Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

ผู้ป่วยหญิงไทย วัยรุ่น DX : Immune Thrombocytopenia โรคเกร็ดเลือดต่ำจากภ…

- - - - Immune thrombocytopenia (ITP) หรือ Idiopathic Thrombocytopenic Purpura เป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายเนื้อเยื่อตัวเอง (Autoimmune Disease) ที่ทำให้เกิดรอยช้ำบนผิวหนังหรือบริเวณเยื่อบุผิวในช่องปาก เลือดแข็งตัวช้า และมีเลือดออกง่าย โดยมีสาเหตุจากจำนวนเกร็ดเลือดลดลงมากผิดปกติ ซึ่ง ITP เป็นโรคที่พบได้ทุกวัย แต่ในเด็กมักพบหลังการติดเชื้อไวรัสบางชนิดในร่างกาย เช่น อีสุกอีใส คางทูม หรือโรคหัด เป็นต้น
        ตามปกติแล้วเกร็ดเลือดที่สร้างจากไขกระดูกมีหน้าที่ทำให้เลือดแข็งตัวและอุดรอยฉีกขาดของเส้นเลือด แต่หากเกร็ดเลือดลดต่ำลงจะทำให้เลือดแข็งตัวช้าและมีเลือดออกในร่างกายหรือใต้ผิวหนังได้ง่ายกว่าปกติ โดยในระยะแรกมักไม่มีอาการและอาจไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษา แต่เมื่ออาการรุนแรงขึ้นควรเข้ารับการรักษาจากแพทย์ โดยแพทย์อาจให้ยากระตุ้นการสร้างเกร็ดเลือด หรือให้ผู้ป่วยรักษาด้วยการผ่าตัดม้ามเมื่อรักษาด้วยวิธีการอื่นไม่ได้ผล
  - - - ในอดีต ITP เป็นโรคที่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่ปัจจุบันมีการแบ่งสาเหตุการเกิดโรค ITP ได้เป็น 2 สาเหตุ ได้แก่ สาเหตุปฐมภูมิ (Primary ITP) ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย และสาเหตุทุติยภูมิ (Secondary ITP) ซึ่งเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น โรคประจำตัว การใช้ยา หรือสภาวะร่างกายของผู้ป่วย เป็นต้น
        
        สาเหตุปฐมภูมิ
        
        โดยปกติแล้ว ร่างกายจะสร้างแอนติบอดี้ขึ้นมาเพื่อทำลายสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย แต่ผู้ป่วยโรค ITP อาจมีระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ ทำให้แอนติบอดี้ทำลายเกร็ดเลือดและขับออกจากร่างกายผ่านม้าม ทำให้จำนวนเกร็ดเลือดลดต่ำลงกว่าปกติ
        นอกจากนี้ ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันยังกระทบต่อกระบวนการสร้างเกร็ดเลือด ทำให้ผลิตเกร็ดเลือดเข้าสู่กระแสเลือดได้น้อยลง ในบางกรณีเซลล์เม็ดเลือดขาวของผู้ป่วยอาจโจมตีเกร็ดเลือดโดยตรงเอง ทำให้เกร็ดเลือดถูกทำลายได้เช่นกัน
        
        สาเหตุทุติยภูมิ
        
        ปัจจัยต่าง ๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรค ITP ได้ดังต่อไปนี้
        การติดเชื้อ หากเป็นเด็กมักเกิดหลังจากการติดเชื้อไวรัสอีสุกอีใส คางทูม ไข้หวัดใหญ่ ในผู้ใหญ่มักเกิดในผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ไวรัสตับอักเสบ ซี (Hepatitis C) หรือเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร (H. Pylori) ในทางเดินอาหาร ในบางกรณีอาจเกิดจากการติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างรุนแรง (Sepsis)
        
        โรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma) และโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดซีแอลแอล (CLL) ซึ่งอาจทำให้ร่างกายสร้างแอนติบอดี้ขึ้นมาทำลายโปรตีนบนผิวเกร็ดเลือด
        
