Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีไร้สาย, image, image - Coggle Diagram
การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีไร้สาย
1G
1G นั้นถูกนำมาใช้ในช่วง ค.ศ.1973 – 1983 เทคโนโลยี 1G ยังคงใช้งานสัญญาณวิทยุ (radio signal) ในการรับส่งคลื่นเสียงเท่านั้น 1G มือถือเครื่องแรกของโลกคือ Motorola DynaTAC 8000X ในปี 1973 มาร์ติน คูเปอร์ (Martin Cooper) วิศวกรอาวุโสของ โมโตโรลา (Motorola) โทรไป Bell Lab เพื่อข่มคู่แข่งว่าเขาโทรหาด้วยโทรศัพท์เคลื่อนที่เครื่องนี้ และได้วางจำหน่ายมือถือครั้งแรกในปี 1983 โดยมือถือในยุคนี้จะเป็นระบบอนาล็อก ใช้สัญญาณวิทยุในการส่งคลื่นเสียง ทำได้แค่โทรออก-รับสายเท่านั้น ทำอย่างอื่นไม่ได้ แม้แต่รับ-ส่ง SMS ในยุคนั้นคนที่นิยมใช้มือถือมักจะมีอายุน้อยและฐานะร่ำรวยเสียส่วนใหญ่
คุณสมบัติพื้นฐานและลักษณะทั่วไปของเทคโนโลยีในยุค 1G
1) ความเร็วการรับส่งข้อมูล 2.4 kbps
2) ใช้สัญญาณแอนะล็อก
3) คุณภาพเสียงต่ำ
4) โทรออก-รับสายได้เท่านั้น (เสียงเท่านั้น)
5) อายุแบตเตอรีต่ำ
6) โทรศัพท์มีขนาดใหญ่
7) ปริมาณผู้ใช้งานจำกัด (รองรับผู้ใช้งานพร้อมกันในเวลาเดียวกันได้น้อย)
8) ความน่าเชื่อถือในการทำ handoff ต่ำ
9) ความปลอดภัย (สามารถถูกดักฟังเสียงระหว่างทางได้)
2G
2G นั้นถูกนำมาใช้ช่วง ค.ศ. 1992 - 2000 จากระบบอนาล็อก มือถือก็เปลี่ยนมาเป็นระบบเข้ารหัสดิจิทัล และ Nokia 1011 มือถือรุ่นแรก ๆ ที่มีระบบ GSM (Global System for Mobile) ทำให้ผู้ใช้งานสามารถส่งข้อความ SMS หากันได้ ซึ่งนั่นทำให้มือถือระบบ GSM ขึ้นครองตลาดในปี 1992
คุณสมบัติพื้นฐานและลักษณะทั่วไปของเทคโนโลยีในยุค 2G
1) ความเร็วในการรับส่งข้อมูลไม่เกิน 64 kbps
2) ใช้สัญญาณดิจิทัล
3) รองรับบริการ เช่น ข้อความ (SMS) และข้อความมัลติมีเดีย (MMS)
4) เริ่มมีการดาวน์โหลดริงโทน ภาพพื้นหลัง และภาพกราฟฟิกต่าง ๆ แต่ยังคงมีความละเอียดต่ำ
5) ยังไม่สามารถจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น วิดีโอ
6) ต้องการใช้สัญญาณดิจิทัลที่เข้มเพื่อช่วยการทำงานของโทรศัพท์มือถือ โดยถ้าไม่มีเครือข่ายครอบคลุมในพื้นที่เฉพาะสัญญาณดิจิทัลก็จะอ่อนแอ
2.5G
เพื่อรองรับความต้องการใช้งานของผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น จึงได้มีการพัฒนาเทคโนโลยี 2G ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงได้มาเป็นเทคโนโลยี 2.5G ซึ่งใช้เทคโนโลยี GPRS (General Packet Radio Service) ซึ่งสามารถส่งข้อมูลแบบแพ็คเก็ตได้ ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของโทรศัพท์มือถือให้เหมาะสมกับการใช้งานอินเตอร์เน็ต
คุณสมบัติพื้นฐานและลักษณะทั่วไปของเทคโนโลยีในยุค 2.5G
1) สามารถรับส่งอีเมล์ (E-mail) ได้
2) เริ่มมีการเข้าใช้งานอินเตอร์เน็ต
3) ความเร็วในการรับส่งข้อมูล 64 – 144 kbps
4) โทรศัพท์สามารถถ่ายรูปได้
5) สามารถดาวน์โหลดเพลง MP3 ด้วยระยะเวลาประมาณ 6 – 9 นาที
3G
3G นั้นถูกนำมาใช้ช่วง ค.ศ. 2003 - 2009 ในยุคนี้เรียกได้ว่าเป็นยุคที่ผู้ใช้มือถือสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายที่เร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมาในขณะนั้น มีการพัฒนาประสิทธิภาพของอินเตอร์เน็ตให้ดี เร็ว แรงขึ้น ช่วยให้ใช้งานด้านมัลติมิเดียมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และยังสามารถวิดีโอคอลได้แล้วด้วย ในปี 2003 Sony Ericsson เปิดตัวมือถือที่มีกล้องหน้ารุ่นแรกสำหรับวิดีโอคอล Ericsson Z1010 จากนั้นในปี 2006 มีการเปิดตัว LG KE850 Prada ที่เป็นทั้งมือถือรุ่นแรกที่ระบบหน้าจอสัมผัส และมือถือรุ่นแรกที่ร่วมงานกับแบรนด์แฟชันหรู และที่สำคัญ 2007 เป็นปีที่เปิดตัว iPhone รุ่นแรก ซึ่งเรารู้กันดีว่ามันเปลี่ยนโลกไปตลอดกาล และมือถือก็พัฒนาต่อมาเรื่อย ๆ จนเทคโนโลยีคำสั่งเสียงเริ่มเข้ามาสู่มือถือในปี 2009 อย่าง Google Voice และ Siri
