Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Sepsis ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด, โรคเบาหวาน (Diabetes…

- - - - 4.อาการที่เกิดจากความล้มเหลวของระบบอวัยวะต่าง ๆ เช่น
        ระบบหัวใจและไหลเวียนเลือดด คือ ภาวะความดันโลหิตต่ำ อวัยวะต่างๆ ได้รับเลือดและออกซิเจนไม่พอเพียง ผู้ป่วยอาจมีอาการสับสน กระวนกระวาย ซึม หมดสติ มีปัสสาวะน้อยลง มีสารน้ำรั่วซึมในปอดทำให้ ผู้ป่วยหายใจหอบ
      - 3.Systemic inflammatory response syndrome (SIRS) คือ อาการที่เกิดจากร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อการติดเชื้อ
        
        WBC > 12,000/mm3 , < 4,000/mm3 หรือมี neutrophil > 10 %
        
        Respiratory rate > 20/min หรือ PaCO2< 32 mmHg
        
        Heart rate > 90 beats/min
        
        Temperature > 38 C or < 36 C
      - 1.อาการเฉพาะที่หรือเฉพาะอวัยวะที่ติดเชื้อ เช่น
        
        -การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ มีอาการ ปวดบั้นเอว ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะบ่อย ปวดท้องน้อย
        
        -การติดเชื้อที่ผิวหนัง ปวดแผล มีหนอง มีบวมแดง
        
        -การติดเชื้อในระบบหายใจ มีอาการ ไอ มีเสมหะ เจ็บหน้าแกเวลาหายใจหอบเหนื่อย
        
        -การติดเชื้อในช่องท้อง มีอาการ ปวดท้องคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว
        
        -การติดเชื้อในระบบประสาท มีอาการปวดศีรษะ คอแข็ง แพ้แสง
      - 2.อาการแสดงทางผิวหนัง เกิดจากการที่เชื้อโรคที่อยู่ในกระแสเลือด กระจายมาสู่บริเวณผิวหนัง ทำให้เกิดรอยบริเวณผิวหนัง ซึ่งในบางรายอาจมีลักษณะไม่จำเพาะอย่างเช่นเป็นตุ่มหนองธรรมดา และในบางรอยนั้นมีลักษณะจำเพาะที่สามารถบอกได้ถึงชนิดของเชื้อ
- - - - ผลตรวจ arterial blood gas: ABG
        
        PaCO2 57.2
        
        HCO3 26.4
        
        PaO2 62
        
        แปลผล respiratory acidosis
        
        pH 7.285
      - แรกรับที่ ER หายใจเหนื่อย อัตราการหายใจ 28 ครั้ง/นาที ค่า O2 saturation 90%
      - ผลตรวจ Lactate 33.4 mg/d/L
  - - - ระบบฮอร์โมน ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงมากกว่าปกติ เพราะตับอ่อนจะผลิตอินซูลินได้ไม่เพียงพอ ทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลด้วยยาไม่ได้ผลต้องให้ยาอินซูลินแทน
      - ตับ การทำหน้าที่ของตับในการกำจัดเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุจะสูญเสียไปทำให้ตัวเหลือง ตาเหลืองและตับทำหน้าที่ผลิตสารเคมีช่วยในการแข็งตัวของเลือดทำให้เลือดไม่แข็งตัวเลือดจึงออกได้ง่าย
      - ไต เมื่อไตหยุดทำงานผู้ป่วยจะไม่มีปัสสาวะหรือปัสสาวะออกน้อย น้ำและของเสียจะคลี่ง อิเล็กโทรไลต์ในร่างกายไม่สมดุลกัน
      - หัวใจ บีบตัวได้น้อยลง ความดันโลหิตยิ่งลดยิ่งทำให้การส่งเลือดไปสู่อวัยวะต่างๆน้อยลง
      - ปอด การแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนระหว่างปอดกับหลอดเลือดลดลง เนื่องจากถุงลมปอดมีน้ำคั่งมากขึ้นทำให้ปริมาณออกซิเจนในเลือดน้อยลงขณะที่ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น อวัยวะต่างๆจึงได้รับออกซิเจนน้อยลงส่งผลให้อวัยวะต่างๆรวมทั้งปอดล้มเหลวมากขึ้น
- - - - พยาธิสภาพ
        
