Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
มารดา G3P1Ab1 GA 39 week Dx.Normal Labor, ่, - - Coggle Diagram
มารดา G3P1Ab1 GA 39 week
Dx.Normal Labor
ข้อมูลทั่วไป
มารดารอคลอด ชาวไทย อายุ 23 ปี ศาสนาพุทธ ไม่ได้ประกอบอาชีพ รายได้ 4,000 บาทต่อเดือน ที่อยู่ อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี
สามี ชาวไทย ศาสนาพุทธ ไม่ได้ประกอบอาชีพ รายได้ 5,000 บาทต่อเดือน ที่อยู่ อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี
อาการสำคัญ เจ็บครรภ์ ท้องแข็ง 4 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล
วันที่รับไว้ในการดูแล วันที่ 11 พฤศจิกายน 2566
ประวัติเจ็บป่วยในอดีต
เคยแท้งบุตรคนที่ 2 และได้รับการขูดมดลูก
ประวัติการฝากครรภ์
ฝากครรภ์คุณภาพครบ 5 ครั้ง ที่โรงพยาบาลบ้านหมี่ ANC ครั้งแรก GA 7+3 week by U/S HCT ครั้งที่ 1 36.5 % ครั้งที่ 2 32.1%
Risk
GDM
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 5 เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ Hypoglycemia
ข้อมูลสนับสนุน
O : ได้รับการวินิจฉัยเป็น GDMA1 ขณะตั้งครรภ์
O : BMI 27.91
O : OGTT 185,169,115,117
วัตถุประสงค์ ไม่เกิดภาวะ Hypoglycemia
เกณฑ์การประเมิน
1.ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะ Hypoglycemia เช่นกระหายน้ำมาก ดื่มน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะเวลากลางคืน อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย น้ำหนักลด ตามัว เริ่มซึมจนกระทั่งหมดสติ หรือบางรายอาจจะมีอาการชักกระตุกร่วมด้ว
2.สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ T=36.5 - 37.4 องศาเซลเซียส RR=18-20 ครั้งต่อนาที PR= 60-100 ครั้งต่อนาที BP=90/60-130/90 mmHg DTX = 70-126 %
ประเมินผล
1.ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะ Hypoglycemia เช่นกระหายน้ำมาก ดื่มน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะเวลากลางคืน อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย น้ำหนักลด ตามัว เริ่มซึมจนกระทั่งหมดสติ หรือบางรายอาจจะมีอาการชักกระตุกร่วมด้ว
2.สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ T=37.0 องศาเซลเซียส RR=20 ครั้งต่อนาที PR=88 ครั้งต่อนาที BP=118/70 mmHg DTX = 73 %
กิจกรรมการพยาบาล
1.ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะะ Hyperglycemia เช่นกระหายน้ำมาก ดื่มน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะเวลากลางคืน อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย น้ำหนักลด ตามัว เริ่มซึมจนกระทั่งหมดสติ หรือบางรายอาจจะมีอาการชักกระตุกร่วมด้วย เพื่อเฝ้าระวังภาวะ Hypoglycemia
2.แนะนำการควบคุมอาหาร เฉลี่ยควรได้พลังงานวันละ 1,800-2,000 kg kcal โดยได้แค่ คารโบไฮเดรต: ไขมัน: โปรตีน เป็นอัตราส่วนร้อยละ 50:30:20 แบ่งให้ 7 มื้อ คือ 3 มื้อหลัก (เช้า กลางวัน เย็น) อาหารว่าง 3 มื้อ และก่อนนอน 1 มื้อ โดยแบ่งสัดส่วนแคลอรี่ในแต่ละมื้ออย่างเหมาะสม หลีกเลี่ยง คาเฟอีน อาหารมัน อาหารรสจัด และแนะนำให้ดื่มน้ำระหว่างมื้ออาหารให้มากกว่าการดื่มน้ำขณะรับประทานอาหาร
3.การควบคุมน้ำหนักโดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ควรเลือกวิธีที่เหมาะสมและควรออกกำลังกายที่เน้นการกระตุ้นระบบหลอดเลือดและหัวใจ จะช่วยลดภาวะดื้ออินสุลิน ยกเว้นในรายที่มีข้อห้าม หรือหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายแบบหักโหม เพราะอาจเกิดภาวะ ketosis ได้ และขณะออกกำลังกายระวังการเกิดภาวะ hypoglycemia
4.ติดตามระดับน้ำตาลในเลือดทุก 4 ชั่วโมง เพื่อเฝ้าระวังภาวะ Hyperglycemia
5.ประเมิณสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อเฝ้าระวังอาการเปลี่ยนแปลง
ระยะที่ 1 ระยะ Latent Phase (ระยะที่Cervix dilate < 3 cm) active phase ที่ปากมดลูกเปิดตั้งแต่ 3 ซม. จนถึงปากมดลูกเปิด หมดและความก้าวหน้าของการถ่างขยายปากมดลูกในครรภ์แรก 1 ซม. / ชม. ในครรภ์หลัง 1.5 ซม. / ชม.
