Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
B.13 นางสาวณัฐณิชา สุรินทร์ G3P1011 - Coggle Diagram
B.13 นางสาวณัฐณิชา สุรินทร์
G3P1011
PPROM
พยาธิสภาพ
กลไกเกี่ยวกับการสร้าง Prostaglandin (พลอสตาแกลนดิน) การคลอดครบกำหนดเชื่อว่าอาศัย
ปฏิกิริยาของน้ำคร่ำ และ Chorionic Phospholipase A2 ซึ่งจะ Hydrolyzes Phospoholipid ในเนื้อเยื่อรกทำให้เกิด Free Arachidonic a มากขึ้นและมีการสังเคราะห์ Prostaglandin ทำให้มดลูกหดรัดตัวการสร้าง Prostaglandin ที่ชักนำให้เกิดถุงน้ำคร่ำแตกก่อนการเจ็บครรภ์
กลไกเกี่ยวกับสารคอลลาเจน เยื่อหุ้มเด็กระหว่างด้าน Amion และ Chorion จะมีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันบรรจุอยู่ ซึ่งในไตรมาส 3 ของการตั้งครรภ์ ด้าน Amnion มีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่เป็นคอลลาเจนชนิดที่ 3 น้อยลง คือหนาประมาณ 0.05 - 0.11 มิลลิเมตร ดังนั้นแรงต้านการยืดตัวของเยื่อหุ้มเด็กจะลดลงเมื่ออายุครรภ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คอลลาเจนที่ 3 ของด้าน Chorion จะลดลงเรื่อยๆ เช่นกัน
กลไกของระบบ Antimicrobil เมื่อมีการติดเชื้อเกิดขึ้นเม็ดเลือดขาวชนิด Macrophage ของเยื่อ Amnion Chorion จะออกมาจับกินเชื้อแบคทีเรียมากจะทำให้เกิดการไฮโดรไลต์ของโปรตีนในเนื้อเยื่อหุ้มเด็ก ถูกไฮโดรไลต์โปรตีนออกไปมากขึ้น ทำให้ผนังเยื่อหุ้มเด็กอ่อนแอลงเกิดการแตกรั่วในที่สุด
สาเหตุ/ปัจจัย
ผลกระทบด้านแม่
ผลกระทบด้านลูก
การติดเชื้อจากถุงน้ำคร่ำแตก
เป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะตั้งแต่ 6 ชั่วโมงขึ้นไปมีโอกาสสูง
การเกิดภาวะการหายใจล้มเหลว (Respiratory Distress Syndrome : RDS)
ถ้าอายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์
เกิดภาวะขาดออกซิเจน (fetal distress)
จากภาวะน้ำคร่ำมีน้อยทำให้สายสะดือถูกกด
ภาวะ
Oligohydramnios
อาจส่งผลให้ทารกเจริญเติบโตช้า (IUGR) หรือพิการจากการถูกบีบรัดของถุงน้ำคร่ำชั้น Chorion ขณะที่ชั้น amnion ฉีกขาด
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ทารกมีภาวะ Fetal distress เนื่องจากเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสายสะดือถูกกด
ทารกเกิดภาวะ Fetal distress เนื่องจากน้ำคร่ำมีน้อย ค่า AFI 4.0 (Oligohydramnios)
การติดเชื้อในมารดา พบได้ประมาณ 1 ใน 3 ของมารดาที่มีภาวะนี้จะเกิดภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว เช่น
การติดเชื้อในโพรงมดลูก หรือถุงน้ำคร่ำ
การคลอดก่อนกำหนด
ทั้งนี้เนื่องจากการอักเสบของถุงน้ำคร่ำ หรือการแตกส่งผลให้มีการหลั่ง Prostaglandin ออกมาและมักเกิดการคลอดภายใน 1 สัปดาห์หลังจากน้ำเดิน
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากภาวะถุงน้ำแตกก่อนเจ็บครรภ์คลอด ได้แก่ ภาวะ Chorioamnionitis
การพยาบาล
ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะ Chorioamnionitis ได้แก่ มีไข้ >38c heart rate > 100bpm Fetal heart rate > 160bpm กดเจ็บบริเวณมดลูก น้ำคร่ำมีกลิ่นเหม็น ขุ่น เป็นหนอง
ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะ Prolapsed cord ได้แก่ หัวใจทารกเต้นช้า เช่น severe bradycardia, prolonged deceleration, variable deceleration โดยมักเกิดขึ้นแบบฉับพลันหลังถุงน้ำคร่ำแตก คลำพบสายสะดือจากการตรวจภายใน หรือเห็นสายสะดือโผล่พ้นปากช่องคลอด
1 more item...