        มีการติดเชื้อในร่างกายเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด
        
        มีการหลั่ง endotoxin ทำให้มีการอักเสบในร่างกายเกิดขึ้น
        
        กระตุ้น complement
        
        หลั่งสาร mediator : histamine,serotonin,cytokines ซึ่งมีผลต่อผนังหลอดเลือด
        
        permeability เพิ่มขึ้นทำให้สารน้ำและโปรตีนออกนอกเส้นเลือด
        
        1 more item...
        
        เกิดการทำลายผนังหลอดเลือด
        มีรอยรั่วที่ผนังหลอดเลือด(vascular damage)
        
        1 more item...
        
        Vasodilation เกิดหลอดเลือดขยายตัว
        
        1 more item...
      - เกิดการติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะ
      - เกิดการติดเชื้อที่ปอด
    - - อาการสำคัญ: หายใจเหนื่อยหอบ 1 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล
        
        อาการปัจจุบัน : 6 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาลผู้ป่วยไอผู้ดูแลจึงให้ทานยาละลายเสมหะอาการดีขึ้น 1 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล ผู้ป่วยมีอาการไอมีเสหะมากขึ้น หายใจหอบเหนื่อย ตัวซีดหน้าซีดจึงนำส่งโรงพยาบาล
        
        ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต : มีโรคประจำตัวเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และเคยเป็น stroke มาก่อนมีอัมพฤกษ์อัมพาตซีกซ้าย
- - - - ใส่ ETT intubation No.7.5 Depth 21 cm with ventilator VCV mode Ti 1.00 RR 16, PEEP 5 ,FiO2 0.4
        
        ให้ยา -Ceftazidime 2 g IV q 8 hr (ใช้รักษาอาการติดเชื้อจากแบคทีเรียหลายชนิด)
        -Azithromycin (250) sig 2 tab (ใช้รักษาอาการติดเชื้อจากแบคทีเรีย )
        -omeprazole 40 mg IV OD (ลดกรดในกระเพราะอาหาร)
        -Berodual inhaler 20+50 MCG 4 puff q 4 hr (ขยายหลอดลมช่วยเปิดทางเดินหายใจ)
        
        การเคาะปอดดูดเสมหะ
- - - - จากปัจจัยเสี่ยงนั้นทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสและเชื้อราในระบบต่างๆของร่างกายต่อเนื่องเป็นเวลานานๆโดยการติดเชื้ออาจเกิดขึ้นที่ตำแหน่งใดก็ได้ในร่างกาย ดังนี้
        
        3.การติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร
        
        1.การติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจ
        
        4.การติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะ
        
        5.การติดเชื้อของอวัยวะต่างๆในช่องท้อง เช่น ไส้ติ่งอักเสบ การติดเชื้อในถุงน้ำดี การติดเชื้อในตับ
        
        2.การติดเชื้อระบบผิวหนัง
  - - - ผลตรวจ CXR พบ congestion or pleural effusion (มีการบวมคั่งที่ปอดและมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด)
      - -ผลตรวจ Hemoculture พบเชื้อ เชื้อ Acinetobacter baumannii และ เชื้อ enterococcus faecalis
        
        เชื้อ Acinetobacter baumannii
        
        -Amikacin
        -Trimetho/sulfa
        -Norfloxacin
        -Ceftazidime
        -Ceftriaxone
        -Meropenem
        
        เชื้อ enterococcus faecalis
        
        -Ampicilin,
        -penicillin
      - -ผลตรวจเลือด WBC 15,440 /mm3
        neutrophil 52.4%
        Lactate 33.4 mg/dL
      - ปัสสาวะมีสีขุ่นและมีตะกอน
        -ตรวจ UA พบ WBC 10-20
        RBC 3-5
        Bacteria moderate Appearance slightly cloudy
- - - - 1.ความดันโลหิตต่ำ
      - 2.ภาวะขาดออกซิเจน
      - 3.มีปัสสาวะออกน้อย
      - 4.ภาวะเลือดเป็นกรด
      - 5.ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
      - 6.ภาวะซึมหรือการรับรู้ลดลง
    - - ภาวะแทรกซ้อน
        
