Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 82 ปี
Dx. Pleural Effusion Left Lung
U/D Asthma…
ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 82 ปี
Dx. Pleural Effusion Left Lung
U/D Asthma,Hypertention
R/O Lung cancer
Lung cancer
พยาธิสภาพ
กลไกการเกิดมะเร็งเริ่มจากได้รับสารกระตุ้นการก่อมะเร็ง เช่น ยาสูบ การอักเสบระคายเคืองของเนื้อเยื่อ จนดีเอ็นเอของเซลล์ถูกทำลาย ทำให้เซลล์เจริญเติบโต ไม่เป็นระเบียบ Oncogene ผิดปกติ จากการผ่าเหล่าขาดหายไป หรือแทรกเข้าไปกดเนื้องอกไม่ทำงาน จำนวนเซลล์ จึงเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดกลุ่มก้อนของเซลล์ที่ผิดปกติ
มะเร็งปอดชนิดขนาดเซลล์ไม่เล็ก (Non-small cell lung cancer) เป็นมะเร็งปอดชนิดที่พบบ่อยที่สุด (กว่า 85-90% ของผู้ป่วยโรคมะเร็ง) โดยทั่วไปมะเร็งปอดชนิดขนาดเซลล์ไม่เล็กเป็นมะเร็งที่เติบโตและแพร่กระจายได้ช้ากว่ามะเร็งปอดชนิดขนาดเซลล์เล็ก สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยกรรมวิธีการรักษาทางการแพทย์ หากได้รับการวินิจฉัยตรวจพบและรักษาอย่างเหมาะสมตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม มี 4 ระยะ
ระยะที่ 1 มะเร็งเริ่มมีการก่อตัวที่ปอดส่วนบนหรือบริเวณหลอดลม ในระยะนี้เซลล์มะเร็งจะยังไม่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของปอดหรือลุกลามออกนอกปอด ในระยะนี้ ผู้ป่วยจะไม่แสดงออกซึ่งอาการใด ๆ ของโรคมะเร็ง
ระยะที่ 2 มะเร็งเริ่มแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองภายในปอด มะเร็งอาจจับตัวเป็นก้อนที่กลีบปอด 1 ก้อนหรือมากกว่า
ระยะที่ 3 มะเร็งขยายตัวและมีขนาดใหญ่กว่าในระยะที่ 2 ในระยะนี้มะเร็งได้ลุกลามไปยังกลีบปอดอื่น มะเร็งอย่างน้อยหนึ่งก้อนก่อตัวขึ้นที่บริเวณกลีบปอดข้างเดียวกัน บริเวณต่อมน้ำเหลือง และเนื้อเยื่อส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ที่อยู่ระหว่างปอดทั้งสองด้าน
ระยะที่ 4 มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น ปอดอีกข้าง ของเหลวที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงหัวใจ หรือต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณคอ ตับ กระดูก ต่อมหมวกไต และสมอง
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยเป็นมะเร็งปอดชนิดขนาดเซลล์เล็ก (Small cell lung cancer) ระยะจำกัด (Limited stage) พบเซลล์มะเร็งที่ Left lower lobe
มะเร็งปอดชนิดขนาดเซลล์เล็ก (Small cell lung cancer) เป็นมะเร็งปอดชนิดที่สามารถเติบโตได้อย่างรุนแรงและรวดเร็วกว่ามะเร็งปอดชนิดขนาดเซลล์ไม่เล็ก มะเร็งปอดชนิดขนาดเซลล์เล็กมักพบได้ในผู้ป่วยที่มีประวัติการสูบบุหรี่อย่างหนักและต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนาน หรือเป็นผู้ที่สูดดมควันบุหรี่มือสอง เขม่าควัน ฝุ่นละออง PM2.5 มี 2 ระยะ
- ระยะจำกัด (Limited stage) พบเซลล์มะเร็งที่ปอด
และต่อมน้ำเหลืองข้างเดียวกัน 1 ข้าง
- ระยะลุกลาม (Extensive stage) เซลล์มะเร็งแพร่กระจาย ไปทั่วปอดและออกนอกบริเวณช่องทรวงอกข้างนั้น ไปสู่ของเหลวรอบๆปอด และหรือกระจายไปสู่อวัยวะอื่น ๆ เช่น สมอง
สาเหตุ
ทฤษฎี
การสูบบุหรี่ ควันบุหรี่มือสอง การทำงานในอุตสาหกรรมที่มีสารก่อมะเร็ง เช่น โครเมียม แร่ใยหิน แร่เรดอน นิกเกิล เป็นต้น สภาวะแวดล้อมที่มีฝุ่นละอองพิษ พันธุกรรม อายุมากกว่า 40 ปี มีความเสี่ยงสูง