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลที่ 1 เจ็บครรภ์ เนื่องจากมดลูกหดรัดตัว
ข้อมูลสนับสนุน
S : "ปวดมากจะทนไม่ไหว เจ็บ"
O : เมื่อมดลูกหดรัดตัว หน้านิ่วคิ้วขมวดมีท่าทางบิดไปมา
O : มดลูกหดรัดตัวนาน 40-55 วินาที ทุก2-3 นาที ความรุนแรงระดับปานกลาง
เกณฑ์การประเมิน
2.อาการกระสับกระส่ายน้อยลง ผู้คลอดเข้าใจและปฏิบัติตามคําแนะนําได้ เมื่อมดลูกคลายตัว
เมื่อมดลูกหดรัดตัวผู้คลอดสามารถควบคุมความเจ็บปวดได้ โดยการใช้เทคนิคการหายใจ และการผ่อนคลาย
ประเมินผล
ผู้คลอดสามารถควบคุมความเจ็บปวดได้ โดยการใช้เทคนิคการหายใจ และการผ่อนคลาย
วัตถุประสงค์ สามารถเผชิญกบการเจ็บครรภ์ได้ตลอดระยะที่ 1 ของการคลอด
กิจกรรมการพยาบาล
1.อธิบายเพื่อทบทวนให้ผู้คลอดเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการคลอด รวมทั้งแผนการรักษาและการพยาบาล เพื่อให้เกิดความมันใจ และความรู้สึกปลอดภัยในการคลอด
2.ประเมินความเจ็บปวดโดยสังเกตจากสีหน้าท่าทางและใช้แบบประเมิน Pain score เพื่อประเมินอาการรุนแรงของการเจ็บปวด
3.จัดท่านอนให้ผู้คลอดรู้สึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อมากที่สุด โดยให้นอนตะแคงซ้ายใช้หมอนรองรับตามข้อต่างๆ เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงมดลูกได้มากขึ้น
ประคับประคองทางด้านจิตใจ โดยอยูใกล้ชิดให้กาลังใจผู้คลอดด้วยการพูดปลอบโยนแสดงความเห็นใจในความเจ็บปวดที่กาลังเผชิญอยู่ เพื่อให้ผู้คลอดเกิดกำลังใจที่จะต่อสู้กับความเจ็บปวดได้
ให้ผู้คลอดได้รับความสุขสบาย ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ โดยดูแลและช่วยเหลือโดยให้ผู้คลอด รักษาความสะอาดช่องปาก โดยให้บ้วนปากด้วยนํ้าสะอาดบ่อยๆเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สะอาด ทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์ และจัดสะภาพแวดล้อมให้สะอาด สงบ เพื่อช่วยให้ผู้คลอดลดความเครียดทําให้สุขสบายขึ้น
ส่งเสริมให้มีการผ่อนคลาย โดยการฝึกเทคนิคการหายใจและการผ่อนคลายเทคนิคการหายใจ-ให้ผู้คลอดนอนตะแคงซ้าย มีหมอนรองรับตามข้อต่อต่างๆ เพงมองที่จุดใดจุดหนึ่งขณะที่มดลูกเริ่มมีการหดรัดตัว หายใจเข้าลึกๆทางจมูกช้าๆและผ่อนลมหายใจออกทางปาก ่ ช้าๆ เมื่อมดลูกหดรัดตัวเต็มที่ เปลี่ยนเป็นหายใจแบบตื้นเร็วๆ เบาๆ ไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่า่มดลูกคลายตัวแล้วจึงกลับหายใจแบบช้าอีก
7.อธิบายให้สามีของผู้คลอดทราบวา ผู้คลอดอยู ่ ในระยะปากมดลูกเปิ ดเร็ว มดลูกมีการหดรัดตัวถี่ผู้คลอดทนต่อความเจ็บปวดได้น้อยจึงมีเสียงร้องครวญครางบ้าง เพราะท่าทีของสามีอาจทำให้ผู้คลอดเครียด เพื่อให้สามีของผู้คลอดเข้าใจ
ระยะที่ 2 ปากมดลูกเปิดหมดจนถึงเด็กคลอด