คุณสมบัติพื้นฐานและลักษณะทั่วไปของเทคโนโลยีในยุค 3G
1) ความเร็วในการรับส่งข้อมูล 14 Mbps
2) เข้าสู่ยุคของสมาร์ทโฟน
3) รองรับบริการ แอปพลิเคชันบนเว็บ เสียง วิดีโอ และไฟล์ขนาดใหญ่
4) เนื่องจากใช้งานเทคโนโลยีบรอดแบนด์ จึงสามารถรองรับการใช้งานและความจุได้เพิ่มขึ้น
5) อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง / การรักษาความปลอดภัยที่ดีขึ้น / การประชุมทางวิดีโอ / เกม 3D / สตรีมทีวี / โทรทัศน์บนมือถือ (mobile TV) / โทรศัพท์
ในทางปฎิบัติ เทคโนโลยีที่ใช้ในการสื่อสารยุค 3G มีหลายแบบ
UMTS (Universal Mobile Telecommunication System) ใช้ในยุโรป เป็นเทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลในมาตรฐาน 3G ที่ส่งผ่านสัญญาณเครือข่ายแบบ WCDMA มีความเร็วสูงสุดอยู่เพียง 384 kbps
WCDMA (Wideband Code Division Multiple Access) เป็นระบบเครือข่าย 3G มาตรฐานใหม่ที่ใช้วิธีการเข้าถึงแบบ DS-CDMA (direct-sequence code division multiple access) และใช้วิธีการ รวมแบบแบ่งความถี่ (frequency-division duplexing : FDD) เพื่อรองรับบริการที่ต้องการความเร็วสูงและความจุสูง
HSUPA (High-Speed Uplink Packet Access) คือเทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลที่พัฒนามาจาก UMTS เช่นกัน ซึ่งตอนนี้ความเร็วสูงสุดในในการส่งข้อมูลคือ 5.76 Mbps (Uplink) (Internet ตามบ้านส่วนใหญ่ความเร็วในการส่งข้อมูลจะอยู่ที่ 512 kbps) ไม่ว่าการรับข้อมูลจะเร็วแค่ไหนก็ตาม
4G
เป็นยุคที่ผู้ใช้งานมือถือสามารถท่องโลกอินเตอร์เน็ตกันได้แบบเต็มสูบ เพราะมีการพัฒนาความเร็วจาก 3G ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การดาวน์โหลด/อัพโหลดมีความเร็วสูงถึง 12 เมกะไบต์ต่อวินาที สามารถสตรีมวิดีโอด้วยความชัด Full HD และยังสามารถใช้งานแอปพลิเคชัน เล่นเกมออนไลน์ วิดีโอคอลได้อย่างราบรื่นและเสถียรมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
สมาร์ตโฟนรุ่นแรกที่มีระบบ 4G นั่นก็คือ HTC Evo 4G วางขายเมื่อปี 2010 และในปี 2018 ยังเปิดตัว Smartphone รุ่นแรงที่จอสามารถพับได้นั่นก็คือ Royole FlexPai
คุณสมบัติพื้นฐานและลักษณะทั่วไปของเทคโนโลยีในยุค 4G
1) ความเร็วในการรับส่งข้อมูล 10 Mbps ถึง 1Gbps
2) รองรับบริการสตรีมมิงวิดีโอความละเอียดสูง
3) ความปลอดภัยสูง
4) ราคาต่อปริมาณข้อมูลต่ำลง
5) โครงข่าย 4G มีความซ้อนซับ
6) สามารถให้บริการต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลายตามความต้องการของผู้ใช้ เนื่องจากสามารถรองรับการใช้งานได้มากขึ้น
5G
การมาของ 5G ถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญของประวัติศาสตร์วงการมือถือกันเลยทีเดียว การดาวน์โหลดวิดีโอ แอปต่าง ๆ จะเร็วได้มากถึง 10,000 Mbps และระบบ 5G จะเชื่อมต่อไปปลายทางเพียงแค่ 0.001 วินาทีเท่านั้น! เรียกว่ายุค 4G มันเร็วแล้ว แต่ 5G มันก็ยังเร็วได้อีก โดยช่วงแรกยังจำกัดการใช้งานแค่บางประเทศในยุโรป และสมาร์ตโฟนรุ่นแรกที่รองรับระบบ 5G ก็คือ Samsung Galaxy S10+ 5G ก่อนที่แบรนด์อื่นๆ จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองออกมารองรับในที่สุด
คุณสมบัติพื้นฐานและลักษณะทั่วไปของเทคโนโลยีในยุค 4G
1) ความจุข้อมูลมากกว่า 1000 เท่าของเครือข่ายที่ใช้ในปัจจุบัน
2) ความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงสุด 10 Gbps
3) ความเร็วในการรับส่งข้อมูล ณ ขอบสัญญาณของเสาส่ง สูงสุด 100 Mbps
4) มีความหน่วงน้อยกว่า 1 ms
5) รองรับการทำงานกับ WWWW หนังสือพิมพ์มัลติมีเดีย ชมรายการทีวีด้วยความคมชัด มัลติมีเดียแบบโต้ตอบ เสียง สตรีมมิงวิดีโอ อินเทอร์เน็ต VR AR และอื่น ๆ