        การใช้ยาบางชนิดที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ เช่น ยารักษาโรคหัวใจ ยากันชัก ยารักษาอาการติดเชื้อ และยาเฮพาริน (Heparin) ซึ่งเป็นยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด เป็นต้น
        
        การทำบายพาสหัวใจ หรือการฉายแสงที่บริเวณไขกระดูก
        ปัจจัยอื่น ๆ เช่น กรรมพันธุ์ และการตั้งครรภ์
    - - จากกรณีศึกษา ผู้ป่วยได้รับวัคซีน Covid-19 ( เข็มที่ 2 )
  - - - การรักษา
        
        ผู้ป่วยเด็กที่มีอาการของ ITP ชนิดเฉียบพลัน และผู้ใหญ่บางรายที่มีอาการไม่ร้ายแรง อาจไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษา แต่แพทย์จะตรวจวัดจำนวนเม็ดเลือดแดงและเกร็ดเลือดของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนในภายหลัง และผู้ป่วยควรดูแลตนเองด้วยวิธีต่าง ๆ ต่อไปนี้
        
        ระมัดระวังในการซื้อยามารับประทานเอง โดยเฉพาะยาที่หาซื้อได้ทั่วไปโดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยา อย่างยาแอสไพริน (Aspirin) และยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ซึ่งอาจทำลายหรือทำให้เกิดความผิดปกติของเกร็ดเลือด
        
        จำกัดปริมาณการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากแอลกอฮอล์อาจลดการแข็งตัวของเลือด และทำให้มีเลือดออกง่ายขึ้น
        
        หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมหรือเล่นกีฬาที่ใช้แรงปะทะ เช่น การชกมวย ศิลปะการต่อสู้ หรือฟุตบอล ซึ่งเสี่ยงต่อการได้รับบาดเจ็บของร่างกาย หรือการกระทบกระเทือนบริเวณศีรษะที่อาจทำให้เลือดออก จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนการเล่นกีฬาทุกชนิด
        
        สวมใส่อุปกรณ์เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บขณะทำกิจกรรมต่าง ๆ
        
        รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และหลากหลาย โดยเน้นการรับประทานผักใบเขียวและผลไม้ เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน
        
        แพทย์อาจสั่งให้ผู้ป่วยงดรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของควินิน (Quinine) และแอสพาร์แทม (Aspartame) หรือสารให้ความหวานแทนน้ำตาล ซึ่งพบได้ในน้ำอัดลมประเภทต่าง ๆ และเครื่องดื่มที่ปราศจากน้ำตาล
        
        ในกรณีที่มีอาการรุนแรงหรือเรื้อรัง แพทย์จะพิจารณาวิธีรักษาจากหลายปัจจัยประกอบกัน เช่น โรคประจำตัว อายุ สุขภาพโดยรวม ประวัติการใช้ยา และประวัติการรักษาโรคอื่น ๆ โดยจุดมุ่งหมายในการรักษาคือการเพิ่มจำนวนเกร็ดเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อป้องกันภาวะเลือดออกในสมองหรือลำไส้
        
        ข้อวินิจฉัยการพยาบาล ข้อที่ 2
        มีโอกาสเกิดเลือดออกง่ายหยุดยากที่อวัยวะสำคัญได้แก่ สมอง ระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินปัสสาวะ เนื่องจากเกร็ดเลือดต่ำ
        ข้อมูลสนับสนุน
        S : มีเลือดออกตามไรฟัน มีจุดจ้ำเลือดที่ข้อพับและหน้าอก”
        O : ตรวจร่างกายพบ จุดจ้ำเลือดบริเวณข้อพับ หน้าอกและเลือดออกตามไรฟัน
        O : ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ วันที่ 24/11/66 ค่า Platelet Count 72,000 Cells/mm.3
        จุดมุ่งหมาย
        ป้องกันการเกิดเลือดออกในอวัยวัสำคัญ
        เกณฑ์การประเมิน
        
