Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Tonsillectomy with Radiofrequency (การผ่าตัดต่อมทอนซิล ด้วยคลื่นวิทยุ),…

- - - - ป้องกันการติดเชื้อจากแผล Tonsillectomy
    - - ไม่มีอาการที่อาจแสดงถึงการติดเชื้อเช่น อาการหนาวสั่น มีน้ำมูกเป็นต้น
      - ไม่พบอาการปวด บวม แดงหรือ สารคัดหลั่งไหลผิดปกติ ไม่พบกลิ่นเหม็น หรือเนื้อตายบริเวณแผลผ่าตัด
    - - สังเกตลักษณะของแผลว่า บวม แดง ซึม มีกลิ่นเหม็นที่ผิดปกติหรือไม่ ซึ่งอาจเป็นอาการแสดงของการติดเชื้อของแผลได้ ในกรณีการผ่าตัดทอนซิลอาจพบเนื้อเยื่อสีเหลืองเป็นก้อนหรือเเผ่นเกาะอยู่ได้เป็นปกติและไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ
      - แนะนำไม่ให้ผู้ป่วยเอามือเขี่ยหรือแกะแผล โดยเฉพาะเนื้อเยื่อสีขาวเหลืองที่ปกคลุมแผลผ่าตัดเนื่องจากอาจทำให้เกิดการเลือดออกเพิ่มขึ้นได้
      - ประเมินการติดเชื้อบริเวณแผลได้แก่ มีสารคัดหลั่งไหลผิดปกติ ปวด บวม แดง ร้อน และประเมินวัดสัญญาณชีพโดยเฉพาะอุณหภูมิทุก 4 ชั่วโมง หากอุณหภูมิ 37.5 - 38.0 องศาเซลเซียส ดูแลให้พักผ่อนและได้รับน้ำอย่างเดียงพอ , อุณหภูมิมากกว่า 38.5 องศาเซลเชียส ดูแลเช็ดตัวลดไข้ให้ ถ้าไข้ไม่ลด พิจารณาให้ยาลดไข้ตามแผนการรักษาต่อไป
      - แนะนำให้ผู้ป่วยรักษาความสะอาดในช่องปากอยู่เสมอโดย ทำความสะอาดช่องปากหลังมื้ออาหารทุกมื้อ และแนะนำให้ผู้ป่วยบ้วนปากด้วยน้ำเกลือ 0.9% NSS หรือน้ำยาบ้วนปากก่อนและหลังการรับประทานอาหารทุกมื้อ
      - สร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วยก่อนเริ่มการดูแลเพื่อให้เกิดความคุ้นเคย และ ไว้วางใจ
      - แนะนำและปรึกษานักโภชนาการเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับประทานอาหารที่ส่งเสริมการหายของแผลเช่น นม ไข่ และในช่วงแรกแนะนำให้ทานเป็นอาหารชนิดเหลวเย็น หลีกเลี่ยงอาหารชนิดแข็งและมีรสเผ็ด หรือเปรี้ยว
  - - - ไม่เกิดภาวะทุพโภชนาการ
    - - ไม่มีค่าดัชนีมวลกายต่ำกว่า 18.5 กิโลกรัม/ตารางเมตร (ทั้งนี้ขึ้นกับน้ำหนักตัวและะส่วนสูงของผู้ป่วยร่วมด้วย)
    - - ประเมินภาวะพร่องโภชนาการและความรุนแรงของภาวะพร่องโภชนาการ ได้แก่ อ่อนเพลีย ผอม ซีด น้ำหนักลด ระดับอัลบูมินและโปรตีนในเลือด ประเมินดัชนีมวลกาย (body mass index, BMI) จากน้ำหนักตัวและความสูง
      - ประเมินภาวะขาดน้ำ ได้แก่ การตึงตัวของผิวหนังลดลง ริมฝีปากแห้ง กระหายน้ำ ความดันต่ำ ชีพจรเร็ว
        การเปลี่ยนแปลงการรับรู้
      - ดูแลให้ได้รับสารอาหาร สารน้ำ รวมถึงยาบรรเทาปวดตามแผนการรักษา โดยในช่วง 2-3 วันแรกเน้นให้ทานอาหารเหลวเย็น และหลังจาก 1 สัปดาห์ผู้ป่วยสามารถทานอาหารอ่อนได้เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ไข่ตุ๋น โดยเน้นการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และหลีกเลี่ยงของทอด ของมันขนมขบเคี้ยว อาหารเผ็ดจัดและเปรี้ยวจัด
      - สร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วยก่อนเริ่มการดูแลเพื่อให้เกิดความคุ้นเคย และ ไว้วางใจ ก่อนให้คำแนะนำ
      - ติดตามน้ำหนักตัว อาการ อาการแสดงของการพร่องสมดุลของสารอาหาร น้ำและอิเล็คโตรลัยต์ และรายงานแพทย์เพื่อช่วยเหลืออย่างเหมาะสม
  - - - ผู้ป่วยและครอบครัวสามารดูแลตนเองหลังกลับบ้านได้ดี และะไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นหลังกลับบ้าน
    - - ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับการดูแลแผลผ่าตัดหลังกลับบ้านได้ถูกต้องอย่างน้อย 2 ใน 3 ข้อ
      - ไม่พบอาการแทรกซ้อนบริเวแผลผ่าตัดเมื่อมาพบแพทย์ในครั้งถัดไปเช่น อาการบวม แดง เลือดออก หรือมีสารคัดหลั่งไหลผิดปกติ
    - - ให้ความรู้และคำแนะนำแก่ผู้ป่วยและญาติ
        