คอมดลูกที่ไร้สมรรถภาพ (Incompetent cervix)
คอมดลูกมีการอักเสบติดเชื้อ
ถุงน้ำอักเสบ
รกเกาะตำ
ทารกมีความพิการ/มีส่วนนำที่ผิดปกติ
มดลูกที่มีการหดตัวมากผิดปกติในแฝดเด็กหรือแฝดน้ำ
เคยมีประวิติการคลอดก่อนกำหนดในครรภ์ก่อน
มดลูกได้รับการกระทบกระเทือน
แท้งหลาย ๆ ครั้ง
รกลอกตัวก่อนกำหนด
การอักเสบของช่องคลอด
สูบบุหรี่ และดื่มเหล้าเป็นประจำ
จากการซักประวัติและการตรวจ มารดารายนี้มีสาเหตุจาก
ภาวะรกเกาะต่ำ Placentra previa marginalis
มีประวัติแท้งลูก 1 คน ได้รับการขูดมดลูก G3P1011
มารดาให้ประวัติว่า ดื่มแอลกอฮอร์เป็นประจำ วันละ 1 ขวด
ความหมาย
ภาวะที่ถุงน้ำแตกหรือรั่วก่อนเข้าสู่ระยะเจ็บครรภ์ โดยการเกิดถุงน้ำแตกก่อนการเจ็บครรภ์ที่
อายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์ เรียกว่า Preterm premature rupture of membrane
มารดา G3P1011 GA 35 WK มาด้วยอาการมีน้ำสีใสไหลออกทางช่องคลอด ไหลซึมตลอด กลั้นไม่ได้
การรักษา
PPROM ต่ำกว่า 24 สัปดาห์
พิจารณาเป็นราย ๆ ไป อาจเลือกยุติการตั้งครรภ์
PPROM 24-34 สัปดาห์
ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ รับไว้ในโรงพยาบาล เฝ้าสังเกต (expectant)
ประเมินน้ำคร่ำ ประเมินสุขภาพทารก (NST หรือ BPP สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง)
คอร์ติโคสเตียรอยด์ 1 คอร์ส แต่สำหรับกรณี 32-34 สัปดาห์อาจทดสอบการเจริญของปอดทารกถ้าเจริญดีแล้วไม่จำเป็นต้องให้คอร์ติโคสเตียรอยด์
ยาปฏิชีวนะ ampicillin (2 กรัม IV ทุก 6 ชม.) ใน 48 ชั่วโมงแรก และตามด้วย การรับประทาน amoxicillin (500 มก. วันละ 3 ครั้ง) อีกเป็นเวลา 5 วัน
ระวังการติดเชื้ออย่างใกล้ชิด (fetal tachycardia มีไข้ น้ำคร่ำมีกลิ่น มดลูกกดเจ็บ
หลีกเลี่ยงการตรวจภายใน
ยับยั้งการเจ็บครรภ์คลอดอาจพิจารณาเฉพาะในกรณีมีการเจ็บครรภ์คลอด เพื่อหวังให้คอร์ติโคสเตียรอยด์และยาปฏิชีวนะ
พิจารณาให้คลอดทันทีถ้ามีการติดเชื้อ รกลอกตัวก่อนกำหนด fetal distress หรือทดสอบ lung maturity ให้ผลบวกแล้ว
PPROM 34-36 สัปดาห์
อาจพิจารณาส่งเสริมให้ยุติการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะกรณีที่ไม่แน่ใจการติดเชื้อ
พิจารณาเหมือนอายุครรภ์ 24-34 สัปดาห์ แต่ไม่ให้คอร์ติโคสเตียรอยด์ โดยเฉพาะกรณีที่ NICU มีขีดจำกัดของความพร้อม เช่น ตู้อบไม่พอเป็นต้น
Term PROM
แนะนำให้ชักนำการคลอด ถ้าปากมดลูกพร้อมให้ oxytocin
ทางเลือกรอง เฝ้ารอการเจ็บครรภ์คลอดเองภายใน 24 ชั่วโมง ถ้าไม่เจ็บครรภ์เองให้ชักนำการคลอด
การวินิจฉัย
การซักประวัติจะพบว่ามีน้ำไหลออกทางช่องคลอดช้า ๆ หรือไหลออกมาเรื่อย ๆ
การตรวจร่างกาย
การตรวจดูบริเวณปากช่องคลอด ลักษณะการเปียก สีน้ำคร่ำ
การตรวจ Posterior fornix โดยใช้ speculum exam ให้ผู้คลอดเบ่งหรือไอ (Couhg test) หรือกดยอดมดลูก จะพบน้ำคร่ำออกจากปากมดลูก
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