        ไม่มี Consciousness. เปลี่ยนแปลง Glasgow Coma Score ไม่ต่ำกว่า 14 คะแนน
        
        ไม่มีเลือดออกในสมอง ได้แก่ ปวดศีรษะ ความรู้สึกเปลี่ยนแปลง การพูดมีปัญหา ซึม สับสน แขนขาอ่อนแรง
        
        ไม่มีเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ อาเจียนเป็นเลือด เลือดออกตามไรฟัน อุจจาระมีสีดำ
        
        ไม่มีเลือดออกในระบบทางเดินปัสสาวะ ได้แก่ ปัสสาวะเป็นเลือด
        
        ไม่มีจุดจ้ำเลือดเพิ่มมากขึ้น
        
        ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ Plt. Count 150,000-450,000 Cells/mm.3
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        
        ประเมินการมีเลือดออกที่ผิดปกติในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย โดยสังเกตอาการและอาการแสดงของภาวะเลือดออก ได้ดังนี้ สีของปัสสาวะ เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด เลือดออกตามไรฟัน อุจจาระมีสีดำ อาการจากการมีเลือดอกในสมอง เช่น ปวดศีรษะ มีการเปลี่ยนแปลงการมองเห็นอ่อนแรงของแขนขาทันที มีปัญหาในการพูดหรือมีอาการสับสน
        
        ประเมินอาการเปลี่ยนแปลงทางระบบประสาท Neurological Sign โดยสังเกตอาการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ ซึมลง เอะอะโวยวาย สับสนและประเมิน Glasgow Coma Score โดยรายงานแพทย์เมื่อมีความเปลี่ยนแปลง
        
        งดรับประทานอาหารสีดำแดงและอาหารที่มีลักษณะแข็ง
        
        ใช้แปรงฟันขนนุ่มในกรณี
        
        สังเกตสีของปัสสาวะและอุจจาระ
        ที่เกร็ดเลือดน้อยกว่า 50,000 Cells/mm.3 งดแปรงฟันและบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก
        
        แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีใยอาการสูง มีลักษณะอ่อนนุ่ม เช่น มะละกอสุก กกล้วย ส้ม และดื่มน้ำมาก ๆ
        
        กระตุ้นให้ผู้ป่วยทำกิจวัตรประจำวัน เช่น ลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ
        
        ฟังเสียง Bowel Sound ทุก 4 ชั่วโมง
      - การใช้ยา
        
        ในกรณีที่ผู้ป่วยซื้อยามารับประทานเอง เช่น ยาแอสไพริน (Aspirin) ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรืออาหารเสริมชนิดต่าง ๆ แพทย์อาจให้หยุดใช้ยานั้น เนื่องจากอาจทำให้เกิดความผิดปกติของเกล็ดเลือด และอาจสั่งจ่ายยาที่ใช้ในการรักษา ITP ดังนี้
        
        ยาสเตียรอยด์ แพทย์อาจสั่งจ่ายยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ อย่างยาเพรดนิโซน (Prednisone) ให้ผู้ป่วยรับประทาน โดยตัวยาจะยับยั้งการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและชะลอการทำลายเกล็ดเลือด โดยทั่วไปจำนวนเกร็ดเลือดของผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้นหลังรับประทานยาได้ 2–3 สัปดาห์ และเมื่อจำนวนเกร็ดเลือดอยู่ในระดับปกติ แพทย์อาจให้ผู้ป่วยหยุดรับประทานยา เนื่องจากการใช้ยาสเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง
        
        ยากระตุ้นการสร้างเกร็ดเลือดของไขกระดูก อาทิ ยาเอลทรอมโบแพค (Eltrombopag) หรือยาโรมิโพลสติม (Romiplostim) ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดรอยช้ำหรือเลือดออกในกรณีที่ผู้ป่วยมีเกล็ดเลือดต่ำจาก ITP ชนิดเรื้อรัง
        
