Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ละครไทยประเภทละครรำ, ละครไทยประเภทละครรำ - Coggle Diagram
ละครไทยประเภทละครรำ
ละครไทยประเภทละครรำ
ละครรำแบบดั้งเดิม (แบบโบราณ)
ละครใน
•
ผู้แสดง
เดิมเป็นหญิงล้วน ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 1 มีละครในผู้ชายแสดง เช่น นายทองอยู่เป็นอิเหนา
•
เพลงร้อง
ปรับปรุงให้มีทำนองและจังหวะนิ่มนวล สละสลวย ตัวละครไม่ร้องเอง มีต้นเสียงและลูกคู่ มักมีคำว่า "ใน" อยู่ท้ายเพลง เช่น ช้าปี่ใน โอ้โลมใน
•
ดนตรี
ใช้วงปี่พาทย์เหมือนละครนอก ใช้ทางในซึ่งมีระดับเสียงเหมาะกับผู้หญิง และมักเป็นเพลงที่มีลีลา ท่วงทำนองค่อนข้างช้า วิจิตรพิสดาร เหมาะกับลีลาท่ารำ
•
ประวัติความเป็นมา
ความเป็นมาที่ยาวนานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เรื่องที่ใช้แสดงมีเพียง 4 เรื่องเท่านั้น คือ รามเกียรติ์ อุณรุท ดาหลัง และอิเหนา
•
การแต่งกาย
เครื่องแต่งกายประณีตงดงามตามแบบของกษัตริย์ เช่น มีมงกุฎ สังวาล ทับทรวง เจียระบาด ห้อยหน้า สนับเพลา พระภูษา ฉลองพระองค์ ฯลฯ
ละครนอก
•
การแต่งกาย
ตัวแสดงบทเป็นตัวนางก็นำเอาผ้าขาวม้ามาห่มสไบ ถ้าแสดงบทเป็นตัวยักษ์ก็เขียนหน้าหรือใส่หน้ากาก ต่อมามีการแต่งกายให้ดูงดงามมากขึ้น วิจิตรพิสดารขึ้น เพราะเลียนแบบมาจากละครใน บางครั้งเรียกการแต่งกายลักษณะนี้ว่า "ยืนเครื่อง"
•
ผู้เเสดง
ในสมัยโบราณจะใช้ผู้ชายแสดงล้วน และเริ่มมีผู้หญิงแสดงละครนอก ในสมัยรัชกาลที่ 2 แต่เป็นละครหลวง ผู้แสดงต้องเป็นคนแคล่วคล่องว่องไว มีไหวพริบปฏิภาณชำนาญทั้งรำและร้อง มีลูกคู่รับ หากเป็นบทเล่าหรือบรรยาย ลูกคู่จะร้อง และผู้แสดงต้องพูดเอง เล่นตลกเอง
•
ประวิติความเป็นมา
มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เป็นละครที่แสดงกันนอกราชธานี แต่เดิมคงมาจากการละเล่นพื้นเมือง และร้องแก้กัน เป็นละครที่พัฒนามาจากละครชาตรี
•
ดนตรีและเพลงร้อง
มักนิยมใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้า ก่อนการแสดงละครนอก ปี่พาทย์จะบรรเลงเพลงโหมโรงเย็น เป็นการเรียกคนดู
•
เรื่องที่แสดง
คือ ไชยเชษฐ์ สังข์ทอง คาวี
ไกรทอง สังข์ศิลปชัย ยกเว้น 3 เรื่องที่
ไม่แสดง คือ รามเกียรติ์ อิเหนา อุณรุท
(เพราะเป็นเรื่องที่แสดงละครใน)
ละครชาตรี
•
การแต่งกาย
ละครชาตรีแต่โบราณไม่สวมเสื้อ เพราะทุกตัวใช้ผู้ชายแสดง ส่วนการแต่งกายในสมัยปัจจุบันมักนิยมแต่งเครื่องละครสวยงาม เรียกตามภาษาชาวบ้านว่า
"เข้าเครื่องหรือยืนเครื่อง"
•
ดนตรี