Nitrazine test
การทดสอบความเป็นกรดด่างของน้ำในช่องคลอดด้วยกระดาษ nitrazine ปกติน้ำในช่องคลอดของหญิงตั้งครรภ์จะกรดมีค่าอยู่ระหว่าง 4.5-6.0 จะไม่เปลี่ยนสีของกระดาษสีเหลือง แต่ถ้าน้ำคร่ำเป็นด่างมีค่า 7.0-7.5 จะเปลี่ยนกระดาษเป็นสีน้ำเงิน
Arborization (fern test)
การตรวจดูผลึก (crytallization) ของเกลือโซเดียมคลอดไรด์ที่อยู่ในน้ำคร่ำซึ่งจะตกผลึกเป็นรูปร่างคล้ายใบเฟิร์นให้เห็นจากการดูด้วยกล้องจุลทัศน์ โดยใช้น้ำที่เก็บมาจากช่องคลอดมาป้ายบนสไลด์แล้วปล่อยให้แห้ง
Nile blue sulfate test
นำน้ำที่ขังในแอ่งหลังของช่องคลอด 1 หยดผสมกับ
0.1% Nile Blue Sulfate 1 หยดบนสไลด์ อ่านผลใน 5 นาที ดูด้วยกล้องจุลทรรศน์จะพบเซลล์ไขมันมาจาก Sebaceous Gland ของทารกจะติดสีแดงไม่มี Nucleus ส่วนเซลล์อื่น ๆ เช่น เซลล์ผนังช่องคลอด เม็ดเลือด จะติดสีน้ำเงิน วิธีนี้ไม่มีผลบวกลวงแต่อาจมีผลลบลวงได้ถ้าตั้งครรภ์น้อยกว่า 32-34 สัปดาห์
Hepatitis B virus
พยาธิสภาพ
เมื่อไวรัสตับอักเสบบีเข้าสู่ร่างกายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะกำจัดเชื้อและหายไปเอง ใช้ระยะเวลา 6 เดือน ร่างกายจะมีภูมิต้านทานแต่บางคนร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อได้ เชื้อจะอยู่ในกระแสเลือดโดยไม่มีอาการ เรียก ว่า พาหะ หากเชื้อทำลายเซลล์ตับไปเรื่อยๆ จะทำให้เกิดภาวะตับอักเสบ เซลล์ตับถูกทำลายจนกลายเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับได้
การติดต่อ
การมีเพศสัมพันธ์ การใช้เครื่องมือแพทย์ที่ปนเปื้อนไวรัส รอยแผล และจากน้ำคร่ำมารดาสู่ทารก
ผลกระทบต่อมารดา
หากไม่มีอาการแสดงของตับอักเสบจะไม่ เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนในขณะ ตั้งครรภ์เพิ่มขึ้น หากมีการติดเชื้อในโตรมาส 3 อาจเสี่ยงที่จะเกิดภาวะคลอดก่อนกำหนดได้
แนวทางการป้องกันและการรักษา
1.แนวทางการป้องกันโดยตรวจคัดกรองสตรีตั้งครรภ์ทุกราย โดยการ ตรวจ HBsAg เมื่อมาฝากครรภ์ครั้งแรก และเมื่อเข้าไตรมาส 3 หากพบว่า มีผล HBSAg positive ให้ตรวจหา HBeAg เพื่อประเมินความเสี่ยงในการแพร่เชื้อและ ตรวจหาค่าเอนไซม์ตับ เช่น ALT, Creatinine เพื่อประเมินตับอักเสบ
2.แนวทางการรักษาในกรณีที่วินิจฉัยว่าเป็นไวรัสตับอักเสบบี
-กรณี มีผล HBsAg positive และมี HBeAg เป็นบวก ให้รักษาด้วยยา Tenofovir Disoproxil Fumarate (TOF) จนถึง 4 สัปดาห์หลังคลอด เพื่อลดการติดเชื้อในทารกแรกเกิด
-กรณีมีผล HBsAg positive และมี HBeAg เป็นลบและเอนไซม์ตับปกติไม่จำเป็นต้องรักษา
-หลีกเลี่ยงการทำหัตถการแก่ทารกในครรภ์ เช่น การเจาะถุงน้ำคร่ำ
-พิจารณาให้คลอดทางช่องคลอดเพราะอัตราการแพร์เชื้อไรัสจากมารดาสู่การกไม่แตกต่างกัน ระหว่างการคลอดทางช่องคลอดและผ่าตัดคลอด