        หากพบการบวมของคอเเละเพดานแนะนำให้นอนหัวสูง โดยใช้หมอนหนุนให้หายใจได้สะดวกและสามารถอมน้ำแข็งเพื่อบรรเทาอาการบวมได้ หากอาการบวมไม่บรรเทาลงหรือมีภาวะหายใจไม่ออกให้รีบมาพบเเพทย์ทันที
        
        ในช่วง 2-3 วันแรกแนะนำ เช่น นม ไอศกรีมเป็นต้น หลังผ่านไปแล้ว 1 สัปดาห์สามารถรับประทานอาหารอ่อนได้ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม หรือไข่ตุ๋น เเนะนำให้ผู้ป่วยงดรับประทานอาหารชนิดที่แข็ง ร้อน รสเผ็ดจัดหรือเปรี้ยวจัดเกินไปอย่างน้อย 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด
        
        ผู้ป่วยอาจจะมีไข้ หรือมีอาการบวม หรือรู้สึกติดๆ ขัดๆ ตึงๆ คล้ายมีสิ่งแปลกปลอมบริเวณคอ หรือมีเสียงเปลี่ยนได้ ซึ่งอาการดังกล่าวมักจะหายไปภายใน 1 สัปดาห์
        
        ควรกลั้วคอ ทำความสะอาดบ่อยๆด้วยน้ำเกลือ0.9% NSS และแปรงฟันทุกครั้งหลังการรับประทานอาหารทุกๆมื้อ
        
        ผู้ป่วยอาจเห็นเป็นฝ้าสีขาวอยู่ในช่องคอตรงบริเวณของต่อมทอนซิลทั้งสองข้าง ซึ่งจะค่อยๆ หายเองภายใน 7-14 วัน ไม่ควรเขี่ยหรือแกะเพราะจะทำให้เกิดเลือดออกเเละทำให้แผลหายช้า
      - เปิดโอกาสใหผู้ป่วยและญาติได้ซักถามข้อสงสัย
      - ประเมินความรู้ของผู้ป่วยและญาติโดยการถามคำถามเกี่ยวการดูเเลหลังกลับบ้าน
      - สร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วยก่อนเริ่มการดูแลเพื่อให้เกิดความคุ้นเคย และ ไว้วางใจ ก่อนให้คำแนะนำ
  - - - ไม่วิตกกังวลจากการพร่องความรู้
    - - ผู้ป่วยไม่มีความวิตกกังวล ได้แก่ ไม่มีสีหน้าเคร่งเครียด ขมวดคิ้ว เป็นต้น
      - ผู้ป่วยมีความรู้ในการปฏิบัติตัว ก่อนผ่าตัด และหลังผ่าตัดเพิ่มขึ้น
    - - ให้คําแนะนําหลังการผ่าตัดและการดูแล ตนเองเมื่อกลับบ้าน เพื่อให้ผู้ป่วยมีความรู้ใน การปฏิบัติตัว
        