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 2 ระยะคลอด
ข้อมูลสนับสนุน
O : Cx.10 cm. 100% MR 0
เกณฑ์การประเมิน
มารดาและทารกปลอดภัยในระยะคลอด
ประเมินผล
มารดาและทารกปลอดภัยในระยะคลอด
วัตถุประสงค์ ไม่เกิดอันตรายต่อมารดาและทารกในระยะคลอด
กิจกรรมการพยาบาล
2.ดูแลช่วยทำคลอดศรีษะ โดยใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางของมือข้างที่ไม่ถนัดกดบริเวณใต้ท้ายทอยของศีรษะทารกไว้เพื่อไมให้เงยศีรษะเร็วเกินกว่ากำหนดเพื่อป้องกันการฉีกขาดของท่อปัสสาวะ ส่วนมือข้างที่ถนัด จับ
ผ้าsafe perineum วางที่กันแผลผีเย็บ โดยรวบเนื้อและผิวหนังบริเวณฝีเย็บไว้และยันเพื่อให้ศีรษะทารกเงยขึ้นเมื่อเส้นผ่าศูนย์กลาง SOB ของส่วนนำผ่านออกมาแล้วมือข้างที่ไม่ถนัดให้เปลี่ยนจากที่กดบริเวณใต้ท้ายทอยมาโกยศีรษะบริเวณเหนือฝีเย็บให้เงยขึ้นเมื่อศีรษะทารกผ่านพ้นช่องคลอดห้ทิ้งผ้า safe perineum ลงถังขยะ ให้ผู้คลอดหยุดเบ่งเช็ดตาทารก
3.ช่วยหมุนศีรษะขณะ Restitution และexternal rotationภายหลังศีรษะคลอดไหล่จะมีการหมุนภายในพร้อมๆกับการหมุนของศีรษะภายนอกโดยจะหมุนมาข้างหน้า ในทิศทางตามเข็มนาฬิกา 45องศา ( กรณีท่าLOA)และทวนเข็มนาฬิกา 4 องศา( กรณีท่าROA)
ผู้ทำคลอดcear air wav ทางเดินหายใจทารกโดยดูดมูกในปากจมูกและลำคอเด็กด้วยลูกสูบยางตรวจดูว่าสายสะดือพันคอหรือไม่ถ้าพันคอรอบเดียวไม่แน่นมาก ให้จับสายสะดือผ่านพ้นศีรษะทารกถ้าพันคอสองรอบ ให้ artery 2 ตัว clamp cord ใช้กรรไกรตัดสายสะดือแยกจากกัน เพื่อไม่ให้รัดคอทารก
2.หมุนศีรษะทารกตามเข็มนาฬิกาต่อไปอีก45 องศา จะทำให้ศีรษะทารกอยู่ในแนวขวางดยท้ายทอยอยู่ทางช้ายของผู้คลอด หรือท่าLOT ( ท่า LOAในระยะก่อนคลอด ) ไหล่หน้าท่ารกจะลงมายันใต้รอยต่อกระดูกหัวเหน่า
1.จัดท่านอนนอนหงาย ชันเข่าทั้งสองข้างขึ้น และให้เบ่ง ตอนท้องแข็ง เพื่อให้การเบ่งคลอดแบบมีประสิทธิภาพ
4.จะเตรียมยา syntocinon 10 unit เพื่อฉีดเข้ากล้ามเนื้อที่หัวไหล่ของมารดา เพื่อป้องกันการตกเลือดหลังคลอด วิธีทำคลอดไหล่และลำตัวทารก และตัดสายสะดือ โดย
1.ใช้ฝ่ามือทั้ง2ข้างจับบริเวณขมับทารกทั้ง2ข้างแล้วโน้มศีรษะ
ทารกลงข้างล่างตามทิศทางของช่องเชิงกราน เมื่อไหล่บนเคลื่อนลงมาจนเห็นซอกรักแร้ ให้ช่วยคลอดใหล่ล่างโดยโน้มศีรษะทารกขึ้นประมาณ 45 องศากับแนวดิ่ง
2.เปลี่ยนมือที่จับบริเวณขมับทารกด้านบนมารองรับลำตัวแทน แล้วลูบไปตามสีข้างลำตัวจนจับขาทั้งสองข้าง นิ้วที่เหลือรวบข้อเท้าไว้วางทารกไว้ตามขวางโดยด้านหลังเข้าหาช่องคลอด จับตะแคงหน้า ดูดมูกในปาก จมูกอีกครั้ง และกระตุ้นให้ทารกร้อง โดยเช็ดตัวให้แห้ง