-ฉีด hepatitis B immunoglobulin (HBIG) แก่ทารกภายใน 12 ชั่วโมงหลังคลอด แต่ไม่เกิน 7 วันหลังคลอด ร่วมกับฉีดวัคซีน HB vaccine (HBV) ภายใน24 ชั่วิโมง และอีก1ครั้งเมื่อครบ 1 เดือน จากนั้นฉีดวัคซีนรวมที่มีวัคซีนตับอักเสบบีร่วม (OTP-HB vaccine) เมื่ออายุครบ 2, 4 และ 6 เดือนหลังคลอด
-สามารถเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องรอ ให้ทารกได้รับวัคซีนก่อน เนื่องจากอัตราการถ่ายทอดเชื้อจากมารดาสู่ทารกไม่มีความต่างจาก ทารกที่ได้รับการฉีดวัคซีนก่อน
-รับประทานอาหารอ่อนย่อยง่าย หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง
ระยะของการแพร่เชื้อ
ระยะแรกเมื่อได้รับเชื้อ
เชื้อเข้าสู่ร่างกายและแบ่งตัวแต่ไม่แสดงอาการตรวจ HBeAg+
ระยะที่ 2 ประมาณ 2-3 เดือนหลังจากได้รับเชื้อ
แสดงอาการเริ่มรู้สึกอ่อนเพลีย คล้ายอาการหวัด คลื่นไส้ อาเจียน จุกแน่นใต้ชายโครงจากตับโต ปัสสาวะสีเข้ม ตัวตาเหลือง
ตรวจ anti-HBe + และค่า Viral load ลดลงจากเดิม
ระยะที่ 3 ระยะที่ anti-Hbe ทำลาย HBeAg
ระยะนี้อาการตับอักเสบดีขึ้น ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันและเข้าสู่ระยะโรคสงบ ตรวจเลือดพบ HBeAg ให้ผล - anti-HBe + ค่าเอนไซม์ตับปกติ
ระยะที่ 4 re-activation phase
ระยะกำเริบ HBeAg - anti-HBe + กลายเป็นตับแข็งและกลายเป็นมะเร็งตับ
อาการและอาการแสดง
-เชื้อฟักตัว 50-150 วัน ไม่มีอาการแสดงในระยะแรก
-อาการจะเริ่มจากมีไข้ต่ำๆ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
ปวดท้อง ปวดชายโครงขวา คลำพบตับโต กดเจ็บ ปัสสาวะมีสีชาเข้ม มีตาเหลืองตัวเหลือง ส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติภายใน 2-4 สัปดาห์ หรือ พัฒนาเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง ภาวะตับวาย มะเร็งตับ
ผลกระทบต่อทารก
-ระหว่างคลอดหรือหลังคลอด เช่น การกลืนกิน สำลัก
น้ำคร่ำ หรือเชื้อผ่านทางผิวหนังที่ถลอก และเยื่อบุต่างๆ
-ผ่านทางน้ำนมของมารดาแต่มีปริมาณน้อย หากหัวนม
มารดาแตกเป็นแผลและให้ทารกดูดนมทารกจะติดเชื้อได้
-หากสตรีตั้งครรภ์มีผล HBeAg เป็นบวก จะมีโอกาสการถ่ายทอดเชื้อไวรัสไปสู่ทารกได้ถึงร้อยละ 90
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบีเคยมีอาการของโรคตับอักเสบบี หรือเคยสัมผัสใกล้ชิดกับคนที่เป็นไวรัสตับอักเสบบี
การตรวจร่างกาย
คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ตับโต ตัวเหลือง ตาเหลือง
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ตรวจเลือดดูการทำงานของตับ ตรวจดู antigenและ antibody ของไวรัส
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงต่อการติดเชื้อจากมารดาสู่ทารกจากพยาธิสภาพของโรค
Hepatitis B virus
การพยาบาล
1.หลีกเลี่ยงการเจาะถุงน้ำคร่ำในระยะแรกของการเจ็บครรภ์ ควรรอให้ถุงน้ำ คร่ำ แตกเองในช่วงใกล้คลอด แต่หากปริมาณ Viral load < 20 แพทย์อาจพิจารณาเจาะถุงน้ำคร่ำเพื่อชักนำการคลอดก่อนเจาะ ขณะเจาะ หลังเจาะถุงน้ำคร่ำควรฟังอัตราการเต้นของหัวใจทารก