        หลังการผ่าตัด 1-2 วันแรก เพดานอ่อน หรือผนังในคออาจบวมมากขึ้นได้ ทําให้ หายใจอึดอัด ไม่สะดวก ดังนั้นจึงควรนอนศีรษะสูง โดยใช้หมอนหนุนหรือนอนบนที่นอนที่สามารถปรับความเอียงได้ อมและประคบน้ําแข็งบ่อยๆ ในช่วงสัปดาห์แรก เพื่อลดอาการบวมบริเวณที่ทําผ่าตัด ถ้าอาการหายใจไม่สะดวก เป็นมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นรุนแรง หลังออกจากโรงพยาบาล แล้ว ควรรีบไปโรงพยาบาลเพื่อปรึกษา แพทย์ทันที
        
        ผู้ป่วยจะได้รับยาแก้อักเสบ ยาแก้ปวด ยา ลดบวมในรูปยาน้ํา และยากลั้วคอ ควรจะ
        รับประทานยาดังกล่าวให้หมด ไม่ว่าอาการ และสามารถรับประทานยาแก้ปวด เช่นพาราเซตามอล เมื่อจําเป็น
        
        ควรรับประทานอาหารอ่อน เช่น โจ๊ก หรือ ข้าวต้ม ไม่ควรรับประทานอาหารที่แข็งหรือ ร้อนหรือรสเผ็ดหรือจัดเกินไปอย่างน้อย 1 สับดาห์หลังผ่าตัด อาหารที่รับประทานหลัง ผ่าตัด ควรเป็นอาหารเหลวหรืออาหารอ่อน ที่เย็น หรือไอศกรีม นอกจากนั้นควรกลั้วคอ ทําความสะอาดบ่อยๆ และแปรงฟันทุกครั้ง หลังรับประทานอาหารโดยปกติ หลังผ่าตัด ประมาณ 2-4 สัปดาห์ แผลจะหายเป็นปกติ
        
        อาจมีไข้ หรือมีอาการบวม รู้สึกติดๆขัดๆ ตึงๆ คล้ายมีสิ่งแปลกปลอมบริเวณคอหรือมี เสียงเปลี่ยนได้ ซึ่งอาการดังกล่าวมักจะ หายไปภายใน 1 สัปดาห์
        
        สังเกตภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้คือ เลือดออกจากแผลผ่าตัดในคอ ปกติมักจะ ออกไม่มากและหยุดได้เอง ซึ่งถ้าออกมาก จะต้องไปทําการห้ามเลือดในห้องผ่าตัด อาจมีแผลบริเวณ เหงือกและลิ้น ผู้ป่วยบางรายที่ฟันไม่ แข็งแรงอาจมีฟันโยกได้ เนื่องจากต้องใช้เครื่องมือใส่ในช่องปากการหายใจลําบาก จากการบวมในช่องคอ
        ซึ่งถ้าอาการรุนแรง อาจต้องใส่ห่อช่วยหายใจ หรือเจาะหลอดลมคอ หรือแผลผ่าตัดติดเชื้อ (แต่พบได้น้อย)
        
        ควรหลีกเลี่ยงการขากเสมหะแรงๆ การล้วงคอ หรือแปรงฟันเข้าไปในช่องปากลึกเกินไป การออกแรงมาก การเล่นกีฬาที่หักโหม หรือยกของหนักหลังผ่าตัดภายใน 24- 48 ชั่วโมงแรก เพราะอาจทําให้มีเลือดออกจากแผลในช่องปากได้ ถ้ามีเลือดออกจาก ช่องปากควรนอนพัก ยกศีรษะสูง อมน้ําแข็งในปาก นําน้ําแข็งหรือ Cold Pack มาประคบบริเวณหน้าผากหรือคอ เพื่อให้เลือดหยุด โดยประคบหรืออมน้ําแข็งประมาณ 10 นาที แล้วจึงเอาออก เว้นนาน 10 นาที แล้วค่อยประคบหรืออมใหม่เป็นเวลา 10 นาที ทําเช่นนี้สลับกันไปเรื่อย ๆ ถ้าเลือดออกไม่ หยุดหรือออกมากผิดปกติ ควรรีบไปโรงพยาบาลเพื่อปรึกษาแพทย์ทันที
      - 3.ให้ข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการ ผ่าตัด อธิบายและให้คําแนะนําการปฏิบัติตัว ก่อนผ่าตัด เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติรับทราบ ข้อมูล เข้าใจ เห็นความสําคัญและให้ความ ร่วมมือในการผ่าตัด
      - 6.เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยและครอบครัวซักถามในสิ่งที่สงสัย
      - ประเมินความพร้อมในการรับรู้ของผู้ป่วย ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรค อาการแสดง แนว ทางการรักษา การเตรียมความพร้อมก่อน ผ่าตัด และภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด
      - 7.ให้ผู้ป่วยบอกวิธีการดูแลตนเองทั้งก่อน ผ่าตัดและหลังผ่าตัดเพื่อเป็นการสะท้อนกลับ ดูว่าผู้ป่วยและครอบครัวเข้าใจหรือไม่
      - ประเมินความวิตกกังวลของผู้ป่วย ได้แก่ สังเกตสีหน้าท่าทาง เช่น ขมวดคิ้ว กระสับกระส่าย สอบถามเรื่องการผ่าตัด บ่อยๆ เป็นต้น
      - 4.เตรียมตัวก่อนผ่าตัด
        
