนื่องจากรู้สึกยอมรับการตั้งครรภ์มากขึ้น เริ่มให้ความสนใจพูดคุยกับหญิงตั้งครรภ์หรือครอบครัวที่กำลังมีบุตร เริ่มจัดซื้อเสื้อผ้าของหญิงตั้งครรภ์และเริ่มมีความรู้สึกพึ่งพาสามีมากขึ้น นอกจากนั้นยังแสดงความสนใจ ห่วงใยทารกในครรภ์ กลัวความ ผิดพลาดต่าง ๆ ที่ทำให้ทารกเป็นอันตรายและจะรับประทานอาหารมากขึ้น เพื่อเพิ่มคุณค่าของอาหารให้ทารกในครรภ์
มารดามีการรับประทานอาหารที่บำรุงครรภ์ ซื้อเสื้อผ้าคนท้องส่วมใส่ มีการติดเข้มกลัดที่หน้าท้องเพื่อเเสดงว่าตนเองมีการตั้งครรภ์
พัฒนกิจขั้นที่ 3 การยอมรับว่าทารกเป็นบุคคลคนหนึ่งที่มีบุคลิกภาพที่แตกต่างไปจากตน (tetal distinction)
มีการปฏิสัมพันธ์กับบุตรทางการสัมผัสจากภายนอก คิดถึงว่าบุตรจะมีบุคลิกคล้าย ผู้ใด เริ่มซื้อเสื้อผ้าของทารกแรกเกิด ซักนำให้สามีสนใจทารกในครรภ์ โดยชี้ชวนให้เฝ้าดูการเคลื่อนไหว ที่เห็นได้ทางหน้าท้อง ช่วยกันตั้งชื่อบุตร นอกจากนี้ยังมีความสนใจที่จะชักชวนให้ผู้อื่นได้แสดงออกต่อทารกในครรภ์ของตน ยอมรับภาพลักษณ์ของการเป็นมารดาว่าการตั้งครรภ์มิใช่เป็นสิ่งที่น่าเกลียด แต่เป็นการให้กำเนิดชีวิต
มารดาได้ยินเสียงหัวใจของทารก มีการดิ้นของทารกในครรภ์
พัฒนกิจขั้นที่ 4 การเปลี่ยนบทบาทการเป็นมารดา (role transition)
ช่วงนี้หญิงตั้งครรภ์จะมีความวิตกกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับเรื่องของการเจ็บครรภ์มีความรู้สึกพึ่งพาคนอื่น คิดว่ามีการเสียงรออยู่ มีทั้งความรู้สึกสมหวัง และหวั่นเกรงจะสูญเสียเกิดขึ้น ในขณะเดียวกันก็รู้สึกคาดหวังที่จะได้เห็นหน้าบุตร ฝันถึงบทบาทของการเป็นมารดาที่กำลังดูแลบุตร มีการวางแผนจัดเตรียมสิ่งของในบ้าน รวม ทั้งเตรียมบุตรคนก่อนและสมาชิกอื่นในบ้านให้พร้อมที่จะต้อนรับบุตรเกิดใหม่ หญิงตั้งครรภ์ที่สามารถ ผ่านขั้นตอนของพัฒนกิจไปได้ หญิงนั้นจะเตรียมความพร้อมที่จะเป็นมารดาอย่างสมบูรณ์ และเป็น ผู้บรรลุวุฒิภาวะ
เริ่มมีความกังวลในการคลอด มีการจัดเตรียมเสื้อผ้าสำหรับทารก