5.ใช้ cord clamp ตัวแรกที่คล้องยางรัดสายสะดือ คีบที่สายสะดือห่างจากหน้าท้องทารกประมาณ 2 เชนติเมตรีบห่างจาก cord clamp ตัวแรกประมาณ 3 เซนติเมตรูโดยให้รีดสายสะดือก่อน clampตัวที่2 วางสายละดือบนนิ้อกลางและนิ้วนางของมือข้างที่ไม่ถนัด ส่วนนิ้วชี้และนิ้วก้อยให้วางทับบนสายสะดือ สอดสำลีซุบ providine2.5 %ไว้ใต้สายสะดือตรงตำแหน่งที่จะตัดอที่ถนัดถือกรรไกตัด cord โดยหันปลายกรรไกร เข้าหาอุ้งมือพร้อมกำมือไว้ขณะตัด เพื่อมิให้ตัดเอานิ้วมือทารกที่เคลื่อนไหวไปมาวรตัดให้ห่างจาก cord clamp ตัวแรก 1 เชนติเมตร เมื่อตัดเสร็จให้วางสายสะดือด้านที่มี cord clamp ตัวที่2 างพาดบนหน้าท้อง จากนั้นวางสายสะดือที่มี cord clamp ตัวแรก บนมือข้างที่ไม่ถนัด แล้วมือข้างที่ถนัดจับ forceps ไม่มีเขี้ยว เกี่ยวยางรัดcord ไปบนสายสะดือ ปลด cord clamp บีบสายสะดือเพื่อตรวจสอบว่ามีเลือดออกมาหรือไม่ช็ดทำความสะอาดสายสะดืออีกครั้ง ยกทารกให้ผู้คลอดดูหน้าและเพศ ก่อนส่งทารกให้กับผู้รับเด็ก.
ระยะที่ 4 ของการคลอด: หลังรกคลอดจนถึง 2ชั่วโมงแรกหลังคลอด
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 4 เสี่ยงต่อการตกเลือด เนื่องจากมีแผลที่โพรงมดลูก
ข้อมูลสนันสนุน
O : boold loss 150 cc
O : มีประวัติเคยแท้งขูดมดลูก
O : มารดา G3P1Ab1
เกณฑ์การประเมิน
1.ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะตกเลือดหลังคลอด เช่น หน้ามืดใจสั่น
2.มี Blood loss ออกมากกว่า 500 cc
3.สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ T=36.5-37.4 องศาเซลเซียส RR=18-20 ครั้งต่อนาที PR=60-100 ครั้งต่อนาที BP=90/60-130/90 mmHg
ประเมินผล
2.มี Blood loss ออก 120 cc
2.สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ T=37.0 องศาเซลเซียส RR=20 ครั้งต่อนาที PR=88 ครั้งต่อนาที BP=118/70 mmHg DTX = 73 %
1.ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะตกเลือดหลังคลอด เช่น หน้ามืดใจสั่น
วัตถุประสงค์ ไม่เกิดการตกเลือดหลังคลอด
กิจกรรมการพยาบาล
1.ประเมินอาการและอาการแสดงของการตกเลือดหลังคลอด เช่น หน้ามืด ใจสั่น ชีพจรเต้นเร็ว ฺBlood loss ออกมามากกว่า 500 cc เพื่อเฝ้าระวังภาวะตกเลือดหลังคลอด
2.แนะนำให้คลึงมอดลูกให้แข็ง เพื่อป้องกันการตกเลือดหลังคลอด
3.แนะนำให้สังเกตสีของน้ำคาวปลาและกลิ่น หากมีกลิ่นหรือแผลไม่จางลงให้รายงานแพทย์ทันที เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนหลังคลอด
4.ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อเฝ้าระวังภาวะร่างกายเปลี่ยนแปลง
5.แนะนำไม่ให้ยกของหนัก หลีกเลี่ยงการทำกิจกกรมที่ต้องใช้แรงมาก เพื่อป้องกันการตกเลือดหลังคลอด
ระยะที่ 3 ทารกคลอดจนถึงรกคลอด
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่3 ระยะคลอดรก
ข้อมูลสนับสนุน
O : ทารกคลอดเวลา 06.10 น.
