Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

G2P1001 GA 36 wks. C Preterm labour C (Premature rupture of membranes:…

- - - - การคลอดก่อนกำหนดที่เกิดขึ้นเอง (spontaneous preterm delivery)พบร้อยละ 50
      - ภาวะถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด (Preterm PROM) พบร้อยละ 30
      - การคลอดก่อนกำหนดเมื่อมีข้อบ่งชี้ (Elective preterm delivery) เช่น ภาวะ severe preeclampsia ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ เป็นต้น
      - การคลอดก่อนกำหนดเมื่อมีภาวะแทรกซ้อนฉุกเฉิน (Complicated emergency) preterm delivery ) เช่น รกลอกตัวก่อนกำหนด สายสะดือพลัดต่ำ เป็นต้น
  - - - PV = FT ML clear
    - - ปวดถ่วงท้องน้อยในอุ้งเชิงกราน
      - ปวดท้องน้อยคล้ายปวดประจำเดือน
      - ปวดหลังส่วนล่าง
      - ปวดบั้นเอว
      - ปวดถ่วงในช่องคลอด ฝีเย็บ และทวารหนัก
      - ปวดเกร็งจากการบีบตัวของลำไส้
      - ท้องเสีย ปัสสาวะบ่อย
      - ท้องเสีย ปัสสาวะบ่อย
      - มีมูกเลือดหรือมีน้ำคร่ำออกทางช่องคลอด
        
        ไม่มีมูเลือด แต่มีน้ำคร่ำไหลออกมาทางช่องคลอด
  - - - ภาวะแทรกซ้อนในระยะแรก
        
        Respiration distress syndrome : RDS กลุ่มหายใจลำบาก
        
        intraventricular hemorrhage (IVH) เลือดออกในสมอง
        
        necrotizing enterocolitis(NEC) ลำไส้เกิดเน่าตาย
        
        hypoglycemia น้ำตาลในเลือดต่ำ
        
        infection ภาวะติดเชื้อ
        
        hyperbilirubinemia ภาวะบิลิรูบินในเลือดสูง
      - ภาวะแทรกซ้อนในระยะหลัง
        
        bronchopulmonary dysplasia ปอดเรื้อรังในทารกแรกเกิด
        
        blindness ตาบอด
        
        cerebral atrophy สมองพิการ
        
        neurodevelopmental delay พัฒนาการช้า
      - ทารกคลอดก่อนกำหนดมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงถึง 15 เท่าเมื่อเทียบกับทารกครบกำหนด
    - - เสี่ยงต่อการได้รับผลกระทบจากการนอนบนเตียงและถูกจำกัดกิจกรรมเป็นเวลานาน ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม เช่น ท้องผูก กล้ามเนื้ออ่อนแรง น้ำหนักลด วิตกกังวล หงุดหงิด อารมณ์ แปรปรวน แบบแผนและบทบาทการดำเนินชีวิตเปลี่ยนแปลง เป็นต้น
      - เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับยายับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก
      - เกิดภาวะเครียดและวิตกกังวลเกี่ยวกับสุขภาพทารกและค่าใช่จ่ายในการดูแลรักษา
- - - - V/S : BP 118/78 mmHg., PR 96 bpm., RR 20 bpm., BT 36.8 องศาเซลเซียส
  - - - G1 ปี พ.ศ. 2562 คลอดเอง น้ำหนัก 2,470 กรัม เพศหญฺง ทารกสำคักน้ำคร่ำ
- - - - หญิงตั้งครรภ์ อายุ 24 ปี G2P1001 GA 36 wks. by U/S มีน้ำเดิน เวลา 02:30 น.
  - - - มารดาสูบบุหรี่ และได้หยุดสูบขณะตั้งครรภ์
  - - - สตรีตั้งครรภ์รู้สึก มีน้ำใสๆไหลออกมาอาบขาตัวเอง
  - - - 1.1 ลักษณะ สี กลิ่น และปริมาณน้ำคร่ำที่ไหลออกมา เพื่อวินิจฉัยแยกจากน้ำปัสสาวะ น้ำหรือเมือกในช่องคลอด (Vagina discharge) หรือมูกจากปากมดลูก (Mucous plug)
        
        ลักษณะสีใส ไม่มีกลิ่น และคือน้ำคร่ำที่ไหลออกมา
      - 1.2 วันและเวลาที่ถุงน้ำคร่ำแตก เพื่อประเมินระยะเวลาที่ถุงน้ำคร่ำแตก และโอกาสที่จะติดเชื้อ
        
