Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีไร้สาย - Coggle Diagram
การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีไร้สาย
4G
4G เริ่มนำมาใช้ช่วง พ.ศ. 2553 ถึงปัจจุบัน โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า LTE (Long Term Evolution) ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมา เพื่อตอบสนองความต้องการ QoS (Quality of Service) และการใช้งานที่ต้องการแบนด์วิดท์และความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูง เช่น การส่งข้อความมัลติมีเดีย (MMS) การคุยผ่านวิดีโอ ทีวีบนมือถือ HDTV และการออกอากาศวิดีโอดิจิทัล
คุณสมบัติพื้นฐานและลักษณะทั่วไปของเทคโนโลยีในยุค 4G
1) ความเร็วในการรับส่งข้อมูล 10 Mbps ถึง 1 Gbps
2) รองรับบริการสตรีมมิงวิดีโอความระเอียดสูง
3) ความปลอดภัยสูง
4) ราคาต่อปริมาณข้อมูลต่ำลง
5) โครงข่าย 4G มีความซ้อนซับ
6) สามารถให้บริการต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลายตามความต้องการของผู้ใช้ เนื่องจากสามารถรองรับการใช้งานได้มากขึ้น
1G
คุณสมบัติพื้นฐานและลักษณะทั่วไปของเทคโนโลยีในยุค 1G
1) ความเร็วการรับส่งข้อมูล 2.4 kbps
2) ใช้สัญญาณแอนะล็อก
3) คุณภาพเสียงต่ำ
4) โทรออก-รับสายได้เท่านั้น (เสียงเท่านั้น)
5) อายุแบตเตอรีต่ำ
6) โทรศัพท์มีขนาดใหญ่
7) ปริมาณผู้ใช้งานจำกัด (รองรับผู้ใช้งานพร้อมกันในเวลาเดียวกันได้น้อย)
8) ความน่าเชื่อถือในการทำ handoff ต่ำ
9) ความปลอดภัย (สามารถถูกดักฟังเสียงระหว่างทางได้)
1G นั้นถูกนำมาใช้ในช่วง พ.ศ. 2523 – 2533 ครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น เทคโนโลยี 1G ยังคงใช้งานสัญญาณวิทยุ ในการรับส่งคลื่นเสียงเท่านั้น
3G
3G นั้นถูกนำมาใช้ช่วง พ.ศ. 2543 – 2553 โดยยังอยู่บนพื้นฐานของระบบ GSM ใน 2G แต่เพิ่มความเร็วได้ถึง 14 Mbps หรือมากกว่าโดยใช้เทคนิคแพ็กเก็ตสวิตซ์ชิง นอกจากนี้สิ่งที่เทคโนโลยี 3G ต่างกับ 2G ก็คือ คุณสมบัติการเชื่อมต่อตลอดเวลา (always on) กล่าวคือโทรศัพท์มือถือ 3G จะเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของ 3G ตลอดเวลาที่เปิดใช้งานโทรศัพท์ โดยไม่จำเป็นต้องล็อกอิน (log in) เข้าเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเหมือน 2G โดยค่าบริการอินเทอร์เน็ตจะถูกเรียกเก็บ ก็ต่อเมื่อมีการเรียกใช้ข้อมูลผ่านเครือข่ายเท่านั้น ซึ่งแตกต่างกับระบบ 2G ที่จะเสียค่าบริการตั้งแต่ล็อกอินเข้าในระบบเครือข่ายเทคโนโลยี 3G ใช้เครือข่ายไร้สายแถบกว้าง (wideband) ซึ่งเพิ่มความเร็วในการรับส่งข้อมูล เพื่อรองรับการให้บริการโทรทัศน์และวิดีโอ รวมทั้งบริการ Global Roaming ในทางปฏิบัติเทคโนโลยี 3G ทำงานในช่วง 2100 MHz และมีแบนด์วิดท์ 15 – 20 MHz ที่ใช้สำหรับบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และการคุยผ่านวิดีโอ
คุณสมบัติพื้นฐานและลักษณะทั่วไปของเทคโนโลยีในยุค 3G
1) ความเร็วในการรับส่งข้อมูล 14 Mbps
2) เข้าสู่ยุคของสมาร์ทโฟน
3) รองรับบริการ แอปพลิเคชันบนเว็บ เสียง วิดีโอ และไฟล์ขนาดใหญ่
4) เนื่องจากใช้งานเทคโนโลยีบรอดแบนด์ จึงสามารถรองรับการใช้งานและความจุได้เพิ่มขึ้น
5) อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง / การรักษาความปลอดภัยที่ดีขึ้น / การประชุมทางวิดีโอ / เกม 3D / สตรีมทีวี / โทรทัศน์บนมือถือ (mobile TV) / โทรศัพท์
เทคโนโลยีที่ใช้ในการสื่อสารยุค 3G มีหลายแบบ
