Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

กรณีศึกษา, นางสาวชลธิชา ขานมา 65110119-8 - Coggle Diagram

- - - - RBC= 3.75 mill/cu.mm, HGB= 10.0 g/dl, HCT= 30.4 mg%, PLT count= 180000ul, WBC=17,700 ul
    - - SGOT= 48u/l , SGPT= 50 u/l , TB= 0.54mg/dl, DB=0.15 mg/ dl, Alb= 3.2 g/dl, Alk Phos=124
    - - BUN= 84 mg/dl , Creatinine= 8.32mg/dl,eGFR= 16.6
    - - PT= 13.8 sec , PTT 33.4 sec, INR= 1.21
    - - (Sputum gram strain, Sputum Culture, UA, Urine culture)Sputum gram strain: Normal Flora, Sputum Culture):รอผล
    - - Sodium=134 mmol/L, K=3.4 mmol/L, Cl= 98.8mmol/L, total CO2= 24.8 mmol/L
  - - - ต้นตอของไวรัสน่าจะมาจาการที่ไวรัสจากสัตว์ตัวกลางระบาดมาสู่คน
    - - มีไข้สูงตั้งแต่37.5องศาเซลเวียสขึ้นไป
      - ปวดศีรษะ
      - แสบคอ เจ็บคอ
      - คลื่นไส้ อาเจียน
      - อ่อนเพลีย
      - สูญเสียการรับรสและได้กลิ่น
      - มีอาการของระบบหายใจและอาการอื่นๆร่วมด้วย
    - - ประเมินและติดตามสอบถามอาการปวดศีรษะและอาการอื่นๆ
      - แนะนำให้นอนพักเมื่อมีอาการปวดศีรษะและดูแลให้ยาแก้ปวดตามอาการ
      - แนะนำการดื่มน้ำบ่อยๆ บรรเทาอาการไอ เจ็บคอ
      - รับประทานยา bromhexine pseudoephedrineและchlopheniramineอย่างละ1เม็ด3เวลา หลังอาหาร เพื่อบรรเทาอาการไอ
      - ส่งตรวจChest X-rayและติดตามผลอ่าน เพื่อรายงานแพทย์
      - ดูแลให้รับประทานยาLopinavir/Ritonavir(200/50g.)2เม็ดห่างกัน12ชั่วโมง
      - ให้ความรู้ความเข้าใจกับผู้ป่วยเรื่องของอาการของโรคและระยะเวลาการรักษาเฝ้าระวังอาการ
- - - - การรักษา
        
        1.CXR
        
        Lab CBC, Electrolyte, LFT, RFT, Covid-19 PCR, PT, PTT, INR, LFT, RFT
        
        V/S, sPO2 monitoring,
        
        Work up sepsis as protocol--à (Sputum gram strain,Sputum Culture,UA,Urine culture if body temp.>37.9องศาเซลเซียสplease take Hemo culture x 2 spp
        
        On Oxygen Canular 2 Lite per min
        
        Admit Regular ward.
        
        Consult Nephrologist, Chest Med เดิมร่วมรักษา
        
        Medication
        
        Cef-3 (2gm) + 0.9% NSS 100 ml IV drip stat, then start ATB Cef-3 (1gm) IV Daily.
        
        On 0.9% NSS IV drip 80 ml/hr.
        
        On ยาเพิมตามแผนการระกษา (Berodual inhaler 1-2 puff NB สูดดม prn. เวลาหอบเหนื่อย ทุก 4-6 hours
        
        FBC 1 tab per oral daily pc morning, furosemide (500) 1⁄2 tab x2 po pc)
- - - - พยาธิสภาพ:เมื่อหลอดลมมีการระคายเคืองผู้ป่วยจะมีอาการไอ กลไกการหลั่งน้ำมูกจะทำงานมากขึ้น ทำให้มีเสมหะมากขึ้น เหนียวและมีสีเหลืองหรือเขียว การระคายเคืองอย่างเรื้อรังทำให้ระบบการป้องกันการติดเชื้อในหลอดลมเสื่อมลงเกิดการติดเชื้อได้ง่าย ผนังของหลอดลมที่บวมและเสมหะในหลอดลมร่วมกับต่อมใต้เยื่อบุที่โตขึ้นทำให้ท่อของหลอดลมเล็กลง การหายใจจึงใช้แรงมากขึ้นกว่าเดิม ผนังของหลอดลมที่ถูกทำลายไปจะอ่อนแอลงทำให้หลอดลมตีบ ปอดที่พองจะมีความยืดหยุ่นลดลงมีอากาศค้างอยู่มาก จึงไปกดหลอดลมทำให้แคบลง การระบายอากาศในปอดไม่ทั่วถึง ทำให้ออกซิเจนในหลอดเลือดแดงต่ำ เกิดหัวใจข้างขวาล้มเหลว เมื่อร่างกายขาดออกซิเจนไตจะปล่อยErythropoietinไปกระตุ้นไขกระดุกให้สร้างเม้ดเลือดแดงมากขึ้น เลือดมีความหนืดมากขึ้น ผลจากการระบายอากาศในปอดไม่ทั่วถึงอีกประการหนึ่งคือ เกิดคาร์บอนไดออกไซด์คั่ง ทำให้เลือดเป็นกรดเป็นผลให้หลอดเลือดในปอดหดตัวความดันในปอดสูง เกิดภาสะหัวใจห้องขวาล้มเหลว(cor pulmonale)
        