        ยาชนิดอื่น ๆ เช่น ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressants) ยาปฏิชีวนะ หรือยาริทูซิแมบ (Rituximab) ที่ช่วยลดการตอบสนองของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันที่ทำลายเกร็ดเลือด
      - การรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ
        
        ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง หรือใช้ยารักษาแล้วไม่ได้ผล แพทย์อาจใช้วิธีรักษา ดังต่อไปนี้
        
        การให้เกร็ดเลือด ในผู้ป่วยที่มีเลือดออกรุนแรง หรือผู้ที่เข้ารับการผ่าตัด ซึ่งเสี่ยงต่อการมีเลือดออกมาก
        
        การผ่าตัดม้าม (Splenectomy) ซึ่งเป็นอวัยวะที่ทำลายเกร็ดเลือด ในกรณีที่รักษาด้วยวิธีการใช้ยาแล้วไม่เห็นผล อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดม้ามอาจทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อได้ง่าย และไม่นิยมผ่าตัดในเด็ก เนื่องจากอาจเป็นอันตราย
    - - จากกรณีศึกษา
        
        ผู้ป่วยซื้อยากลุ่มอาหารเสริม มารับประทานเอง
        
        ผู้ป่วยได้รับ Platelet Count 10 u free flow ( 23/11/66 )
        
        ผู้ป่วยได้รับยา Dexamethasone 10 mg IV q 6 ชั่วโมง
        
        ข้อวินิจฉัยการพยาบาล ข้อที่ 3
        พร่องความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตน ในการเป็นโรค Immune Thrombocytopenia (ITP)
        ข้อมูลสนับสนุน
        S : “มีเลือดออกตามไรฟัน ก็คิดว่าแปรงฟันแรงเกินไป เลยไม่ได้มาโรงพยาบาล”
        O : ผู้ป่วยไม่สามารถประเมินอาการตนเองเกี่ยวกับโรคที่เป็นได้
        จุดมุ่งหมาย
        มีความรู้ในการดูแลตัวเองให้เหมาะกับโรค
        เกณฑ์การประเมิน
        
        สามารถบอกและอธิบายการดูแลตนเองได้ถูกต้องอย่างน้อย 4 ข้อจาก 6 ข้อ
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        
        สอนผู้ป่วยและญาติให้สังเกตุความผิดปกติที่แสดงว่ามีเลือดออกง่าย เช่น อุจจาระสีดำ อาเจียนเป็นเลือด ปัสสาวะหรือเสมหะเป็นเลือด มีจุดเลือดออกตามผิวหนัง เลือดออกในช่องปากหรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ปวดศีรษะ มีการเปลี่ยนแปลงของการมองเห็น อ่อนแรงของแขนขาทันที มีปัญหาในการพูดหรือมีอาการสับสน หากพบอาการควรรีบมาพบแพทย์ทันที
        
        ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ การกระแทกที่รุนแรง เช่น การออกกำลังกายที่รุนแรง การใช้ของมีคม
        
        งดอาหารดำแดงและอาหารที่มีลักษณะแข็ง
        
        สังเกตการมีประจำเดือน
        
        แนะนำการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การแปรงฟันใช้แปรงขนอ่อนนุ่ม
        
        มาตรวจตามแพทย์นัดทุกครั้ง
  - - - โดยปกติ คนเราจะมีจำนวนเกร็ดเลือดอยู่ที่ประมาณ 150,000–450,000 เกร็ดต่อไมโครลิตร แต่ผู้ป่วยโรค ITP จะมีจำนวนเกร็ดเลือดต่ำกว่า 100,000 เกร็ดต่อไมโครลิตร และบางรายอาจมีจำนวนเกร็ดเลือดต่ำกว่า 10,000 เกร็ดต่อไมโครลิตร ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการมีเลือดออกรุนแรง
        ระดับความรุนแรงของโรค ITP มี 4 ระดับ ดังนี้
        