UMTS (Universal Mobile Telecommunication System) ใช้ในยุโรป เป็นเทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลในมาตรฐาน 3G ที่ส่งผ่านสัญญาณเครือข่ายแบบ WCDMA มีความเร็วสูงสุดอยู่เพียง 384 kbps
WCDMA (Wideband Code Division Multiple Access) เป็นระบบเครือข่าย 3G มาตรฐานใหม่ที่ใช้วิธีการเข้าถึงแบบ DS-CDMA (direct-sequence code division multiple access) และใช้วิธีการ รวมแบบแบ่งความถี่ (frequency-division duplexing : FDD) เพื่อรองรับบริการที่ต้องการความเร็วสูงและความจุสูง
HSDPA (High-Speed Downlink Packet Access) คือเทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลที่พัฒนามาจากระบบ UMTS โดยสามารถรับส่งข้อมูลได้ความเร็วสูงถึง 14.4 Mbps (downlink) ซึ่งขึ้นอยู่กับโทรศัพท์มือถือและผู้ให้บริการเครือข่าย 3G
HSUPA (High-Speed Uplink Packet Access) คือเทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลที่พัฒนามาจาก UMTS เช่นกัน ซึ่งตอนนี้ความเร็วสูงสุดในในการส่งข้อมูลคือ 5.76 Mbps (Uplink) (Internet ตามบ้านส่วนใหญ่ความเร็วในการส่งข้อมูลจะอยู่ที่ 512 kbps) ไม่ว่าการรับข้อมูลจะเร็วแค่ไหนก็ตาม
HSPA (High-Speed Packet Access) คือการรวม HSDPA และ HSUPA เข้าด้วยกันเรียกรวม ๆ กันว่าเป็น HSPA ทำให้ได้ประสิทธิภาพทั้งรับ-ส่งที่ดีกว่า
HSPA+ ความเร็วสูงสุด 42 Mbps (H+)
5G
4G เริ่มมีการพัฒนามาตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2553 โดยสิ่งที่อาจจะเห็นได้จากเทคโนโลยี 5G ในอนาคต เช่น คุณภาพการเชื่อมต่อและความครอบคลุมที่ดีขึ้น จุดเด่นของ 5G ก็คือ World-Wireless World Wide Web (WWWW) ซึ่งถือว่าเป็นการสื่อสารไร้สายที่สมบูรณ์แบบที่สุด
คุณสมบัติพื้นฐานและลักษณะทั่วไปของเทคโนโลยีในยุค 4G
1) ความจุข้อมูลมากกว่า 1000 เท่าของเครือข่ายที่ใช้ในปัจจุบัน
2) ความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงสุด 10 Gbps
3) ความเร็วในการรับส่งข้อมูล ณ ขอบสัญญาณของเสาส่ง สูงสุด 100 Mbps
4) มีความหน่วงน้อยกว่า 1 ms
5) รองรับการทำงานกับ WWWW หนังสือพิมพ์มัลติมีเดีย ชมรายการทีวีด้วยความคมชัด มัลติมีเดียแบบโต้ตอบ เสียง สตรีมมิงวิดีโอ อินเทอร์เน็ต VR AR และอื่น ๆ
2G
2G นั้นถูกนำมาใช้ช่วง พ.ศ. 2534 – 2543 โดยเปลี่ยนได้ส่งเสียงผ่านกระบวนการแอนะล็อกเป็นดิจิทัล โดยนำคลื่นเสียงมาเข้ารหัสดิจิทัล ก่อนที่จะแปลงสัญญาณดิจิทัลเป็นสัญญาณแอนะล็อกแล้วส่งผ่านคลื่นไมโครเวฟ
ยุค 2G นั้นมีการเชื่อมโยงติดต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จนก่อให้เกิดการกำหนดเส้นทางการเชื่อมกับสถานีฐาน (Base Station) ซึ่งก่อให้เกิดระบบ GSM (Global System for Mobilization) ทำให้พกโทรศัพท์เครื่องเดียวไปใช้งานได้ทุกที่
คุณสมบัติพื้นฐานและลักษณะทั่วไปของเทคโนโลยีในยุค 2G
1) ความเร็วในการรับส่งข้อมูลไม่เกิน 64 kbps
2) ใช้สัญญาณดิจิทัล
3) รองรับบริการ เช่น ข้อความ (SMS) และข้อความมัลติมีเดีย (MMS)
4) เริ่มมีการดาวน์โหลดริงโทน ภาพพื้นหลัง และภาพกราฟฟิกต่าง ๆ แต่ยังคงมีความละเอียดต่ำ
5) ยังไม่สามารถจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น วิดีโอ
6) ต้องการใช้สัญญาณดิจิทัลที่เข้มเพื่อช่วยการทำงานของโทรศัพท์มือถือ โดยถ้าไม่มีเครือข่ายครอบคลุมในพื้นที่เฉพาะสัญญาณดิจิทัลก็จะอ่อนแอ
คุณสมบัติพื้นฐานและลักษณะทั่วไปของเทคโนโลยีในยุค 2.5G
1) สามารถรับส่งอีเมล์ (E-mail) ได้
2) เริ่มมีการเข้าใช้งานอินเตอร์เน็ต
3) ความเร็วในการรับส่งข้อมูล 64 – 144 kbps
4) โทรศัพท์สามารถถ่ายรูปได้
5) สามารถดาวน์โหลดเพลง MP3 ด้วยระยะเวลาประมาณ 6 – 9 นาที