2.ดูแลให้ได้รับยา TDF 300 mg วันละ 1 ครั้ง ต่อเนื่องไปจนถึง 4 สัปดาห์หลังคลอด
3.ให้คำแนะนำปฏิบัติตามหลักการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ ได้แก่ การล้างมือ การใส่เครื่องป้องกันต่างๆ เช่น ถุงมือ ผ้าปิดปากและจมูก และเมื่อเข้าห้องน้ำควรล้างอวัยวะสืบพันธ์ให้สะอาดหมดจด
4.เมื่อศรีษะทารกคลอดดูดสารคัดหลั่งและเลือดออกจากปาก จมูกทารกเพื่อลดการติดเชื้อ
5.ทำความสะอาดทารกแรกเกิดทันทีเพื่อลดการติดเชื้อโดยการอาบน้ำหรือเช็ดตัวด้วยผ้าเปียก
6.ดูแลให้ทารกได้รับภูมิคุ้มกันภายหลังคลอดโดยการฉีด HBIG ภายใน 12 ชั่วโมงและ HB vaccine ภายใน 24 ชั่วโมง
ผลทางห้องปฏิบัติการ
วันที่ 10/12/66
HBs-Ag Reactive
HBe-Ag Non-reactive
วันที่ 26/12/66
HBs-Ag Non-reactive
Preterm labor
อาการเเละอาการเเสดง
สตรีตั้งครรภ์จะมีอาการหดรัดตัวของมดลูกเป็นพักๆ อย่างสม่ำเสมอ ร่วมกับมีการเปลี่ยนแปลงของปากมดลูก อาจจะมีอาการเจ็บครรภ์ร่วมด้วย หรือมีอาการคล้ายการปวดประจำเดือน ปวดหลังส่วนล่าง ปวดบั้นเอว ปวดถ่วงในช่องคลอด ผีเย็บและทวารหนัก อาจมีการถ่ายปัสสาวะบ่อย มีมูกเลือดออก หรือน้ำคร่ำแตกร่วมด้วย
การประเมินเเละการวินิจฉัย
1.การซักประวัติ ได้เเก่ อาการเจ็บครรภ์ถี่ขึ้น การหดรัดตัวของมดลูกสม่ำเสมอ อาการปวดเอว ปวดหลัง ปวดหน่วงลงช่องคลอด หรือมีมูกเลือดร่วมด้วย
การตรวจร่างกายเเละการตรวจครรภ์
คลำดูการหดรัดดตัวของมดลูก
การหดรัดตัวของมดลูกอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 5 - 8 นาที
ตรวจพบอาการเเสดงต่อไปนี้ร่วมด้วย 1 อย่าง
1.ปากมดลูกมีการเปลี่ยนเเปลงชัดเจน
1 more item...
1.การตรวจด้วยคลื่นความถี่สูง
2.เครื่องตรวจการหดรัดตัวของมดลูก
Tocodynamometry
3.การตรวจจ Fetal fibronectin
ผลกระทบของการคลอดก่อนกำหนด
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
1.การตายของทารกเเรกเกิด
2.คลอดอายุครรภ์น้อยกว่า 20 week
ทารกมักเลี้ยงไม่รอด
3.คลอดก่อน 28 - 34 week ทารกมีโรคเเทรกซ้อนทางระบบทางเดินหายใจ ระบบหัวใจเเละหลอดเลือด
ระบบทางเดินอาหาร
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเเละ
จะถูกจำกัดการทำกิจกรรมเเละนอนในโรงพยาบาลเป็นระยะเวลานาน
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะเเทรกซ้อนจากการ
ได้รับยาการหดรัดตัวของมดลูก
การพยาบาลหญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับการยับยั้งการคลอด
ดูแลให้นอนพักบนเตียงตลอดเวลาช่วยเหลือกิจกรรมบนเตียงให้หญิงตั้งครรภ์ได้พักผ่อนมาก ๆ
ดูแลการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำและยาที่ใช้ในการยับยั้งการหดรัดตัวของมดลูกให้ได้ ตามแผนการรักษาของแพทย์ พร้อมทั้งอธิบายถึงสาเหตุของการให้ยาเพื่อยับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก
1 more item...