        COPD on Med with follow-up every 3 month
      - อาการและอาการแสดงโรคCOPD
        
        กลุ่มหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ระยะแรกอาจยังไม่มีอาการผิดปกติต่ิมาจะมีอาการไอมากขึ้น ไอมีเสมหะเป็นมูกเหนียวหรือเป็นหนอง อาการมักเป็นมากช่วงเช้าหรืออากาศหนาว ถ้าเป็นมานานจะพบมีภาวะหัวใจห้องล่างขวาล้มเหลว โดยมีหลอดเลือดดำที่คอโป่งพอง ขาบวมและอื่นๆเช่น น้ำหนักลด ท้องอืด
        
        กลุ่มถุงลมโป่งพอง ระยะแรกอาจไม่มีอาการ ต่อมาจึงเริ่มมีอาการเหนื่อยหอบและเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ อาการไอมากมักมีเสมหะนำมาก่อน หายใจมีเสียงwheezeขณะหายใจออก หายใจลำบากเรื้อรังเป็นเดือนเป็นปี ลักษณะทรวงอกคล้ายถังเบียร์
      - สาเหตุโรคCOPD
        
        ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น ผู้ที่มีอาการหอบหืดแล้วสูบบุหรี่ร่วมด้วย อายุที่มากขึ้นยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น เด็กที่คลอดก่อนกำหนดมีโอกาสเสี่ยงกว่าเด็กทั่วไป
        
        โรคทางพันธุกรรม เช่น โรคที่เกิดจากการขาดอัลฟ่า 1 (Alpha-1-Antitrypsin Deficiency) ซึ่งเป็นเอนไซม์นี้เป็นเอนไซม์ที่ผลิตในตับและส่งไปยังปอดเพื่อป้องกันไม่ให้ปอดถูกทำลาย
        
        มลพิษทางอากาศ เช่น ฝุ่นละออง ควันเสีย รวมถึงการหายใจนำสารเคมีเป็นพิษเข้าไปเป็นเวลานาน
        
        การสูบบุหรี่ หรือแม้แต่ผู้ที่ไม่ได้สูบบุหรี่แต่รับควันบุหรี่เป็นจำนวนมาก ซึ่งสาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย เนื่องจากควันบุหรี่มีสารเคมีมากกว่า 4000 ชนิดซึ่งทำให้เกิดความระคายเคืองต่อปอดจนนำไปสู่การอักเสบเรื้อรัง
      - การพยาบาลCOPD
        
        จัดท่าให้ผู้ป่วยหายใจได้สะดวกเช่น จัดให้นอนท่าศีรษะสูงHigh fowler's positionหรือท่านั่งคร่อมโต๊ะคร่อมเตียง
        
        ดูแลได้รับออกซิเจนในอัตราการไหล1-3ลิตรต่อนาที
        
        ดูแลให้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ
        
        ให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารให้เพียงพอเพื่อป้องกันภาวะทุพโภชนาการ
        
        ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาพ่นตามแผนการรักษา
        
        แนะนำให้ผู้ป่วยเลิกสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงผู้ที่สูบบุหรี่
      - การรักษาCOPD
        
        1.การดูแลรักษาในระยะอาการกำเริบปัจจุบันในโรงพยาบาล(Inpatient management of COPD)
        
        1.1การให้ยาขยายหลอดลม
        
        1.2การให้ยาต้านจุลชีพ
        
        1.3การกำจัดเสมหะได้แก่ การทำกายภาพ การดูดเสมหะ
        
        1.4การให้ออกซิเจนได้แก่ การให้ออกซิเจนทางจมูก(cannula) การให้อออกซิเจนแบบหน้ากาก(face mask)
        
        1.5การใช้เครื่องช่วยหายใจ(assits ventilation)
        