O : ไม่พบ Vulva sign
O : มดลูกแบนไปทางด้านขวาระดับสะดือ
O : ทำ Cord test ไม่มีสายสะดือเคลื่อนตาม
O : Cord เหี่ยวเกลียวคลาย คลำชีพจรไม่ได้
วัตถุประสงค์ รกลอกตัวสมบูรณ์
เกณฑ์การประเมิน
1.Uterine sign มดลูกกลมแข็งลอยตัวไปทางด้านขวา
2.Valva sign ไม่มีเลือดออกทางช่องคลอดขณะทำคลอดรก
3.Cord sign สายสะดือไม่เคลื่อนตาม เหี่ยว คลายเกลียว คลำชีพจรไม่ได้
ประเมินผล
1.Uterine sign มดลูกกลมแข็งลอยตัวไปทางด้านขวา
2.Valva sign ไม่มีเลือดออกทางช่องคลอดขณะทำคลอดรก
3.Cord sign สายสะดือไม่เคลื่อนตาม เหี่ยว คลายเกลียว คลำชีพจรไม่ได้
กิจกรรมการพยาบาล
1.ตรวจสอบ sign การลอกตัวของรก ได้แก่ 1.Uterine sign 2.valva sign 3.Cord sign เพื่อประเมินการลอกตัวของรก
2.ทำคลอดรกกด้วยวิธี Modified Crede Maneuver โดยผู้ทำคลอดใช้มือขวาจับยอดมดลูกคลึงมดลูกให้แข็งตัวจับมดลูกให้มาอยู่กลางหน้าท้อง ใช้อุ้งมือดันมดลูกส่วนบน ลงมาหาปุ้มกระดูก Sacrum เมื่อรกผ่านช่องคลอดแล้ว 2/3 ของรก ใช้มือซ้ายรองรับรกไว้หมุนไปทางเดียวกัน เพื่อให้เยื่อหุ้มเด็กลอกตัวได้ดี ส่วนมือขวาที่ดันยอดมดลูกให้เปลี่ยนมากดตรงหัวเหน่าดันมดลูกขึ้นไปเพื่อช่วยให้เยื่อหุ้มทารกคลอดออกมา
3.ตรวจสอบรก เพื่อหาความผิดปกติหรือไม่ โดย
1.ตรวจสอบลักษระของรกว่า สักษณะกลมแบน หรืออาจเป็นมี กว้าง 15-20 cm และมีความหนาประมาณ 2-3 cm มีน้ำหนักประมาณ 500 กรัมหรือประมาณ 1/6-1/5 ของน้ำหนักตัวทารก
2.ตรวจสอบสายสะดือ
ยาวประมาณ 35-75 cm. โดยเฉลี่ย 50 cm. บิดเป็นเกลียว
มีเส้นเลือด 3 เส้น คือ Vein 1 เส้น Atrery 2 เส้น
Wharton jellyuขึ้นเป็นปม เรียกว่า false vascularknot
true knot สายสะดือผูกกันเป็นปม เหมือนผูกด้ายหหาจิ้น false knot
tue not
3.ตรวจดูการเกาะของสายสะดือ
Insertio centralis หรืe Central insertion เกาะอยู่ chorionic plate
Insertio lateralis หรือ Iateral insertion ติดค่อน เอียงไปทางด้านใดด้านหนึ่ง
Insertio marginails หรืง Marginal insertion จะติดอยู่ขอบรก
Inserto velamentosa หรือ Membrane Intertion จะติดอ(บริเวณเยื่อหุ้มทารกชั้นเยื่อหุ้มรกและมีแขนงเส้นเลือดทอดต่อไปถึง chodonic plate อีกทีหนึ่ง
4.ตรวจสอบรกด้านทารก (Fetal surtace) มีสีเทาอ่อน และเป็นมันเห็นเส้นเลือดเป็นเส้นผ่านออกจากบริเวณที่เกาะของสายสะดือ เป็นรัศมีแต่จะไปสิ้นสดที่ประมาณ 1-2 cm. ห่างจากชอบรก และที่ชอบของ chorionic plate อาจเป็นวงสีขาวโดยรอบเรียกว่า closing ring of wrinkle-waideyer