วงดนตรีปี่พาทย์ที่ประกอบการแสดง มีปี่สำหรับทำทำนอง 1 โทน 2 กลองเล็ก (เรียกว่า "กลองชาตรี") 2 และฆ้อง 1 คู่
•
ผู้แสดง
ในสมัยโบราณจะใช้ผู้ชายแสดงล้วน มีตัวละครเพียง 3 ตัว คือ ตัวนายโรง ตัวนาง และตัวตลก แต่มาถึงยุคปัจจุบันมักนิยมใช้ผู้หญิงเป็นผู้แสดงเสียส่วนใหญ่
•
ประวัติความเป็นมา
เกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมาราชสำนักอยุธยานำลงไปสอนละครชาตรีที่ภาคใต้ ละครชาตรีได้เป็นที่นิยมแพร่หลายทางภาคใต้
•
เพลงร้อง
ในสมัยโบราณตัวละครมักเป็นผู้ด้นกลอน และร้องเป็นทำนองเพลงร่าย และปัจจุบันเพลงร้องมักมีคำว่า "ชาตรี" อยู่ด้วย เช่น ร่ายชาตรี ร่ายชาตรีกรับ ร่ายชาตรี รำชาตรี ชาตรีตะลุง
•
เรื่องที่แสดง
บทละครชาตรีที่นำมาจากบทละครนอก
(สำนวนชาวบ้าน) ได้แก่ ลักษณวงศ์ ตอนถวายพราหมณ์ถึงฆ่าพราหมณ์เกสร แก้วหน้าม้า ตะเพียนทอง สังข์ทอง ตอนกำเนิด
พระสังข์ วงษ์สวรรค์ - จันทวาท ตอนตรีสุริยาพบจินดาสมุทร โม่งป่า พระพิมพ์สวรรค์ สุวรรณหงส์
ละครไทยที่ปรับปรุงขึ้นมาใหม่
ละครดึกดำบรรพ์
•
ดนตรี
ใช้ปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ เพื่อความไพเราะนุ่มนวล โดยการผสมวงดนตรีขึ้นใหม่ และคัดเอาสิ่งที่มีเสียงแหลมเล็กหรือดังมากๆออกเหลือไว้แต่เสียงทุ้ม ทั้งเพิ่มเติมสิ่งที่เหมาะสมเข้ามา เช่น ฆ้องหุ่ยมี 7 ลูก 7 เสียง ต่อมาเรียกว่า "วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์"
•
เพลงร้อง
นำมาจากบทละคร โดยปรับปรุงหลายอย่าง คือ ตัดคำว่า "เมื่อนั้น" "บัดนั้น" เมื่อจะกล่าวถึงใครออก โดยให้ตัวละครรำใช้บทเพื่อให้เข้าใจว่าใครเป็นผู้พูด คัดเอาแต่บทเจรจาไว้ โดยยกบทเจรจามาร้องรำ ให้ตัวละครร้องโต้ตอบกันเอง ไม่มีบทที่กล่าวถึงกิริยาของตัวละครว่า จะนั่ง
จะเดินซ้ำอีก ทำให้ผู้แสดงไม่เคอะเขิน บรรยายภาพไว้ในบทร้อง ประกอบศิลปะการรำ เป็นต้น
•
การแต่งกาย
เหมือนอย่างละครในที่เรียกว่า "ยืนเครื่อง" นอกจากบางเรื่องที่ดัดแปลงเพื่อความเหมาะสม และให้ตรงกับความเป็นจริง
•
ผู้แสดง
ใช้ผู้หญิงล้วน ผู้ที่จะได้รับคัดเลือกให้แสดงละครดึกดำบรรพ์จะต้องมีความสามารถพิเศษด้วยคุณสมบัติ 2 ประการ คือ เป็นผู้ที่มีเสียงดี ขับร้องเพลงไทยได้ไพเราะและ เป็นผู้ที่มีรูปร่างงาม รำสวย ยิ่งผู้ที่จะแสดงเป็นตัวเอกของเรื่องด้วยแล้ว ต้องใช้ความพินิจพิเคราะห์อย่างมาก
•
ประวิติความเป็นมา
เป็นละครที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 กำเนิดขึ้น ณ บ้านเจ้าพระยาเทเวศร์ลงศ์วิวัฒน์ โดยแสดง ณ โรงละครที่ตั้งชื่อว่า "โรงละครดึกดำบรรพ์"
•
เรื่องที่แสดง