        ไม่มีเลือดออก ( No clinical Bleeding ) หมายถึง ตรวจไม่พบอาการแสดงของเลือดออก Platelet Count มากกว่า 100,000 Cells/mm.3
        
        เลือดออกไม่รุนแรง ( mild bleeding ) ได้แก่ เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล มีจุดจ้ำเลือดตามร่างกาย Platelet Count 50,000-100,000 Cells/mm.3
        
        เลือออกรุนแรงปานกลาง ( Moderate Bleeding ) ได้แก่ ประจำเดือนออกมาก ตรวจพบจ้ำเลือดขนาดใหญ่ อาเจียนเป็นเลือด ปัสสาวะเป็นเลือด Platelet Count 20,000-50,000 Cells/mm.3
        
        เลือดออกรุนแรง ( Severe Bleeding ) เลือดออกรุนแรง ถึงแก่ชีวิต ได้แก่ เลือดออกในสมอง เลือดออกในอวัยวะภายใน Plate Count น้อยกว่า 20,000 Cells/mm.3
        
        โรค ITP อาจแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่
        
        ITP ชนิดเฉียบพลัน
        
        เป็นประเภทที่พบได้บ่อย มักพบในเด็กเล็ก อายุระหว่าง 2–6 ปี เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในร่างกาย อาการจะเกิดขึ้นทันที มักหายดีภายใน 6 เดือน และไม่มีอาการซ้ำอีกในภายหลัง ผู้ป่วยจึงอาจไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษา
        
        ITP ชนิดเรื้อรัง
        
        ใช้เรียกเมื่อผู้ป่วยมีอาการของโรคต่อเนื่องนานกว่า 6 เดือน พบได้มากในทุกวัย แต่จะพบบ่อยในวัยผู้ใหญ่และวัยรุ่น และพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย บางกรณีผู้ป่วยอาจกลับมามีอาการซ้ำอีกจึงจำเป็นต้องติดตามอาการเป็นระยะอย่างสม่ำเสมอ
        โดยทั่วไปแล้ว ผู้ป่วยที่มีอาการในระยะแรกมักไม่พบอาการใด ๆ แต่ในรายที่มีอาการจะพบอาการที่แตกต่างกัน เช่น
         เกิดรอยช้ำได้ง่ายหรือรุนแรงกว่าคนทั่วไปเนื่องจากเลือดออกใต้ผิวหนัง ลักษณะเป็นรอยขนาดใหญ่สีม่วง ฟ้า หรือเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เขียว ในภายหลัง ซึ่งอาจเกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยเคลื่อนไหวร่างกายบริเวณข้อศอกหรือหัวเข่าตามปกติแม้ไม่ได้รับบาดเจ็บจากการชนหรือกระแทก
         มีจุดเลือดหรือจ้ำเลือดสีม่วงหรือแดงขนาดเล็กขึ้นใต้ผิวหนัง มีลักษณะคล้ายผื่น มักพบบริเวณหน้าแข้งและเท้า
         เลือดออกง่ายผิดปกติ อย่างเลือดกำเดาหรือเลือดออกในช่องปากหรือเหงือก ซึ่งอาจพบขณะตรวจสุขภาพฟัน
         มีเลือดออกเมื่ออาเจียน ปัสสาวะ หรืออุจจาระ
         ประจำเดือนมามากผิดปกติ
         เลือดหยุดช้าหรือเลือดออกมากเมื่อมีบาดแผลหรือผ่าตัด
        ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงอาจทำให้มีเลือดไหลไม่หยุด เลือดออกในสมองที่อาจเกิดจากการประสบอุบัติเหตุบาดเจ็บที่ศีรษะ หรืออาจพบอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย
    - - ผู้ป่วยมีอาการและอาการแสดงในระดับเลือดออกไม่รุนแรง ( Mild Bleeding ) ได้แก่ เลือดออกตามไรฟัน มีจุดจ้ำเลือดบริเวณข้อพับ และหน้าอก Platelet Count 72,000 Cells/mm.3
        