        แนะนําให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะก่อนมาห้อง ผ่าตัด
        
        แนะนําให้ฝากของมีค่าและเครื่องประดับ ต่างๆ ไว้กับญาติ
        หากมีฟันปลอมให้ถอด ออก ถ้าไม่มีญาติฝากไว้กับ
        พยาบาลประจําหอผู้ป่วยโดยไม่นํามาห้องผ่าตัด
        เพื่อป้องกันการสูญหายหรืออันตรายที่อาจเกิดขึ้นขณะ ผ่าตัด
        
        งดน้ํางดอาหารหลังเที่ยงคืนตามคําสั่ง แพทย์ เพื่อป้องกัน
        การสําลัก อาเจียนขณะ ทําการผ่าตัดและหลังผ่าตัด
  - - - ไม่สุขสบายจากปวดแผลผ่าตัดลดลง
    - - ผู้ป่วยปวดแผลผ่าตัดลดลง
    - - 4.จัดท่าผู้ป่วยนอนหัวสูง 45 องศา และตะแคงด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อป้องกันการอุดกั้นทางเดินหายใจ
      - 5.ให้ยาตามแผนการรักษา
      - 3.ประเมินสัญญาณชีพ เพื่อสังเกตภาวะแทรกซ้อน
      - 6.แนะนำผู้ป่วยประคบบริเวณลำคอด้วยความเย็น เพื่อบรรเทาอาการปวด และช่วยห้ามเลือด
      - 2.ประเมินภาวะการมีเลือดออกมากผิดปกติจากแผลผ่าตัด เพื่อประเมินภาวะแทรกซ้อน
      - 7.ในกรณีที่ไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน แนะนำให้รับประทานของเย็น เช่น ไอศกรีม น้ำเย็น หรือการเคี้ยวหมากฝรั่ง เพื่อลดอาการบวมในลำคอ และทำให้กล้ามเนื้อคลายอาการเกร็งตัวช่วยบรรเทาอาการปวดได้ แต่ไม่แนะนำให้รับประทานไอศกรีมมากเกินไปเพราะอาจทำให้เกิดภาวะเสมหะเหนียว
        คั่งค้างอุดตันทางเดินหายใจได้
      - 1.ประเมินความปวดโดยใช้ pain score เพื่อที่สามารถให้การพยาบาลได้อย่างเหมาะสม
      - 8.ให้พักผ่อนให้เพียงพอ งดการใช้เสียงชั่วคราว แนะนำญาติเรื่อง
        การไม่ชวนพูดคุยมากเกินไป เพื่อให้ผู้ป่วยพักผ่อน
      - 9.แนะนำเรื่องการไออย่างมีประสิทธิภาพ อ้าปากขณะไอ อย่าไอแรงๆหรือจามแรงๆ ในช่วงแรกหลังผ่าตัด เพราะจะทำให้เจ็บปวดและมีเลือดออกได้
  - - - ไม่เกิด ภาวะแทรกซ้อน
    - - ผู้ป่วยไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนจาก การผ่าตัดทอนซิล เช่น เลือดออก จากแผลผ่าตัดในคอ เป็นต้น
    - - 4.รายที่มีการอาเจียน ต้องจัดท่านอนตะแคง หันหน้าไปด้านใดด้านหนึ่งเพื่อไม่ให้สำลักอาเจียนเข้าไป ถ้ารู้สึกตัวดีแล้ว จัดให้นอนท่าศีรษะสูง เพื่อป้องกัน
        การสำลัก
      - 3.ประเมินระดับความรู้สึกตัวของผู้ป่วย เพื่อป้องกันอันตรายจากการดมยาสลบและอุด กั้นทางเดินหายใจ จากการไม่สามารถขับเสมหะออกได้เอง
      - 5.สังเกตการกลืนน้ำลาย ถ้าพบบ่อยครั้งขึ้น แสดงว่ามีอาการเลือดออกภายใน
        ลำคอ แนะนำให้บ้วนออก