        ภาวะไตวายเฉียบพลัน Acute kidney injury (AKI)
        
        ภาวะหายใจล้มเหลวอย่างเฉียบพลัน Acute respiratory distress syndrome (ARDS)
        
        ภาวะลิ่มเลือดแพร่กระจายในหลอดเลือด (disseminated intravascular coagulation: DIC)
        
        ภาวะที่อวัยวะในร่างกายล้มเหลวหลายระบบ โดยเรียกว่า Multiple Organs Dysfunction Syndrome (MODS)
      - ความหมาย
        
        Septic Shock หรือภาวะติดช็อกเหตุพิษติดเชื้อเป็นภาวะอาการที่มักเกิดหลังการติดเชื้อที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งในร่างกายทำให้เกิดการอักเสบขึ้นในอวัยวะของร่างกายซึ่งส่งผลให้ร้างกายมีระดับความดันลดต่ำปกติจนเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ได้ไม่เพียงพอ ทำให้อวัยวะทำงานลดลงหรือทำงานผิดปกติ และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
      - สาเหตุ
        
        เกิดจากการติดเชื้อในร่างกายจนทำให้มีการแพร่กระจายเชื้อเข้าไปในกระแสเลือด มีการแพร่กระจายเชื้อไปทั่วร่างกายเกิดการอักเสบของร่างกายอย่างต่อเนื่องและไม่ได้รับการรักษาจากภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดจึงทำให้เกิดอวัยวะล้มเหลวเกิดภาวะช็อกจากการติดเชื้อ
      - อาการและอาการแสดง
        
        อาการในระยะแรก
        
        ผิวหนังอุ่นและแดง
        
        มีไข้หนาวสั่น
        
        หายใจเร็วลึก
        
        BP<90/60 mmHg
        
        ระดับความรู้สึกตัวลดลง
        
        อาการในระยะหลัง
        
        มีภาวะเลือดออกทั่วร่างกาย
        
        ชีพจรเบาเร็ว>100/min
        
        หายใจเร็วเบา
        
        ผิวหนังเย็นชื้น มีภาวะ poor tissue perfusion
        
        ปัสสาวะออกน้อย<30ml/hr
        
        มีภาวะ lactic acidosis
        
        ซึม ไม่รู้สึกตัว
      - การรักษา
        
        การให้ยาปฏิชีวนะและการกำจัดแหล่งติดเชื้อ การให้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมอย่างรวดเร็วในระยะแรกของ septic shock
        
        การให้สารน้ำในอัตรารวดเร็วจุดมุ่งหมายของการให้สารน้ำในภาวะช็อกเพื่อเพิ่มให้ปริมาตรหลอดเลือดกลับมาเร็วที่สุด สารน้ำที่ควรให้คือ isotonic crystalloid solution สำหรับประเภทของสารน้ำนั้นมีความพยายามที่จะใช้ colloid ทดแทน cyrstalloid เนื่องจากสามารถคงปริมาตรในหลอดเลือดได้นานกว่า
        
        การให้ยากระตุ้นความดันโลหิต ในกรณีที่ตรวจพบว่าปริมาณสารน้ำในหลอดเลือดของผู้ป่วยเพียงพอแล้ว แต่ผู้ป่วยยังอยู่ในภาวะช็อก
        ควรเริ่มให้ยากระตุ้นหัวใจและพิจารณาการใช้ยาในกลุ่มคอติโคสเตียรอยด์ (corticosteroid) ซึ่งมีประโยชน์ในภาวะช็อกในระยะสุดท้ายที่ไม่ตอบสนองต่อการให้สารน้ำ
        
        5.การรักษาประคับประคองอื่นๆ ได้แก่ การควบคุมระดับน้ำตาล การใส่เครื่องช่วยหายใจ การให้
        อาหารทางหลอดเลือด
        