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยมวนยาสูบเองด้วยใบจากวันละ 100 มวน เป็นเวลา 63 ปี ทำงานในสภาวะแวดล้อมที่มีฝุ่นละอองพิษ ได้แก่ ฝุ่นจากการขัดไม้และอายุ 82 ปี
อาการ
ทฤษฎี
มะเร็งปอดในระยะเริ่มต้น ผู้ป่วยมักไม่แสดงอาการ แต่เมื่อโรคลุกลามแล้วมักมีอาการแสดง ที่สามารถสังเกตได้ดังนี้
- อาการของระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ ไอเรื้อรัง อาจมีหรือไม่มีเสมหะก็ได้ ไอเป็นเลือด หอบเหนื่อย หายใจลำบาก เนื่องจากก้อนมะเร็งโตขึ้น
ทำให้เนื้อที่ปอดสำหรับหายใจเหลือน้อยลง หรือ ก้อนมะเร็งนั้นกดเบียดหลอดลม เจ็บหน้าอกเวลาหายใจ ปอดอักเสบ มีไข้
- อาการของระบบอื่นๆ ได้แก่ เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ บวมที่หน้า แขน คอ และทรวงอกส่วนบน
เสียงแหบ ปวดกระดูก กลืนลำบาก อัมพาต มีตุ่มหรือก้อนขึ้นตามผิวหนัง
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยไอแห้ง ๆ หอบเหนื่อย หายใจลำบาก เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดลง
ผล Chest x-ray พบ Pleural Effusion Left Lung ผล CT Chest พบ Circumferential nodular soft tissue enlargement of left lung A 0.6 cm. Solid nodular at the LLL.
-
ภาวะแทรกซ้อน
ทฤษฎี
ไอเป็นเลือดรุนแรง (Hemoptysis) การติดเชื้อในทางเดินหายใจ ฝีในปอด (Lung abscess) ปอดแตก (Pneumothorax) น้ำท่วมปอด (Pulmonary edema) ภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด (Pleural Effusion)
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยมีภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอดข้างซ้าย (Pleural Effusion Left Lung) ผล Chest x-ray พบ Pleural Effusion Left Lung ผล CT Chest พบ Circumferential nodular soft tissue enlargement of left lung A 0.6 cm. Solid nodular at the LLL.
-
การรักษา
ทฤษฎี
- การผ่าตัด ใช้สำหรับรักษามะเร็งในระยะแรกที่ยังไม่มีการแพร่กระจายไปไกล หรือมีการกระจายไปเฉพาะต่อมน้ำเหลืองใกล้ๆ และไม่มีการลุกลามไปที่อวัยวะสำคัญต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียง การผ่าตัดมี 4 แบบ
- การตัดเป็นรูปลิ่ม (Wedge Resection)
- การตัดกลีบปอด (Lobectomy)
- การตัดปอดทั้งข้าง (Pneumonectomy)
- การตัดปอดและส่วนของหลอดลมร่วมออกด้วย (Sleeve Resection)
- การฉายรังสี เป็นการรักษาเฉพาะที่เช่นเดียวกับการผ่าตัด
- การให้ยาเคมีบำบัด การให้ยาที่สามารถทำลายเซลล์มะเร็งโดยการฉีด
- การรักษาโดยให้ยามุ่งเป้าทำลายเซลล์มะเร็ง (Targeted Therapy)
การรักษามะเร็งที่ออกฤทธิ์เฉพาะที่ตัวมะเร็งเป็นหลัก
- การรักษาโดยใช้ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy)
-
-
Hypertension
สาเหตุ
ทฤษฎี
- ความดันโลหิตสูงชนิดทราบสาเหตุ (secondary hypertension) เกิดจากการมีพยาธิสภาพของอวัยวะต่างๆในร่างกายเกิดแรงดันเลือดสูง ส่วนใหญ่อาจเกิดพยาธิสภาพที่ไตต่อมหมวกไตโรคหรือความผิดปกติของระบบประสาท ความผิดปกติของฮอร์โมนโรคของต่อมไร้ท่อร่วมโรคครรภ์เป็นพิษ การบาดเจ็บของศีรษะและสารเคมี เป็นต้น
สาเหตุและปัจจัยอื่น
- ปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ (Non modifiable risk factor)
- ประวัติครอบครัว พันธุกรรม อายุ เพศ เชื้อชาติ
- ปัจจัยเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงได้ (Modifiable risk factor)
- ภาวะเครียด อ้วนมาก สารอาหาร โดยเฉพาะโซเดียม สารเสพติด บุหรี่ แอลกอฮอล์
- ความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ (primary or essential hypertension)ปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่เกี่ยวข้องและส่งเสริมให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงได้แก่ กรรมพันธุ์ ความอ้วน การมีไขมันในเลือดสูง การรับประทานอาหารที่มีรสเค็มจัด การไม่ออกกำลังกาย ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ ความเครียด อายุ และมีประวัติครอบครัวเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยมีความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ
(primary or essential hypertension) จากการสูบยาสูบมวนเองด้วย
ใบจากวันละ 100 มวน เป็นเวลา 63 ปี ชอบรับประทานอาหารที่มีรสเค็มเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงได้ (Modifiable risk factor) และมีอายุ 82 ปีปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ (Non modifiable risk factor)
-
อาการ
ทฤษฎี
- ปวดศีรษะ (Headache) ลักษณะอาการปวดมักจะปวดที่ท้ายทอย โดยเฉพาะช่วงเช้าหลังตื่นนอน และมักค่อยๆ ดีขึ้นและหายไปเอง
- เวียนศีรษะ มึนงง (Dizziness) อาจมีอาการคล้ายจะเป็นลม (Syncope)
- เลือดกำเดาไหล (Epistaxis) แต่ไม่พบบ่อย
- หายใจลำบากขณะออกแรงหรือทำงานหนัก
หรือหายใจลำบากขณะนอนราบ (Orthopnea )
- มีอาการเจ็บหน้าอกจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Angina) หรือหลอดเลือดเอออร์ต้าฉีกขาด (Aortic dissection)
- อาการอื่น ๆ ที่อาจพบได้ เช่น ปัสสาวะมาก กระหายน้ำ
- ใจสั่นและอาการทางพยาธิสภาพของอวัยวะสำคัญที่เสียหน้าที่
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยมีอาการหายใจลำบาก หายใจไม่อิ่ม ขณะทำงานและขณะนอนราบ ความดันโลหิต
วันที่ 27 เวลา 10.00 134/70 มม.ปรอท เวลา 14.00 164/70 มม.ปรอท
วันที่ 28 เวลา 10.00 167/80 มม.ปรอท เวลา 14.00 147/72 มม.ปรอท
วันที่ 29 เวลา 10.00 173/73 มม.ปรอท เวลา 14.00 155/111 มม.ปรอท
การรักษา
ทฤษฏี
1.การปรับพฤติกรรม (Lifestyle Modification) ประกอบด้วย การควบคุม อาหาร ได้แก่ เน้นอาหารที่มีกากใยสูง ผักผลไม้ ธัญพืช ถั่วเมล็ดแห้ง การลดเกลือ การออกกำลังกาย ประเภท Aerobic exercise การลดน้ำหนัก และการลดความเครียด งดแอลกอฮอล์และบุหรี่
- การรักษาโดยการใช้ยา มีเป้าหมายในการลดระดับความดันโลหิตให้ต่ำกว่า 140/90 mmHg ยาที่ใช้อาจใช้เป็นยาเดี่ยวหรือรักษา
ด้วยยาหลายตัวขึ้นกับอาการของผู้ป่วย เป็นยากลุ่มดังต่อไปนี้
2.1 ยาขับปัสสาวะ (diuratic) หรือ (pill water) ที่ใช้บ่อย ได้แก่ ไธอะไซด์ ฟูโรซีไมด์ สไปโนแลคโตน
2.2 ยาต้านอะดรีเนอจิก (แอลฟาและเบตารีเซฟเตอร์) ได้แก่ โพรพาโนลอล ลาบิทอล ดอกซาโซซิน กัวนาเดล เมทิลโดพา
2.3 ยาต้านแคลเซี่ยมเข้าเซล เช่น Amlodipine Diltiazem Verapramil Nifedipine
2.4 ยาต้านระบบเรนินแอนจิโอเทนชิน ออกฤทธิ์ยับยั้งผลจากระบบแอนจิโอเทนซิน ยาในกลุ่มนี้มีหลายตัวได้แก่
1) ยากลุ่ม ACEI ประกอบด้วย อีนาลาพริล, แคพโตพริล
2) ยากลุ่ม Antagonist Il receptor เช่น ซาราลาติน และ วาซาร์แทน และ โรซาแทน
3) ยาขยายหลอดเลือดโดยตรง เช่น ไฮดราลาซิน
กรณีศึกษา
