แผนภาพความคิด
บทเสภาสามัคคีเสวก

ประวัติผู้แต่ง

ได้รับการถวายพระราชสมัญญาว่า “ สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า ” ซึ่งมีความหมายว่า “ นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่

ทรงได้รับการยกย่องจาก UNESCO ให้ทรงเป็น 1 ใน 5 ของนักปราชญ์ไทย ใน พ.ศ.2515

ทรงมีพระราชกรณียกิจนานัปการและทรงมีพระปรีชาสามารถทั้งด้านการทหาร การต่างประเทศ

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 6

ความเป็นมา

บทเสภาสามัคคีเสวก เป็นบทพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชนิพนธ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ.2457 บทนี้ใข้สำหรับขับอธิบายนำเรื่องในการฟ้อนรำตอนต่างๆ โดยพระราชนิพนธ์ตามคำกราบังคมทูลขอพระราชทานของเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี โดยครั้งแรกพระองค์คิดชื่อว่า “ ระบำสามัคคีเสวก ” ไม่มีบทร้อง และต่อมามีการแต่งบทเสภาขึ้นระหว่างตอนพักเพื่อคลายเหนื่อย บทเสภาสามารถแบ่งออกได้ 4 ตอนสั้นๆ

1.กิจการแห่งพระนนที

2.กรีนิรมิต

3.วิศวกรรมา

4.สามัคคีเสวก

เรื่องย่อ

ลักษณะคำประพันธ์

  1. บทเสภาสามัคคีเสวก ตอน วิศวกรรมา กล่าวถึง ประเทศชาติใดที่ไม่มีความสงบสุขประชาชนย่อมไม่มีเวลาสร้างสรรค์งานศิลปะและกล่าวว่า ศิลปะนั้นมีคุณค่าแสดงถึงอารยธรรมของชาติประเทศไทยก็เป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองเพราะมีช่างศิลป์ที่มีความชำนาญในศิลปะทุกแขนงคนไทยจึงควรส่งเสริมให้ศิลปะของชาติคงอยู่สืบไป
  1. บทเสภาสามัคคีเสวก ตอน สามัคคีเสวก กล่าวถึงหน้าที่ของข้าราชบริพารที่ดี คือ จะต้องจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ มีความสามัคคี มีวินัย เปรียบเสมือนลูกเรือที่จะต้องเชื่อฟังกัปตัน มิฉะนั้นเรือที่บังคับก็จะล่มลงในที่สุด

1.บทประพันธ์ประเภท กลอนเสภา

2.แต่งขึ้นสำหรับการขับเสภา

3.พัฒนามาจากการเล่านิทาน เมื่อการเล่านิทานร้อยแก้วน่าเบื่อจึงได้มีผู้คิดแต่งนิทานเป็นกลอนมีสัมผัสคล้องจองกันและขับเป็นทำนอง โดยใช้กรับ

กลอนเสภา

  1. เนื้อความตอนหนึ่งๆ จะยาวกี่คำกลอนก็ได้
  1. จำนวนคำในแต่ละวรรคอาจไม่เท่ากัน คือ มีได้ตั้งแต่๖ คำ ถึง ๑๐ คำ ตามความเหมาะสมเพื่อความชัดเจนของเนื้อความในแต่ละวรรค

  1. การส่งและการรับสัมผัส คือ คำสุดท้ายของวรรคหน้า (วรรคสดับและวรรครอง) นิยมส่งสัมผัสไปยังคำที่ ๑-๕ คำใดคำหนึ่งของวรรคหลัง (วรรครับและวรรคส่ง) และคำสุดท้ายของวรรคส่งของกลอนบทแรกส่งสัมผัสไปยังคำสุดท้ายของวรรครับในกลอนบุทต่อไปด้วย