Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคฉี่หนู(Leptospirosis) - Coggle Diagram
โรคฉี่หนู(Leptospirosis)
พยาธิสรีรวิทยา
เมื่อเชื้อ leptospires เข้าสู่ทางผิวหนังหรือเยื่อบุที่มีแผล เชื้อจะเข้าสู่กระแสเลือดภายใน 24 ชั่วโมง และการกระจายไปตามอวัยวะต่าง ๆ เนื่องจากเชื้อสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วจึงไม่มีการอักเสบที่ ตำแหน่งทางเข้าของเชื้อ เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะอยู่ในสภาวะแวดล้อมต่างจากภายนอกมาก อาทิเช่น ความเข้มข้นของเกลือ ความดันออสโมติก และอุณหภูมิร่างกายที่สูงกว่า ทำให้เชื้อ leptospires ซึ่งไม่ก่อโรค ไม่สามารถเจริญและแบ่งตัวได้ นอกจากนั้นการศึกษาในหลอดทดลองพบว่า เม็ดเลือดขาวและสารบางอย่าง ในน้ำเหลืองของคนปรกติสามารถทำลายเชื้อ leptospires ที่ไม่ก่อโรคได้ด้วย ส่วนเชื้อซึ่งก่อโรคได้สามารถ ปรับตัวเจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนจนก่อให้เกิดพยาธิสภาพในอวัยะต่างๆได้ในคนที่ไม่เคยมีภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้มาก่อน
อาการ
-
ระยะที่สอง (immune phase) ผู้ป่วยจะเริ่มสร้าง anti-leptospira antibodies (โปรตีนที่เฉพาะต่อเชื้อโรคฉี่หนู)โดยพบหลังจากเริ่มมีอาการไข้ประมาณ 1 สัปดาห์โดยจะมีช่วงที่ไข้ลงประมาณ 1 – 2 วันแล้วกลับมีไข้ขึ้นอีกในระยะนี้ผู้ป่วยมักมีอาการ
-
-
-
-
หน้าที่ของตับและไตผิดปกติระยะนี้อาจกินเวลาได้นาน ถึง 30 วัน แต่อาการนี้ไม่ได้เกิดในผู้ป่วยทุกราย ผู้ป่วยอาจแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มที่มีตาเหลืองและกลุ่มที่ไม่มีตาเหลือง
การวินิจฉัยโรค
เริ่มแรกแพทย์จะตรวจร่างกายเบื้องต้นและซักถามประวัติผู้ป่วย เช่น เพิ่งกลับมาจากการเดินทาง เล่นกีฬาทางน้ำ มีการสัมผัสกับแหล่งน้ำจืด มีอาชีพที่ต้องทำงานกับสัตว์ หรือเคยพักหรืออาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคฉี่หนูหรือไม่
หากแพทย์พิจารณาแล้วว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นการติดเชื้อจากโรคฉี่หนู แพทย์อาจส่งตรวจเลือดหรือตรวจปัสสาวะเพื่อผลการวินิจฉัยที่แน่ชัด ส่วนกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการของโรคชนิดรุนแรง อาจต้องใช้การวินิจฉัยวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น การเอกซเรย์ทรวงอก การตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของตับและไตเพิ่มเติม
สาเหตุ
เกิดจากการสัมผัสเชื้อโรคฉี่หนูในปัสสาวะของสัตว์ที่ปนเปื้อนอยู่ในพื้นที่ชื้นแฉะหรือมีน้ำขัง โดยเชื้อโรคดังกล่าวจะอาศัยอยู่ในหนู วัว ม้า หมู สุนัข โดยเข้าร่างกายได้ทางบาดแผลที่ผิวหนังหรือเยื่อเมือกต่างๆ เช่น เยื่อบุตา เยื่อบุจมูก ทำให้เกิดการทำลาย ตับ ไต กล้ามเนื้อ ผิวหนัง และหลอดเลือด ทำให้มีเลือดออกเป็นจุดเล็ก ๆ ทั่วไป
การรักษา
ผู้ป่วยโรคฉี่หนูบางคนอาจไม่พบอาการรุนแรงและหายดีได้เอง หรืออาจเพียงรักษาด้วยยาปฏิชีวนะอย่างยาเพนิซิลลิน (Penicillin) หรือดอกซีไซคลิน (Doxycycline) เป็นระยะเวลา 5–7 วัน ซึ่งควรต้องรับประทานตามกำหนดให้ครบถ้วนแม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อให้แน่ใจว่าเชื้อแบคทีเรียถูกกำจัดจนหมด และป้องกันการกลับไปติดเชื้ออีกครั้ง
หรือบางกรณี นอกเหนือจากยาปฏิชีวนะ ผู้ป่วยอาจรับประทานยาแก้ปวดอย่างไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือพาราเซตามอล (Paracetamol) เพื่อลดอาการปวดศีรษะ มีไข้ และปวดกล้ามเนื้อร่วมด้วย
ในขณะที่ผู้ป่วยโรคฉี่หนูแบบรุนแรงจะต้องนอนพักที่โรงพยาบาล และรักษาอาการติดเชื้อด้วยการฉีดยาปฏิชีวนะเข้าไปในกระแสเลือดโดยตรง และหากมีอวัยวะใด ๆ ที่เสียหายจากการติดเชื้อ จนไม่สามารถทำหน้าที่ตามปกติได้ก็อาจจำเป็นต้องใช้เครื่องมือต่าง ๆ เข้าช่วย เช่น เครื่องช่วยหายใจ หรือหากติดเชื้อที่ไต แพทย์ก็อาจต้องใช้การล้างไตเข้าช่วย
ทั้งนี้ ผู้ป่วยบางรายอาจออกจากโรงพยาบาลได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ แต่บางรายอาจต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลาหลายเดือน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะของผู้ป่วย รวมถึงความเสียหายต่ออวัยวะที่ติดเชื้อ
การป้องกัน
หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำหรือการเดินลุยในน้ำที่อาจปนเปื้อนเชื้อปัสสาวะจากสัตว์นำโรค หรือควรสวมใส่รองเท้าบูตป้องกันทุกครั้งหากมีความจำเป็น
หมั่นตรวจแหล่งน้ำและดินทรายที่อาจมีเชื้อปนเปื้อน และควรระบายน้ำตามท่อระบายออก แล้วล้างเพื่อกำจัดน้ำที่ปนเปื้อน
-
ควบคุมและกำจัดหนูตามบริเวณที่อยู่อาศัย สถานที่ทำงาน รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท
-
ปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยงควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคฉี่หนู โดยเลือกฉีดวัคซีนซีโรวาร์ (Serovars) สำหรับป้องกันเชื้อฉี่หนูชนิดที่พบได้บ่อยตามท้องถิ่นนั้น ๆ ทั้งนี้ แม้การฉีดวัคซีนจะสามารถป้องกันโรคฉี่หนู แต่ไม่อาจป้องกันการติดเชื้อหรือแพร่เชื้อทางปัสสาวะได้