        ผู้ป่วยเป็นโรค ITP ชนิดเรื้อรัง
        
        ผู้ป่วยมีประวัติประจำออกมากผิดปกติ ( อายุ 14 ) *ประจำเดือนมาครั้งแรก
        
        ข้อวินิจฉัยการพยาบาล ข้อที่ 1
        มีภาวะเลือดออกง่ายหยุดยาก เนื่องจากมีเกร็ดเลือดต่ำ
        ข้อมูลสนับสุนน
        S : มีเลือดออกตามไรฟัน มีจุดจ้ำเลือดที่ข้อพับและหน้าอก”
        O : ตรวจร่างกายพบ จุดจ้ำเลือดบริเวณข้อพับ หน้าอกและเลือดออกตามไรฟัน
        O : ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ วันที่ 24/11/66 ค่า Platelet Count 72,000 Cells/mm.3
        จุดมุ่งหมาย
        ไม่เกิดภาวะเลือดออกง่ายหยุดยาก
        เกณฑ์การประเมิน
        
        ไม่มีอาการแสดงของการมีภาวะเลือดออกง่ายหยุดยากเพิ่ม ได้แก่ มีจุดจ้ำเลือดตามร่างกาย มีเลือดออกตามไรฟัน อาเจียนเป็นเลือด ปัสสาวะหรืออุจจาระมีเลือดปน
        
        ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ อยู่ในเกณฑ์ปกติ Platelet Count 150,000-450,000 Cells/mm.3
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        
        สังเกตอาการและอาการแสดงของภาวะเลือดออก เช่น เลือดออกตามไรฟัน มีจุดเลือดออกใต้ผิวหนัง จุดจ้ำเลือด มีเลือดออกในเนื้อเยื่อ
        
        หลีกเลี่ยงการฉีดยาใต้ผิวหนัง
        
        หลีกเลี่ยงการใช้ยาประเภทแอสไพริน
        
        ภายหลังการเจาเลือดควรใช้สำลีกดให้นาน ประมาณ 5 นาที
        
        ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ การกระทบกระแทก เช่น มีดบาด การออกกำลังกายอย่างหนัก การพลัดตกหกล้มและเกิดอุบัติเหตุ
        
        ใช้แปรงขนนุ่ม ในกรณีที่เกร็ดเลือดน้อยกว่า 50,000 Cells/mm.3 งดการแปรงฟันและบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก
        
        ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับ Platelet Count 10 u IV Drip free flow ตามแผนการรักษา และสังเกตอาการข้างเคียง ได้แก่ ไข้ หนาวสั่น ผื่นขึ้น ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลง เป็นต้น
        
        งดรับประทานอาหารดำแดงและอาหารที่มีลักษณะแข็ง
        
        ดูแลให้ยาตามแผนการรักษา คือ Transamin 250/5ml และสังเกตอาการข้างเคียง ได้แก่ ปวดศีรษะ คัดจมูก ปวดท้อง เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อหรือข้อต่อ
        
        ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ คือ ค่า Platelet Count ตามแผนการรักษา
  - - - มีเลือดออกในอวัยวะต่าง ๆ เช่น สมอง ระบบทางเดินอาหาร ระแบบทางเดินปัสสาวะ
    - - จากกรณีศึกษา ผู้ป่วยไม่มีภาวะแทรกซ้อน
  - - - โรค ITP เกิดจากความผิดปกติในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโดย B lymphocyte สร้าง Autoantibody ต่อ Platelet ทำให้ macrophage จับทำลาย platelet ที่มี Autoantibody เกาะอยู่ จากพื้น antigen-derived peptide ที่ได้จาก platelet ไปกระตุ้น T lymphocyte ทำให้ T lymphocyte หลั่ง cytokine และ Autoantibody ยังยั้งการสร้าง megakaryocyte ซึ่งทำหน้าที่ในการสร้าง Platelet ทำให้การสร้างลดลง