เเนวทางในการรักษา
กรณีที่มีการหดรัดตัวของมดลูก
1.การดูเเลเเบบประคับประคอง ลดกิจกรรมต่างๆ ให้นอนพัก
2.ดูเเลให้ได้รับยา ได้เเก่ ยายับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก ยากระตุ้นความสมบูรณ์ของปอดทารก เเละยาปฏิชีวนะ
Adalat , dexamethasone 6 mg q 12 hr., Ampicillin 2mg, Amoxicillin 500 mg
ความหมาย
ภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด (Preterm labor:PTL) หมายถึง ภาวะที่สตรีตั้งครรภ์มีการหดรัดตัวของมดลูกที่มีความถี่และแรงมากพอที่จะส่งผลให้ปากมดลูกมีการเปลี่ยนแปลง อาจทำให้เกิดการบางตัว หรือการเปิดขยาย หรือทั้งสองอย่าง โดยมักจะเกิดก่อนอายุครรภ์จะครบ 37 สัปดาห์ โดยมีการหดรัดตัวของมดลูก 4 ครั้งใน 20 นาทีหรือ 8 ครั้งใน 60 นาที มีการบางตัวของปากมดลูกอย่างน้อยร้อยละ 80 และปากมดลูกต้องเปิดอย่างน้อย 1 เซนติเมตร
สาเหตุเเละปัจจัยส่งเสริม
ถุงน้ำคร่าเเตกก่อนกำหนด
2.การติดเชื้อของน้ำคร่ำจากถุงน้ำเเตกก่อนกำหนด
3.ความผิดปกติของรกหรือทารก
4.ภาวะที่เลือดไปเลี้ยงมดลูกหรือรกไม่เพียงพอ
เช่น มีภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์มีการใช้สารเสพติด สูบบุหรี่ ดื่มเเอลกอฮอร์
5.มดลูกขยายโตกว่าปกติ
6.สตรีตั้งครรภ์มีการอักเสบติดเชื้อ
7.เนื้อเยื่อปากมดลูกอ่อนนุ่มผิดปกติ
1 more item...
Placenta Previa
ความหมาย
ภาวะที่รกเกาะต่ำกว่าปกติ โดยเกาะลงมาถึงบริเวณส่วนล่างของผนังมดลูก (lower uterine segment) ซึ่งรกจะเกาะใกล้หรือแผ่คลุม internal os เพียงบางส่วนหรือทั้งหมด
case
มารดา G3P1011 GA 35 WK มาด้วยอาการมีน้ำไหลออกทางช่องคลอด ลักษณะสีแดงจาง ชุ่ม 3 pad
U/S พบว่า Marginal placenta previa
อาการและอาการแสดง
เลือดออกทางช่องคลอดโดยไม่เจ็บ (painless bleeding)
มักจะไม่เจ็บครรภ์ หน้าท้องนุ่มไม่แข็งตึง คลำทารกได้
ส่วนนำของทารกไม่เข้าสู่อุ้งเชิงกราน และ ทารกอยู่ในท่าผิดปกติ เช่น ท่าก้น ท่าขวาง หรือถ้าเป็นท่าศีรษะ
ฟังเสียงหัวใจทารกได้ และมีอัตราอยู่ในเกณฑ์ปกติ
Case
อาการมีน้ำไหลออกทางช่องคลอด ลักษณะสีแดงจาง ชุ่ม 3 pad
ชนิดของรกเกาะต่ำแบ่งได้ 4 ชนิด
1. Low - lying placenta previa
หมายถึง รกเกาะต่ำที่ขอบรกยังไม่ถึง internal os (2 cm วัดจากอัลตราซาวด์) รกที่ฝังตัวบริเวณ lower uterine segment อาจเรียกว่า lateral placenta previa
2. Marginal placenta previa
หมายถึง รกเกาะต่ำชนิดที่ขอบรกเกาะที่ขอบของ internal os พอดี
3. Partial placenta previa
หมายถึง รกเกาะต่ำชนิดที่ขอบรกเกาะที่ขอบรกคลุมปิด internal os เพียงบางส่วน
4. Total placenta previa
หมายถึงรกเกาะต่ำที่ขอบรกคลุมปิดinternal os ทั้งหมด
case
Marginal placenta previa
พยาธิสภาพ
การฝังตัวที่ปกติของรกจะอยู่บริเวณส่วนบนของมดลูก (upper uterine segment)
โดยรกมีโครงสร้างของหลอดเลือดที่เชื่อมระหว่างมดลูกของสตรีตั้งครรภ์และทารก