ผู้ป่วยรักษายาต้านแคลเซี่ยมเข้าเซลล์
คือ Amlodipine (5) 1tab OD pc และควบคุมอาหารรับประทานอาหารอ่อนจืด
ความหมาย
ความดันโลหิตสูง (Hypertension) หมายถึง ระดับความดันโลหิตซิสโตลิค (systolic blood pressure,SBP) มากกว่าหรือเท่ากับ 140 มม.ปรอท และ/หรือความดันโลหิตไดแอสโตลิค (diastolic blood pressure, DBP มากกว่าหรือเท่ากับ 90 มม.ปรอท
ระดับของความดันโลหิตสูง มี 3 ระดับ
- Pre-hypertension ระดับความดันโลหิตอยู่ในช่วง 120/80-139/89 mmHg
- Stage 1 ระดับความดันโลหิตอยู่ในช่วง 140/90-159/99 mmHg
- Stage 2 ระดับความดันโลหิตอยู่ในช่วง 160/100 mmHg
ภาวะแทรกซ้อน
ทฤษฎี
เฉียบพลัน
Hypertensive urgency มีความดันโลหิตสูงตั้งแต่ 180/110 mmHg เป็นต้นไป แต่ยังไม่มีอวัยวะเป้าหมายถูกทำลาย
Hypertensive emergency มีความดันโลหิตสูงตั้งแต่ 180/110 mmHg เป็นต้นไป และมีสัญญาณอวัยวะเป้าหมายที่สำคัญถูกทำลาย ได้แก่ ตา ไต หัวใจ สมองและหลอดเลือด
เรื้อรัง
Microvascular
ไต
- มีของเสียคั่งในร่างกาย มีระดับ BUN และ Cr ค่อนข้างต่ำ
- พบไข่ขาวในปัสสาวะ (Proteinuria) หรือ พบไมโครอัลบูมิน
- ไตเสื่อม (Nephropathy) (CKD)
ตา
- หลอดเลือดชั้นในจอตาแตก หรือมีภาวะจอตาเสื่อม (Retinopathy)
เส้นประสาท (Neuropathy) มีอาการชาปลายมือปลายเท้า ปัจจัยเสี่ยงได้แก่ ระดับน้ำตาลในเลือด ภาวะความดันโลหิตสูง และการสูบบุหรี่
Macrovascular
ระบบหลอดเลือดส่วนปลาย
- คลำชีพจรแขนขาไม่ได้ มากกว่า 1 ตำแหน่ง มีประวัติปวดน่องเวลาเดิน (Claudication) ค่า ABI ผิดปกติ (ค่าปกติ 0.9-1.3)
- อาจพบมีหลอดเลือดแดงโป่งพอง (Aneurysm), Arterial occlusion, DVT
ระบบหลอดเลือดสมอง
- มีภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว (TIA) หรือถาวร (Stroke)
ระบบหัวใจ
- มีอาการทางหัวใจ ตรวจ EKG หรือ Echocardiogram พบกล้ามเนื้อเวนตริเคิลซ้ายหนา (LVH)
- กล้ามเนื้อเวนตริเคิลซ้ายทำงานผิดปกติหรือมีอาการภาวะหัวใจล้มเหลว
- ภาวะ Angina หรือ prior myocardial infarction, prior revascularization, heart failure, CAD, ACS, Cardiomegaly
-
พยาธิสภาพ
1.การกระตุ้นประสาทซิมพาธิติก ทำให้หลอดเลือดแดงหดตัวจึงมีความต้านทานของหลอดเลือดเพิ่มขึ้น มีผลต่อการทำงานของระบบเรนิน – แองจิโอเทนซินทำให้ผลิตแองจิโอเทนซินทู (angiotensin I!) ส่งผลให้หลอดเลือดแดงหดตัวซึ่งทำให้ความต้านทานของหลอดเลือดส่วนปลายเพิ่มขึ้นและการกระตุ้นประสาทซิมพาธิติก ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มมากขึ้นแรงบีบตัวของหัวใจแรงขึ้นจึงเพิ่มปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจและทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น
- การลดลงของสารเหลวในระบบไหลเวียนทำให้ปริมาตรเลือดที่ไหลผ่านไตน้อยลงซึ่งกระตุ้นระบบเรนิน -แองจิโอเทนซินทำให้หลอดเลือดหดตัวจึงเกิดแรงต้านของหลอดเลือดทั่วร่างกายและแองจิโอเทนซินทู (angiotensin I!) ในระบบไหลเวียนจะกระตุ้นให้มีการหลั่งของฮอร์โมนอัลโดสเตอโรน(aldosterone hormone) จากต่อมหมวกไตส่วนนอกซึ่งมีผลในการดูดซึมกลับของน้ำและโซเดียมที่ไตปริมาณของเลือดจึงเพิ่มขึ้นและความดันโลหิตสูงขึ้น
- ต่อมใต้สมองส่วนหลังมีการหลั่งฮอร์โมน antidiuretic hormoneเพื่อตอบสนองต่อการลดลงของสารเหลวในระบบไหลเวียนและฮอร์โมนมีผลต่อกล้ามเนื้อเรียบทำให้หลอดเลือดมีการหดตัวมากยิ่งขึ้น
-
-