เยื่อหุ้มทารก (Fetal membranes) เยื่อที่นุ้มทารกในครรภ์มี 2 ชั้น คือ
ชั้นนอกกมีลักษณะไม่ใส่ ไม่เรียบ ฉีกขาดง่ายซึ่งอาจจะหลุดค้างในมดลูกในการตรวจรกต้องตรวจชั้น chorion
-ชั้น amnion คือ เยื่อหุ้มทารกชั้นใน เป็นเยื่อที่ห่อหุ้มทารก สายสะดือและน้ำคร่ำไวัติดอยู่กับทารกทางด้านทารก หรือด้าน chorionic plate สามารถลอn amnion แยกออกจาn Choron 4โดยตลอดมีลักษณะ มีสีขาวขุ่น และเหนียวมากแต่บางและใสกว่า
การตรวจเยื่อหุ้มทารก
ดูรอยแตกแยก ปกติจะห่างจากรกไม่น้อยกว่า 7 cm ดูสัดส่วนของเยื่อหุ้มทารกทั้งสองชั้นว่าสมคลกันหรือไม่ดูขนาดของเยื่อหุ้มทารก ว่ามีสัดส่วนสมดุลกับขนาดของตัวทารกหรือไม่
6.รกด้านมารดา (Maternal surface)
-Coltyedon ควรจะแนบชิดเข้าหากัน และปกติจะมีประมาณ 15-20 cotyedon และตรวจดูสีผิว
-ตรวจดู Infarction เนื้อตายของรก รกเสื่อมสภาพ อาจเปื่อยและขาดได้ง่าย
ตรวจดู calcification ก้อนๆ สีขาวและแข็งติดอยู่
.
ตรวจดูรกที่ผิดปกติ
1.Placenta velamentosa มีการเกาะของสายสะคือเกาะอยู่บนเยื่อหุ้มทารกชั้น Chorion และมีแขนงของเส้นเลือดจากสายสะดือทอดต่อไปถึง Chorionic plate อีกทีหนึ่ง
Placenta sudcertunata คือรกที่มีรกน้อย (Assessory placenta) ร่วมกับมีเส้นเลือดติดต่อระหว่างรกใหญ่และรกน้อยไว้ด้วยกัน
3.3.Placenta spuhum คือรกที่มีน้อยด้วยอีกอันหนึ่ง แต่ ที่นม่มีเส้นเลือดเชื่อมระหว่างรกใหญ่และน้อย
4.Placenta membrahacea คือการที่มีรกลักษณะแผ่กว้างใหญ่กว่าปกติแต่จะบางกว่าปกติมาก รกชนิดนี้ให้การลอกตัวเป็นไปไม่ให้ดีและมักมีการค้างของรกเกิดขึ้น
5 Pacenta clitumlalate คือ รกที่มี Chorionic plate เล็กกว่าปกติ
ข้อวินิจฉัยพยาบาลข้อที่ 6 อาจเกิดอุณหภูมิร่างการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากศูนย์ควบคุมอุณหภูมิร่างกายยังไม่สมบูรณ์
ข้อมูลสนับสนุน
O : อุณหภูมิ 36.7 องศาเซลเซียส
O : ทารกแรกเกิด 2 ชั่วโมง
เกณฑ์การประเมิน
1.อุณหภูมิร่างกายอยู่ในเกณฑ์ปกติ อยู่ในช่วง 36.5-37.4 องศาเซลเซียส
2.ไม่เกิดภาวะ Hypothermia เช่น ผิวเย็นซีด คล้ำ ซึม ดูดนมช้า ดูดนมน้อยลงน้ำหนักลดลง ปัสสาวะลดลง อาเจียน หรืออาจหยุดหายใจ
1.อุณหภูมิร่างกายอยู่ในเกณฑ์ปกติ อยู่ในช่วง 36.8 องศาเซลเซียส
2.ไม่มีภาวะ Hypothermia เช่น ผิวเย็นซีด คล้ำ ซึม ดูดนมช้า ดูดนมน้อยลงน้ำหนักลดลง ปัสสาวะลดลง อาเจียน หรืออาจหยุดหายใจ