การยืดขยายหรือการดึงรั้งของโครงสร้างดังกล่าวอาจนำไปสู่การลอกตัวของขอบรกและการฉีกขาดของหลอดเลือดและมีเลือดออก
การที่รกเกาะบริเวณส่วนล่างของมดลูก ซึ่งเป็นบริเวณที่เลือดมาเลี้ยงน้อยกว่ายอดมดลูก ทำให้รกแผ่กว้างปกติ เพื่อให้ทารกได้รับสารอาหาร
เมื่อเกิด contraction ซึ่งทำให้ผนังมดลูกส่วนล่างถูกดุงให้ยืดขยายออก แต่ส่วนของรกไม่ยืดขยายตาม เกิดการฉีดขาดของ Deciduae และหลอดเลือด
เลือดออกทางช่องคลอด
สาเหตุ
ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของภาวะรกเกาะต่ำ แต่พบปัจจัยให้เกิด ดังนี้
อายุ ในกลุ่มสตรีตั้งครรภ์ที่มีอายุเกิน 35 ปี
จำนวนครั้งของการคลอด (parity) จำนวนครั้งยิ่งมากยิ่งมีโอกาสพบรกเกาะต่ำได้มากขึ้น
ปัจจัยที่ทำให้หล่อเลี้ยงรกเสียไป ซึ่งการที่เลือดมาเลี้ยงรกน้อยลงจะทำให้รกแผ่กว้างลงมายังผนังมดลูกส่วนล่าง ปัจจัยเหล่านี้ได้แก่
3.1 จากการอักเสบติดเชื้อ
3.2 มีแผลบาดเจ็บหรือเป็นแผลเป็นจากการขูดมดลูก การผ่าตัดที่ตัวมดลูก ผ่าตัดเอาเนื้องอกมดลูกออก เป็นต้น
3.3 การสูบบุหรี่มาก ๆ (มากกว่า 20 มวนต่อวัน) จะเพิ่มอุบัติการณ์เป็นสองเท่า เป็นผลมาจากภาวะพร่องออกซิเจนจากการได้รับแก๊สคาร์บอนมอนนอกไซด์ จึงกระตุ้นให้มีการขยายขนาดของรกและทำให้รกโตมากกว่าปกติ เพื่อชดเชยภาวะเลือดมีออกซิเจนน้อย
การผ่าท้องทำคลอดในครรภ์ก่อน เช่น มีโอกาสเป็นรกเกาะต่ำในครรภ์ต่อมาถึงร้อยละ 4 ถ้าเคยผ่าตัดทำคลอดมาก 4 ครั้งหรือมากกว่าจะมีอุบัติการณ์ของรกเกาะต่ำสูง
รกแผ่กว้างผิดปกติ เช่น รกขนาดใหญ่ของจากการฝังตัวที่ผิดปกติ รกขนาดใหญ่ หรือมีหลายอันของการตั้งครรภ์แฝดหรือรกแผ่กว้างแบบ placenta membranacea เหล่านี้ย่อมมีโอกาสแผ่กว้างลงมายังผนังมดลูกส่วนล่างได้
case
หญิงตั้งครรภ์รายนี้ อายุ 36 ปี G3P1011 GA 35 WK มีประวัติแท้งลูก 1 คน ได้รับการขูดมดลูก
ผลกระทบ
มารดา
การเสียเลือดมากในระยะตั้งครรภ์ ระยะคลอด และหลังคลอด อาจทำให้เกิดภาวะซีด อ่อนเพลีย มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย และในกรณีที่เสียเลือดมากอาจเกิดภาวะช็อก การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ และเสียชีวิตต่อมา
ภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด และคลอดก่อนกำหนด เนื่องจากสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะรกเกาะต่ำ อาจเกิดภาวะมดลูกหดรัดตัวตามมา
ในระยะหลังคลอดอาจเกิดภาวะตกเลือดหลังคลอดจากการหดรัดตัวไม่ดี
ทารกในครรภ์
การสูญเสียเลือดปริมาณมากหรือเรื้อรัง
ทารกในครรภ์ได้รับสารอาหารและออกซิเจนไม่เพียงพอ
กิดภาวะพร่องออกซิเจน น้ำหนักน้อยกว่าอายุครรภ์ หรือการเจริญเติบโตช้าในครรภ์ และอาจเกิดภาวะคลอดก่อนกำหนด
ข้อวินิจฉัยทางกการพยาบาล
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ Hypovolemic shock เนื่องจากสูญเสียเลือดออกทางช่องคลอด จากการมีรกเกาะต่ำ
การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพและปริมาณเลือดที่ออกทางช่องคลอด
แนะนำให้ใส่ผ้าอนามัยเพื่อสังเกตปริมาณเลือดที่ออกทางช่องคลอด
งดตรวจทางช่องคลอด และทางทวารหนัก เนื่องจากเป็นการกระตุ้นให้รกมีการฉีกขากมากขึ้น มีเลือดออกทางช่องคลอดมากขึ้น เกิดอันตรายต่อสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ รวมถึงงดสวนล้างช่องคลอดด้วย งดใช้ยาระบาย หรืองดการสวนอุจจาระ
ปริมาณเลือดที่ออกทางประเมินเสียงหัวใจทารกในครรภ์อย่างสม่ำเสมอทุก 1 ชั่วโมง หรือตามปริมาณเลือดที่ออกทาง
absolute bed rest
เสี่ยงต่อเกิดภาวะ Fetal distress เนื่องจากมารดามีเลือดออกทางช่องคลอด จากการมีรกเกาะต่ำ
การพยาบาล
ประเมินทารกในครรภ์ด้วยการ Monitor EFM 20 นาที หากผล EFM เป็น Category II, III ให้ดูแลตามหลัก Intrauterine resuscitation ดังนี้
1.1 จัดให้หญิงตั้งครรภ์นอนตะแคงซ้ายนี้
1.2 ให้ O2 cannula 3-5 LPM
1.3 ให้สารน้ำทางหลอดเลือด
แนะนำหญิงตั้งครรภ์นับลูกดิ้น
ดูแลจัดสิ่งแวดล้อมให้หญิงตั้งครรภ์ได้นอนพักบนเตียง
มีความวิตกกังวล เนื่องจากขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ Placenta Previa
การพยาบาล
อธิบายให้สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเข้าใจถึงภาวะรกเกาะต่ำ และแนวทางการรักษา
เปิดโอกาสให้หญิงตั้งครรภ์ได้พูดความรู้สึกหรือ
ซักถามสิ่งที่สงสัยและให้กําลังใจ
absolute bed rest
Anemia
ความหมาย
ภาวะที่เกิดจากร่างกายมีเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าคนทั่วไป
ผลกระทบต่อมารดา
มีอาการอ่อนเพลีย การทำงานหัวใจหนักขึ้น เสี่ยงเกิด heart failure มีโอกาสติดเชื้อง่ายขึ้น เกิดภาวะHypovolemic Shockจากการคลอดได้
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ Hypovolemic shock เนื่องจากสูญเสียเลือดออก จากการมีรกเกาะต่ำ
1.ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะช็อก เช่น ซึม อ่อนเพลีย BPต่ำ เหงื่อออกมาก ปัสสาวะออกน้อย
2.ดูแลให้ผู้ป่วยพักผ่อนให้เพียงพอ
3.แนะนำการเปลี่ยนท่าอย่างช้าๆ
1 more item...
ผลกระทบต่อทารก
มีน้ำหนักน้อยกว่าปกติ เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ Fetal non-reassuring
อาการและอาการแสดง
เนื่องจากเม็ดเลือดแดงมีหน้าที่ส่งออกซิเจนไปให้เซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ การที่เม็ดเลือดแดงน้อยนั้นส่งผลให้ เกิดความผิดปกติต่างๆ เช่น เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
สาเหตุ
1.ขาดสารอาการ เช่น ธาตุเหล็ด โฟเลต หรือ วิตามิน12
2.การเสียเลือดออกจากร่างกาย
หญิงตั้งครรภ์มีภาวะเลือดออกก่อนการคลอดเนื่องจาก มีรกเกาะต่ำ
3.โรคเรื้อรัง
4.มีความผิดปกติของฮีโมโกบิน
การวินิจฉัย
1.การซักประวัติ
2.การตรวจร่างกาย
3.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ผลแลป
Hb: 9.6 g/dL Hct:30.7% MCV: 86.3FL