        4.ให้พิจารณาเริ่มยา Norepinephrine เป็น vasopressor ตัวแรก โดยให้หลังจากให้ IV fluid จนครบ 30 ml/kg และให้ยากระตุ้นความดันโลหิตแล้ว mean arterial pressure ยังคงน้อยกว่า 65 mmHg โดยให้ผสมตาม protocol
      - พยาธิสภาพ
        
        ในภาวะช็อกจากการติดเชื้อจะมีการสร้างไซโตไคน์(cytokines) ขึ้นจำนวนมาก เช่น ลิมโฟไคน์(Lymphokines) อินเตอร์ลิวคิน (interleukins) จะถูกปล่อยออกมาจากเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน หน้าที่ของสารนี้คือการให้สัญญาณแก่เซลล์อื่น ๆ ซึ่งไชโตไคน์เป็นโปรตีนขนาดเล็ก ๆ ที่ถูกหลั่งออกมาเพื่อเป็นสื่อและควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน การอักเสบมีแบคทีเรียเป็นตัวกระตุ้นไชโตไคน์ให้ออกมาจากระบบภูมิคุ้มกันทำให้เกิดผลดังต่อไปนี้คือ
        
        เนื้อเยื่อมีการสกัดเอาออกซิเจนมาใช้ได้ลดลง
        
        มีการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด มีการเกาะของไฟบริน และมีการกระตุ้นของไฟบรินทำให้เกิด
        microcirculatory coagulation
        
        มีการเพิ่มการยอมผ่านของผนังหลอดเลือดฝอยร่วมกับการลดลงของ preload มีการบวมของ
        ช่องว่างระหว่างเชลล์ของร่างกายเนื่องจากมีน้ำย้ายที่เข้ามาอยู่ในช่องว่างของเซลล์
        
        มีอวัยวะล้มเหลวหลายอวัยวะ (multiple organfailure)
        
        หลอดเลือดทั้งร่างกายขยายร่วมกับมี afterloadลดลง และความดันโลหิตต่ำ
      - เกณฑ์การคัดกรอง
        
        Hypotention
        -SBP<90 mmHg/MAP<65 mmHg
        -SBP ลดลงจาก baseline >40 mmHg ในผู้ป่วย HT
        
        2.Hypoperfusion (ผิดปกติข้อใดข้อหนึ่ง โดยไม่มีสาเหตุอื่น) -สมอง: ซึม สับสน กระสับกระส่าย -ผิวหนัง: มือเท้าเย็น ตัวลาย และ capillary refill>2 วินาที -หายใจเหนื่อย ระบบหายใจล้มเหลว -ไต : ปัสสาวะออกน้อยกว่า 0.5 ml/kg/hr
    - - การติดเชื้อชนิดรุนแรงที่มีการติดเชื้แในกระแสเลือดที่พบร่วมกับการทำงานผิดปกติของระบบหัวใจ และหลอดเลือดหรือพบร่วมกับการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน (ARSD)หรือพบร่วมกับความผิดปกติในการทำงานของอวัยวะอื่นๆต่อไปนี้อย่างน้อย 1 ระบบ ได้แก่ ระบบหายใจ ระบบประสาท ระบบเลือด ไตและตับ
    - - มีภาวะ sepsis ร่วมกับที่มีอวัยวะต่างๆทำงานผิดปกติ (multiple organ dysfunction) หรือ ภาวะ hypotension โดยมีความผิดปกติอย่างน้อย 1 ข้อดังนี้
        