เรื่องสังข์ทอง คาวีตอนสามหึง อิเหนาตอนไหว้พระ สังข์ศิลป์ชัยภาคต้นกรุงพานชมทวีป รามเกียรติ์ อุณรุฑ มณีพิชัย ท้าวแสนปม พระเกียรติรถ เป็นต้น
ละครขับเสภา
•
ประวัติความเป็นมา
ละครเสภา เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ทรงปรับปรุงละครชนิดนี้ โดยนำการแสดงเสภารำมาผสมกับละครพันทาง ใช้การขับเสภาในการดำเนินเรื่อง
•
การแต่งกาย
แต่งตามท้องเรื่องเหมือนกับละครพันทาง
•
ผู้แสดง
นิยมใช้ผู้แสดงชายและหญิง ตามบทเสภาของเรื่อง
•
ดนตรีและคำร้อง
นิยมใช้วงปี่พาทย์เครื่องคู่ เพลงที่ใช้มีลักษณะคล้ายกับละครพันทางแต่มีการขับเสภาและขยับกรับประกอบการขับเสภาแทรกอยู่ในเรื่องตลอดเวลา มักขึ้นต้นบทกลอนว่า ครานั้น ปางนั้น
•
เรื่องที่แสดง
นำมาจากนิทานพื้นบ้าน นิยมแสดงเรื่องไกรทอง และขุนช้างขุนแผน
ละครพันทาง
•
ดนตรี
มักนิยมใช้วงปี่พาทย์ไม้นวม เรื่องใดที่มีท่ารำ เพลงร้อง และเพลงดนตรีของต่างชาติผสมอยู่ด้วย ก็จะเพิ่มเครื่องดนตรีอันเป็นสัญลักษณ์ของภาษานั้นๆ เรียกว่า "เครื่องภาษา" เข้าไปด้วยเช่น ภาษาจีนก็มีกลองจีน กลองต๊อก แต๋ว ฉาบใหญ่ ส่วนพม่าก็มีกลองยาวเพิ่มเติม เป็นต้น
•
ผู้แสดง
มักนิยมใช้ผู้แสดงชาย และหญิงแสดงตามบทบาทตัวละครที่ปรากฏในเรื่อง
•
ประวัติความเป็นมา
เกิดขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เช่นเดียวกันกับละครดึกดำบรรพ์ อันเป็นยุคที่วัฒนธรรมตะวันตก หลั่งไหลเข้ามาและมีอิทธิพลการปรับเปลี่ยนรูปแบบของการละครดั้งเดิม
•
การแต่งกาย
ไม่แต่งกายตามแบบละครรำทั่วไป แต่จะแต่งกายตามลักษณะเชื้อชาติ เช่น แสดงเกี่ยวกับเรื่องมอญ ก็จะแต่งแบบมอญ แสดงเกี่ยวกับเรื่องพม่า ก็จะแต่งแบบพม่า เป็นต้น
•
เรื่องที่แสดง
ส่วนมากดัดแปลงมาจากบทละครนอก เรื่องที่แต่งขึ้นในระยะหลังก็มี เช่น พระอภัยมณี เรื่องที่แต่งขึ้นจากพงศาวดารของไทยเอง และของชาติต่าง ๆ เช่น จีน แขก มอญ ลาว ได้แก่ เรื่องห้องสิน ตั้งฮั่น สามก๊ก ซุยถัง ราชาธิราช เป็นต้น นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องที่ปรับปรุงจากวรรณคดีเก่าแก่ของภาคเหนือ เช่น พระลอ
•
เพลงร้อง
ที่ใช้ร้องจะเป็นเพลงภาษา สำหรับเพลงภาษานั้นหมายถึงเพลงประเภทหนึ่งที่คณาจารย์ดุริยางคศิลปได้ประดิษฐ์ขึ้น จากการสังเกต และการศึกษาเพลงของชาติต่าง ๆ ว่ามีสำเนียงเช่นใด แล้วจึงแต่งเพลงภาษาขึ้นโดยใช้ทำนองแบบไทยแต่ดัดแปลงให้มีสำเนียงของภาษาของชาตินั้น ๆ หรืออาจจะนำสำเนียงของภาษานั้น ๆ มาแทรกไว้บ้าง เพื่อนำทางให้ผู้ฟังทราบว่า เป็นเพลงสำเนียงอะไร และได้ตั้งชื่อเพลงบอกภาษานั้น ๆ เช่น มอญดูดาว จีนเก็บบุปผา ลาวชมดง