ประเมินผล
วัตถุประสงค์ ไม่เกิดภาวะ Hypothermia
กิจกรรมการพยาบาล
2.สังเกตอาการของภาวะ Hyperthermia เช่น ผิวหนังแดง ร้อน อุณหภูมิ 37.4 องศาเซลเซียสเป็นต้นไป เพื่อเฝ้าระวังภาวะ Hyperthermia
ประเมินสัญญาณชีพทุก 1 ชั่วโมง เพื่อเฝ้าระวังภาวะ Hypothermia
1.ประเมินอาการของภาวะ Hypothermia เช่น ผิวซีด คล้ำ ซึม ดูดนมช้า ดูดนมน้อยลงน้ำหนักลดลง ปัสสาวะลดลง อาเจียน หรืออาจหยุดหายใจ เพื่อเฝ้าระวังภาวะ Hypothermia
4.keep warm เพื่อรักษาอุณหภูมิร่างกาย
5.ดูแลให้ผิวหนังของทารกแห้งอยู่เสมอ ควรเปลี่ยนผ้าอ้อมทันทีที่ทารกอุจจาระหรือปัสสาวะ เพื่อป้องกันการสูญเสียความร้อนจากการระเหย
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 7 เสี่ยงต่อการติดเชื้อในร่างกาย เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันร่างกายยังไม่สมบูรณ์
ข้อมูลสนับสนุน
O : ทารกคลอดผ่านทางช่องคลอดของมารดา
O : อุณหภูมิกายทารก 36.7 องศาเซลเซียส
O : ทารกแรกเกิด 2 ชั่วโมง
เกณฑ์การประเมิน
1.ไม่มีอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ เช่น ซึม มีไข้ ตัวเย็น น้ำหนักลด ดูดนมไม่ดี ร้องกวน หายใจเร็ว หอบเหนื่อย
2.สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ T=36.5-37.4 c RR=40-60 bpm PR=120-160 bpm O2sat=96-100%
ประเมินผล
1.ทารกไม่มีอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ เช่น ซึม มีไข้ ตัวเย็น น้ำหนักลด ดูดนมไม่ดี ร้องกวน หายใจเร็ว หอบเหนื่อย
2.สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ T=36.8 c RR=44 bpm PR=144 bpm O2sat=100%
วัตถุประสงค์ ไม่เกิดการติดเชื้อในร่างกาย
กิจกรรมการพยาบาล
1.ดูแลป้ายยา Terramycin ointment ตามแผนการรักษา เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด
2.ประเมินอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ เช่น ซึม มีไข้ ตัวเย็น น้ำหนักลด ดูดนมไม่ดี ร้องกวน หายใจเร็ว หอบเหนื่อย เพื่อเฝ้าระวังการติดเชื้อ
3.ล้างมือทุกครั้งเมื่อให้การพยาบาลทารก เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
4.ประเมินสัญญาณชีพทุก 15 นาที 4 ครั้ง 30 นาที 2 ครั้งและ 1 ชั่วโมง 1 ครั้ง เพื่อเฝ้าระวังอาการเปลี่ยนแปลง
5.ดูแลสิ่งแวดล้อมให้สะอาด เครื่องมือและสิ่งของที่ใช้กับทารกต้องผ่านการฆ่าเชื้อ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
่
-