        Urine output < 0.5 ml./kg./hr.
    - - 1.ระบบหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular): มีค่าความดันโลหิตในช่วงซิสโตลิคน้อยกว่าหรือเท่ากับ 90 มิลลิเมตรปรอท (arterial systolic blood pressure < 90 mmHg)หรือค่า mean arterial pressure น้อยกว่าหรือเท่ากับ 70 มิลลิเมตรปรอท ( < 70 mmHg)แต่ตอบสนองต่อการให้สารน้ำทางหลอดเลือด
      - ระบบไต (renal): มีปริมาณปัสสาวะออกน้อยกว่า
        0.5 มล.ต่อ กก.ต่อชั่วโมงแม้ว่าจะให้สารน้ำทดแทนอย่างพอเพียงแล้ว
      - ระบบการหายใจ (respiration): มีค่า PaO2 น้อยกว่าหรือเท่ากับ 250 หรือในกรณีที่ปอดเป็นอวัยวะเดียวที่มีความผิดปกติจะนับที่ค่าน้อยกว่า 200
      - 4.ระบบโลหิตพบเกล็ดเลือดน้อยกว่า 80,000 หรือมีปริมาณเกล็ดเลือดลดลงมากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 50 จากระดับเกล็ดเลือดที่มากที่สุดในช่วงระยะ 3 วันที่ผ่านมา
      - 5.ภาวะเลือดเป็นกรด : จากค่า blood gas ของเลือดแดง พบค่า
        pH < 7.30 หรือมีค่า lactate ในเลือดมากกว่า 1.5
        เท่าของค่าปกติสูงสุด
    - - การให้ยาปฏิชีวนะและการกำจัดแหล่งติดเชื้อ การให้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมอย่างรวดเร็วในระยะแรกของ septic shock
        
        การให้สารน้ำในอัตรารวดเร็วจุดมุ่งหมายของการให้สารน้ำในภาวะช็อกเพื่อเพิ่มให้ปริมาตรหลอดเลือดกลับมาเร็วที่สุด สารน้ำที่ควรให้คือ isotonic crystalloid solution สำหรับประเภทของสารน้ำนั้นมีความพยายามที่จะใช้ colloid ทดแทน cyrstalloid เนื่องจากสามารถคงปริมาตรในหลอดเลือดได้นานกว่า
        
        การให้ยากระตุ้นความดันโลหิต ในกรณีที่ตรวจพบว่าปริมาณสารน้ำในหลอดเลือดของผู้ป่วยเพียงพอแล้ว แต่ผู้ป่วยยังอยู่ในภาวะช็อกควรเริ่มให้ยากระตุ้นหัวใจและพิจารณาการใช้ยาในกลุ่มคอติโคสเตียรอยด์ (corticosteroid) ซึ่งมีประโยชน์ในภาวะช็อกในระยะสุดท้ายที่ไม่ตอบสนองต่อการให้สารน้ำ
        
        4.ให้พิจารณาเริ่มยา Norepinephrine เป็น vasopressor ตัวแรก โดยให้หลังจากให้ IV fluid จนครบ 30 ml/kg และให้ยากระตุ้นความดันโลหิตแล้ว mean arterial pressure ยังคงน้อยกว่า 65 mmHg โดยให้ผสมตาม protocol
        
        5.การรักษาประคับประคองอื่นๆ ได้แก่ การควบคุมระดับน้ำตาล การใส่เครื่องช่วยหายใจ การให้
        อาหารทางหลอดเลือด
- - - - Severe sepsis : คือมีภาวะ sepsis ที่มีระบบในอวัยวะร่างกายทำงานผิดปกติ 1 อวัยวะขึ้นไป ได้แก่ 1) Acute lung injury 2) Coagulation
        abnormality 3) Thrombocytopenia 4). Altered mental status
        5). Renal failure 6) Liver failure 7). Heart failure 8) Hypoperfusion 9) lactic acidosis
        
        Septic shock : ภาวะ Severe sepsis ที่มีความดันโลหิตต่ำ(systolic blood pressure < 90 มิลลิเมตรปรอท หรือลดลง > 40 มิลลิตรปรอทจากค่าพื้นฐาน) อย่างต่อเนื่องแม้ได้รับการรักษาด้วยการให้สารน้ำอย่างเพียงพอแล้ว
      - กรณีศึกษา : อุณหภูมิ 38 องศาเซลเซียส ชีพจร 120 ครั้ง/นาที
        อัตราการหายใจ 26 ครั้ง/นาที ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
        -CBC WBC 15,440 /mm3,neutrophil 52.4%
- - - - -ตรวจ UA พบ WBC 10-20 RBC 3-5 Bacteria moderate Appearance slightly cloudy
    - - -ผลตรวจ Hemoculture พบเชื้อ เชื้อ Acinetobacter baumannii และ เชื้อ enterococcus faecalis
        