        2.การดูแลรักษาระยะยาวที่บ้าน(OUTpatient management of COPD)
        
        2.1ป้องกันการดำเนินต่อไปของโรคได้แก่ การให้คำแนะนำในการเลิกบุหรี่โดยเด็ดขาด อยู่ในสถานที่ที่อากาศถ่ายเทปราศจากมลพิษและฝุ่นละออง
        
        2.2ลดการอุดกั้นของทางเดินหายใจโดยการรักษาทางยาได้แก่ ยาขยายหลอดลมเช่น ventolin,Bricanylยากลุ่มCorticosteroidsเช่นPrednisolone,Dexamethasoneยากลุ่มMucokineticเช่นBisolvon
        
        2.3การรักษและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นได้แก่ การป้องกันและรักษาการติดเชื้อ การป้องกันPulmonary emboli เลือดออกในทางเดินอาหาร การเกิดแผลจากภาวะเครียด การให้ออกซิเจนระยะยาว
    - - สาเหตุ
        
        โรคโลหิตจางทางพันธุกรรมที่เกิดจากการความบกพร่องในการสังเคราะห์ฮีโมโกลบิน ในเซลล์เม็ดเลือดแดง ส่งผลให้เกิดความผิดปกติในเม็ดเลือดแดง ทําให้ผลิตเม็ดเลือดแดงได้น้อย มีเม็ดเลือดแดงที่อายุสั้นและแตกง่าย และทําให้ขาดเม็ดเลือดแดงที่ทําหน้าที่ลําเลียงออกซิเจน ไปเล้ียงส่วนต่าง ๆของร่างกาย ธาลัสซีเมียทําให้เกิดภาวะโลหิตจางเร้ือรัง (Anemia) อ่อนเพลีย ภาวะซีดจาง และภาวะแทรกซ้อนอ่ืน ๆ ธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงสามารถรักษาได้ด้วยการถ่ายเลือด การปลูกถ่ายไขกระดูก และการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกําเนิด หรือสเต็มเซลล์
      - การพยาบาล
        
        1.กินอาหารให้ครบทั้ง5หมู่ เน้นทานผัก ผลไม้ ไข่ นมหรือน้ำนมถั่วเหลือง
        
        2.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงเช่น เลือด ตับ เครื่องในสัตว์
        
        3.ออกกำลังกายเบาๆ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
        
        4.หลีกเลี่ยงการทำงานหนักหรือการเล่นกีฬาที่หักโหมรุนแรง
    - - สาเหตุ
        
        แต่เดิมพบว่ามีสาเหตุจากโรคหลอดเลือดฝอยไตอักเสบเรื้อรังchronic glomerulonephritisมากที่สุด ในปัจจุบันพบว่าผู้ป่วยโรคไตที่เข้าสู่โรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายมีสาเหตุจากโรคเบาหวานdiabetic kidney disease มากที่สุด รองลงมาเป็นโรคไตจากความดันโลหิตสูงhypertensive nephrosclerosisและchronic glomerulonephritis
        
        -โรคไตอักเสบเรื้อรังจากการติดเชื้อchronic pyelonephritis
        
        -โรคไตจากเก๊าต์gouty nephropathy
        
        -โรคไตจากการกินยาแก้ปวดต่อเนื่องเป็นเวลานานๆchronic analgesic nephropathy
        
        -โรคถุงน้ำในไตที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม autosomal dominant polycytic kidney disease ADPKD
        
        โรคนิ่วในไต renal disease/nephrolithiasis
      - พยาธิสภาพ:ผู้ป่วยโรคไตเรื้องรังมักเป็นโรคที่ซ่อนเร้นอาการในระยะแรก ผู้ป่วยอาจจะสังเกตเห็นว่ามีสุขภาพอ่อนแอลง กินอาหารได้น้อยลง มีอาการซีด เหนื่อย มีอาการเซื่องซึม อ่อนเพลีย มึนงง นอนไม่หลับ คันตามร่างกาย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ความรู้สึกรับรสของลิ้นเปลี่ยนไป ชาปลายมือปลายเท้า รู้สึกหนาวง่าย ปวดแสบปวดร้อรบริเวณเท้า ปวดศีรษะหรือพูดไม่ชัด
      - การพยาบาล
        
        วัดสัญาณชีพทุก5นาที จนกระทั่งคงที่ถ้ามีความดันเลือดสูงมากกว่า160/100 mmHgให้ยดความดันเลือดตามแผนการรักษา
        
        ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาบดความดันโลหิตและยาขับปัสสาวะตามแผนการรักษา
        
        ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับสารน้ำครบตามแผนการรักษา พร้อมกับจดบันทึกจำนวนน้ำที่ผู้ป่วยได้รับและขับออกในแต่ละวัน
        
        สังเกตอาการผิดปกติอันมีสาเหตุมาจาก ความดันโลหิตสูง เช่นอาการปวดศีรษะ ตาพร่ามัว คลื่นไส้อาเจียน ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด แขนขาอ่อนแรง
      - อาการและการแสดง
        
        การเปลี่ยนแปลงของการขับถ่ายปัสสาวะเช่น ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืนnocturnalหรือในเวลากลางวันปัสสาวะออกน้อยลง อาการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืนเป็นอาการในระยะแรกๆ ที่สังเกตได้ แต่ในระยะที่เป็นมากแล้วปัสสาวะจะลดลงและส่งเสริมให้เกิดอาการบวมมากขึ้น
        
        มีอาการแสบร้อนเวลาถ่ายปัสสาวะ ปัสสาวะขัดdysuriaซึ่งบ่งบอกถึงภาวะ urinary tract infection หรืออาการปัสสาวะสะดุด หรือมีเศษนิ่วปนออกมา ซึ่งบ่งบอกถึงการมี nephrolithiasis หรือbladder stone
        
        ปัสสาวะมีเลือดปน ปัสสาวะมีสีน้ำล้างเนื้อhematuria ซึ่งอาจเกิดจากglomerularหรือ nonglomerular hematuria หรืออาการปัสสาวะเป็นฟองfoamy urine ซึ่งอาจบ่งบอกถึงภาวะproteinuria การตรวจบบโปรตีนในปัสสาวะเป็นสิ่งตรวจพบได้ในโรคไตหลายชนิด
        
        การบวมของใบหน้า เท้าและท้อง อาการบวมจะสังเกตเห็นได้ง่ายเวลาตื่นนอนตอนเช้า ผู้ป่วยจะมีหน้าและหนังตาบวมและช่วงที่นั่งหรือยืนนานๆ ขาและเท้าทั้งสองข้าง จะบวมชัดเจนมากขึ้น เวลาเอานิ้วกดที่หน้าแข้งจะเกิดรอยบุ๋มpitting edema ให้เห็นได้อย่างชัดเจน อาการอาจเกิดจากโรคไตnephrotic syndrome หรือในผู้ป่วยที่มีการทำหย้าของไตลดลงแล้ว
        
        อาการปวดเอวหรือหลังด้านข้าง อาจบ่งบอกถึงการมีurinary obstructionหรือpyelonephritisถ้ามีไข้ร่วมด้วยอย่างไรก็ดีอาการปวดหลังจากโรคไตต้องวินิจฉัยแยกโรคจากอาการปวดหลังจากภาวะอื่นๆ เนื่องจากอาการปวดเอวหรือหลังบ่อยๆที่พบในผู้ป่วยส่วนใหญ่ มักเกิดจากโรคทางกล้ามเนื้อและกระดูกบริเวณหลังได้
        
        ความดันโลหิตสูงhypertension มักเป็นอาการที่สำคัญคู้กับผู้ป่วยโรคไต โดนยเฉพาะโรคหลอดเลือดฝอยไตอักเสบเรื้อรังchronic glomerulonephritisและโรคไตเรื้อรังchronic kidney disease
        
        อาการซีดหรือโลหิตจางanemia of kidney disease เมื่อการทำงานของไตลดลงจนระดับserum creatinineสูงกว่า2-3mg/doจะเริ่มพบภาวะโลหิตจางได้ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังและเมื่อการทำงานของไตลดต่ำกว่าร้อยละ25.0ของภาวะกปติ จะพบภาวะโลหิตจางได้ในผู้ป่วยส่วนใหญ่ โดยถือว่าผู้ป่วยมีภาวะโลหิตจางเมื่อระดับฮีโมโกบินต่ำกว่า12g/doหรือฮีโมโกบินต่ำกว่าร้อยละ37.0ในผู้ชายและระดับฮีโมโกบินต่ำกว่า11g/doหรือฮีมาโตคริตต่ำกว่าร้อยละ33.0ในผู้หญิง
        
        คลื่นไส้อาเจียนnausea/vomiting และเบื่ออาหารanorexiaเป็นอาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่เป็นมากแล้วและมักเป็นอาการที่ทำให้ผู้ป่วยต้องไปพบแพทย์
- - - - RR=27 ครั้ง/นาทีBody Temp. = 37.8 องศาเซลเซียส PR= 100 beats/min BP= 120/75 mmHg Osat%(ปลายนิ้ว)= 95%