      - 2.ประเมินสัญญาณชีพ เพื่อสังเกตภาวะแทรกซ้อน เช่น เสียเลือดมากเกินไป เป็นต้น ถ้าพบสัญญาณชีพผิดปกติ มีอาการซีดมาก รีบรายงานแพทย์ทันที
      - 6.สังเกตสี ลักษณะ จำนวนของอาเจียน เพื่อประเมินภาวะเสียเลือด ถ้าเป็นเลือดสีแดงสดจำนวนมาก ต้องรีบรายงานแพทย์เพื่อแก้ไขทันที ส่วนรายที่เป็นสีน้ำตาลอาจเป็นเลือดเก่าที่ผู้ป่วยกลืนลงไปขณะทำการผ่าตัด
      - 1.ประเมินภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด ได้แก่ เลือดออกจากแผลผ่าตัดในคอ อาจมี แผลบริเวณเหงือกและลิ้น ถ้าฟันไม่แข็งแรง อาจมีฟันโยกได้ การหายใจลําบากจากการ บวมในช่องคอ เป็นต้น
- - - - ต่อมทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน (Acute Tonsillitis)
      - ต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรัง (Chronic Tonsillitis )
      - ต่อมทอนซิลอักเสบกึ่งเฉียบพลัน (Subacute Tonsillitis)
  - - - 5.Harmonic scalpel
        การผ่าตัดต่อมทอนซิลโดยมช้คลื่นเสียงความถี่สูง
      - 4.Radiofrequency
        การผ่าตัดต่อมทอนซิลโดยใช้คลื่นความถี่วิทยุ
      - 3.Microdebrider
        การผ่าตัดต่อมทอนซิลโดยใช้หัวปั่นดูด
      - 2.Electrocautery
        การผ่าตัดต่อมทอนซิลโดยใช้ไฟฟ้า
      - 1.Cold dissection
        การผ่าตัดต่อมทอนซิลโดยใช้มีดและแท่งเหล็กเลาะต่อมทอนซิล
    - - ยากลุ่ม Dopamine antagonist
        
        Metoclopramide
        บรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน จากการใช้ยากลุ่ม Opioids
      - ยากลุ่ม Opioids
        
        Tramadol
        ออกฤทธิ์เหมือนมอร์ฟีน บรรเทาอาการปวดเล็กน้อยถึงรุนแรง
      - ยากลุ่ม Opiates
        
        Dextromethorphan
        เป็นยาลดอาการไอ
      - ยากลุ่ม Fibrinolytic inhibitors
        
        Tranexamic acid
        มีฤทธิ์ในการห้ามเลือด ช่วยให้ระบบการแข็งตัวของเลือดแข็งตัว
        และหยุดไหล ป้องกันภาวะที่มีเลือดออกมากผิดปกติในขณะผ่าตัด
      - ยากลุ่ม Corticosteroids
        
        Dexamethasone
        เป็นยาต้านการอักเสบ และป้องกันคลื่นไส้อาเจียนหลังผ่าตัด
        
        Prednisolone
        เป็นยาต้านการอักเสบ กดภูมิคุ้มกัน รักษาอาการแพ้
      - ยากลุ่ม Penicillin
        
        Amoxicillin and Clavulanate
        รักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียและโรคติดเชื้ออย่างอื่น แต่ไม่สามารถรักษาโรคไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ หรือโรคติดเชื้อไวรัสอย่างอื่น