        เชื้อ Acinetobacter baumannii
        
        -Amikacin
        
        -Meropenem
        
        เชื้อ enterococcus faecalis
        
        -Ampicilin,
        
        -penicillin
    - - -CXR ผล congestion or pleural effusion
    - - -ทำ EKG ผล sinus tachycardia rate 130 BPM
    - - -ค่า Blood gas PH 7.285 mmHg PaO2 62mmHg
        PaCo2 57.2 mmHg
        HCO3 26.4 meg/L
        แปลผล respiratory acidosis
    - - ผลตรวจร่างกาย ฟังเสียงปอดพบเสียง crepitations ทั้งสองข้าง การขยายตัวของปอดลงลงและเคาะปอดแล้วได้ยินเสียงทึบ
    - - SOS score 6 คะแนน
    - - DTX แรกรับได้ 187 mg%
    - - ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ CBC
        WBC 15,440 /mm3 (4400-11300)
        neutrophil 52.4% (40-73.1)
    - - Lactate 33.4 mg/dL (4.5-19.8 mg/dL)
- - - - สาเหตุ : เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไปสารอาหารจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลและถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดร่างกายก็จะขับฮอร์โมนอินซูลินเพื่อนำน้ำตาลเข้าเซลล์ โรคเบาหวานชนิดนี้เกิดจากหลายสาเหตุรวมกันได้แก่ ตับ กล้ามเนื้อเซลล์ไขมันมีความทนทานต่ออินซูลินเพิ่มและความผิดปกติเกี่ยวกับการหลั่งอินซูลิน
  - - - สาเหตุ : ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน ความเครียดสูง ไขมันในเลือดและตับ การทำงานของตับอ่อนที่ผลิตอินซูลินผิดปกติ
  - - - สาเหตุ :เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันไปทำลายเซลล์ของตับอ่อน จนทำให้ความสามารถในการสร้างอินซูลินเพื่อลดน้ำตาลในเลือดน้อยลง
  - - - สาเหตุ : เช่น โรคทางพันธุกรรม โรคของตับอ่อน โรคทางต่อมไร้ท่อ ยาบางชนิด เป็นต้น
- - - - อาการ: หัวใจเต้นเร็ว เวียนศีรษะหน้ามืด มึนงง เหงื่อออกมาก ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 70 mg/dl
    - - อาการ
        
        อาการ: ปัสสาวะบ่อยกระหายน้ำ หายใจหอบเหนื่อยมีกลิ่นผลไม้ คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง อ่อนเพลียไม่มีแรง สับสนหมดสติอาจเกิดภาวะช็อก ชีพจรเร็ว ความดันโลหิตต่ำ จะพบระดับน้ำตาลในเลือด >250 mg/dl
      - พยาธิสภาพ
        
        ฮอร์โมนที่ออกฤทธิ์ตรงกันข้ามกับอินซูลินทำให้เกิด
        ภาวะ DKA ภาวะปัสสาวะบ่อย (Osmotic Diuresis) การสลายไขมัน (Lipolysis) ด้วยการเกิด
        ภาวะแทรกซ้อนจากภาวะไขมันในเลือดสูงและความเป็นกรดในร่างกาย ซึ่งขบวนการสลายไขมันเพื่อให้
        เกิดพลังงานทำให้เกิดพยาธิสภาพได้แก่ การเกิดภาวะ Ketosis และ Acidosis เกิดสภาวะการขาดน้ำ
        (Dehydration) และการเกิดภาวะไม่สมดุลของอิเล็คโตไลค์และภาวะกรดด่างในร่างกาย
      - การวินิจฉัย DKA
        
        มักพบในผู้ที่มีประวัติเบาหวานชนิดที่ 1 (DM Type 1)
        
        มีอาการและอาการแสดงดังกล่าวข้างต้น
        
        การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ตรวจพบดังนี้
      - การรักษา
        
        การให้สารน้ำ โดยการ1.1 ประเมินความรุนแรงของ DKA และภาวะขาดน้ำ กรณีผู้ป่วยมีภาวะช็อก ให้0.9% NaCl (NSS) ค้านวณอัตราการให้สารน ้าโดยแก้ fluid deficit ใน 48 ชั่วโมง ร่วมกับ maintenance fluid ควรให้ KCl หลังจากที่ให้ initial rehydration
        
        การให้อินซูลิน ควรให้อินซูลินหลังจากให้ initial rehydration แล้ว 1-2 ชั่วโมง ให้เริ่มให้regular insulin (RI)
        
        การให้โพแทสเซียม (potassium, K)
        
        การให้โซเดียม (sodium, Na)
        
        การให้ bicarbonate (HCO3)
        
        1 more item...
    - - อาการ
        
        อาการ: อาการจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ อาจใช้เวลาเป็นวันหรือหลายวัน ไม่แน่นอนในระยะแรกมักเริ่มด้วยอาการกระหายน้ำมาก ปัสสาวะบ่อย ง่วง ซึม หลับ ชัก หมดสติ อาจมีผลกระทบต่อศูนย์ควบ คุมการหายใจ ทำให้หายใจเร็ว ตื้น แต่ลมหายใจไม่มีกลิ่นอะซิโตน
      - พยาธสภาพ
        
        มีอินซูลินเพียงพอ เพื่อยับยั้งการเกิด Lipolysis จึงไม่มีภาวะ Ketosis
        
        มีภาวะขาดน้ำมากกว่า
        
        อาจมีการเพิ่มขึ้นของ counter-regulatory hormones น้อยกว่า
      - ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการของ HHNK
        
        ระดับกลูโคสในเลือดสูงมาก > 600 mg/di
      - การรักษา
        
        1.การให้อินซูลินทดแทน
        
        2.การให้สารน้ำทดแทน
        
        3.การให้อิเล็กโทรไลต์ทดแทน
    - - อาการ กระหายน้ำมาก ดื่มน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะในตอนกลางคืน อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย น้ำหนักลด ตามัว
  - - - หลอดเลือดมีการตีบแคบลงหรือตีบตัน
        
        เลือดไปเลี้ยงอวัยวะนั้นไม่พอทำให้อวัยวะสูญเสียหน้าที่
        
        หลอดเลือดสมองเกิด Ischemic stork
        
        หลอดเลือดส่วนปลายอุดตัน
        
        เกิดอาการปวดขาขณะเดิน เมื่อหยุดอาการจะดีขึ้น
        
        เกิดแผลที่เท้ามีโอกาสตัดนิ้วหรือขาได้
        
        หลอดเลือดหัวใจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ischemic heart disease
  - - - จอประสาทตาผิดปกติ
        
        ทำให้มองเห็นไม่ชัดเกิดต้อหิน เห็นจุดดำลอยไปลอยมา เห็นแสงแวบคล้ายฟ้าแลบหรือแฟลชตอนถ่ายรูป ความดันลูกตาเพิ่มขึ้นทำให้ตาบอดได้ในที่สุด
- - - - น้ำตาลในเลือดเข้าสู่เซลล์ไม่ได้มีความผิดปกติ
        ของเบต้าเซลล์
        
        เซลล์ขาดน้ำตาล
        น้ำตาลในเลือดสูงมาก
        
        ท่อไตไม่สามารถดูดกลับน้ำตาลได้หมดจึงมีน้ำตาลรั่วออกมากับปัสสาวะ
        
        ปัสสาวะบ่อย
        
        ร่างกายเกิดภาวะ osmotic diuresis ร่างกายสูญเสียน้ำและอิเล็กโทรลัยต์ต่างๆออกมากับปัสสาวะ
        
        เกิดภาวะขาดน้ำ
        
        2 more items...
        
        เซลล์ขาดน้ำตาล
        
        ดึงโปรตีนมาเผาผลาญใช้แทน
        
        ร่างกายสร้างโปรตีนได้น้อย
        
        กล้ามเนื้อฝ่อลีบ แผลหายช้า น้ำหนักลด ผอม
        
        มีการใช้ฮอร์โมนตรงกันข้ามกับอินซูลินมาเผาผลาญดึง ไขมันมาเผาผลาญเพื่อใช้เป็นพลังงานแทน
        
        ไขมันย่อยสลายเป็นสารคีโตน
        
        มีภาวะคีโตนในเลือดสูง
        
        เกิดภสวะเลือดเป็นกรด Diabetic Ketoacidosis. (DKA)
- - - - ชนิดรับประทานแบ่งเป็น 5 กลุ่ม
        
        กลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย (sulfonylureas) ได้แก่ ไกลเบนคาไมล์ (glibenclamide) กลิพิไซด์(glipizide ) กลิดลาไซด์ (giclazide) ยากลุ่มนี้จะกระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งอินซูลิน ผลข้างเคียงคือ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
        
        กลุ่มไบกัวไนค์ (biguanides) ได้แก่เมตฟอร์มิน (metformin)ยากลุ่มนี้จะมีฤทธิ์ขับยั้งการ
        สร้างกลูโคสที่ตับ และกระตุ้นให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น ผลข้างเคียง คือ ระบบทางเดินอาหาร
        
        กลุ่มกลิทาโซน (glitazone) ได้แก่ โรซิกลิทาโซน (rosiglitazone)ได้แก่ โรซิกลิทาโซน (rosiglitazone)ไพ โอกลิทาโซน(pioglitazone)ยากลุ่มนี้ฤทธิ์กระตุ้นให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น ผลข้างเคียงคือ บวมน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
        
        กลุ่มเมกลิทิไนด์ (meglitinides) ได้แก่ เรพากลิไนท์ (repaglinide) ยากลุ่มนี้มีฤทธิ์กระตุ้นตับอ่อนให้หลังอินซูลิน ผลข้างเคียงคือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
        
        กลุ่มขับยั้งเอนไซม์แอลฟากลูโคซิเคส (alpha Glucosidaseinhibitors)ได้แก่ อะคาร์โบส
        (acarbose) โวกลิโบส (voglibose) ขากลุ่มนี้จะยับยั้งการทำงานของเอน ไซม์ที่มีส่วนย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาล ผลข้างเคียงคือ ปวดท้อง มีลมในท้อง
      - ชนิดฉีด แบ่งตามระยะเวลาการออกฤทธิ์ 5ชนิด
        
        อินซูลินชนิดออกฤทธิ์เร็ว ได้แก่ อินซูลินแอสปาร์ต (insulin aspart) อินซูดินลิสโปร
        (insulin lispro)ยากลุ่มนี้เริ่มออกฤทธิ์ภายใน 10-15 นาที หลังฉีดเข้าผิวหนัง และออกฤทธิ์คงอยู่ได้นาน
        
        อินซูลินชนิดออกฤทธิ์สั้น (regular insulin ซึ่งจัดเป็นกลุ่มอินซูลินออกฤทธิ์สั้นฮิวมูลินอาร์
        (Humulin R) ยากลุ่มนี้เริ่มออกฤทธิ์ภายใน 30 นาที หลังฉีดเข้าใต้ผิวหนัง และฤทธิ์คงอยู่ได้นาน
        
        อินซูลินชนิดออกฤทธิ์ปานกลางได้แก่ เอ็นพีเอช (NPH) เลนเท (lente) ยากลุ่มนี้เริ่มออก ฤทธิ์ภายใน 1-2/ ชั่วโมง หลังฉีดเข้าใต้ผิวหนัง และออกฤทธิ์อยู่นาน 18-24 ชั่วโมง
        
        อินซูลินชนิดออกฤทธิ์ออกฤทธิ์ยาว ได้แก่ อินซูลินกลาร์จีน (insulin glarine) ยากลุ่มนี้เริ่มออกฤทธิ์ภายใน 2-5 ชั่วโมงหลังฉีดเข้าใต้ผิวหนังและออกฤทธิ์อยู่นาน 20-24 ชั่วโมง
        
        อินซูลินชนิดผสม ได้แก่ ฮิวมูลิน 70/30 ( Humulin 70/30) เป็นการนำอินซูลินที่มีระยะเวลาการออกฤทธิ์ต่างกันมาผสมในขวดเดียวกัน ทำให้ยาเริ่มออกฤทธิ์ได้เร็ว(ภายใน 10-30นาที) และออกฤทธิ์
        คงอยู่นาน 24 ชั่วโมง การฉีดยากลุ่มนี้ต้องระวังการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำช่วง 6-8 ชั่งโมงหลังฉีดยา