        วันที่ 1 ตุลาคม 2566 เวลา 02:30 น. และมารพ. 04.00 น.
      - 1.3 อายุครรภ์ เพื่อประเมินความสมบูรณ์ของปอดทารก และโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ
        
        GA 36 wks. ปอดทารกสมบูรณ์แล้ว
    - - 2.1 Sterile speculum examination คือ การประเมิน pooling จะพบน้ำคร่ำขังอยู่ในแอ่งของช่องคลอด (Vagina vault) บริเวณ Posterior fornix หรือการกดยอดมดลูก (Fundal pressure) จะพบน้ำไหลออกจากปากมดลูก ควรหลีกเลี่ยงการตรวจภายในโดยใช้นิ้วมือ เพราะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ยกเว้นรายที่มีการเจ็บครรภ์คลอด หรือวางแผนให้คลอดภายใน 24 ชั่วโมง
        
        พบน้ำไหลออกจากปากมดลูก
      - 2.3 สัญญาณชีพ เพื่อเป็นการประเมินอาการแสดงของการติดเชื้อ
        
        V/S : BP 118/78 mmHg., PR 96 bpm., RR 20 bpm., BT 36.8 องศาเซลเซียส
      - 2.2 Coughing หรือ Valsalva โดยการให้สตรีตั้งครรภ์ตั้งครรภ์ไอหรือเบ่งลงด้านล่าง เบาๆจะพบมีน้ำไหลออกมาจากปากมดลุกหรือขังอยู่ในช่องคลอด
        
        cough test positive
    - - 3.1 Fern test ให้ผลบวกจะพบผลึกรูปใบเฟิร์น (aborozation or ferning)
      - 3.2 Nitrazine paper test เป็นการทดสอบความเป็นกรด-ด่าง โดยนำน้ำในช่อง คลอดมีฤทธิ์เป็นกรด pH < 4.5 และที่ปากมดลูกและปัสสาวะมี pH 4.5-6.0 ซึ่งให้ผลลบ ส่วนน้ำคร่ำมีฤทธิ์เป็นด่าง pH 7.0-7.7 ซึ่งให้ผลบวก คือกระดาษจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินหรือกรมท่า
        
        pH 8
      - 3.3 Nile blue test เป็นการดูเซลล์ไขมันของทารกในครรภ์ ถ้าเป็นน้ำคร่ำจะพบเซลล์ไขมันของทารกติดสีแสด
      - 3.4 การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง ถ้าตรวจพบน้ำคร่ำปริมาณน้อยมาก (Severe Oligohydramnios) หรือน้ำคร่ำแห้ง (Anhydramnios) ร่วมกับมีประวัติถุงน้ำคร่ำแตกอย่างชัดเจน จะช่วย ยืนยัน การวินิจฉัย หากปริมาณน้ำคร่ำลดลงไม่มากจะวินิจฉัย หากปริมาณน้ำคร่ำลดลงมากจะวินิจฉัยได้ยาก เนื่องจากอาจเกิดจากสาเหตุอื่น
        
        AFI = 4.7 cm
  - - - ติดเชื้อในถุงน้ำคร่ำและในโพรงมดลูก (Chorioamnionitis /Intra-amniotic infection )
      - การติดเชื้อเยื่อบุโพรงมดลูกหลังคลอด (Postpartum endometritis)
      - การติดเชื้อในกระแสโลหิต (sepsis)
      - โลหิตเป็นพิษ (septiccemia)
      - 5.เพิ่มอุบัติการณ์ผ่าคลอด
    - - คลอดก่อนกำหนด (Preterm labor) เนื่องจากภายหลังถุงน้ำคร่ำแตก decidual จะสร้าง prostaglandin เพิ่มขึ้นและกระตุ้นให้เกิดการเจ็บครรภ์คลอดใน PPROM
        
        ทารกคลอดวันที่ 1 ตุลาคม 2566 GA 36 wks.
      - เพิ่มความเสี่ยงของการตายปริกำเนิด (Perinatal mortality)4 เท่า และ Neonatal morbidity 3 เท่า
      - ทารกในครรภ์และทารกแรกเกิดมีการติดเชื้อในกระแสเลือด
      - Perinatal asphyxia เนื่องจากภาวะน้ำคร่ำน้อย (Oligohydramnios), สายสะดือถูกกด (Cord compression)
      - ภาวะแทรกซ้อนของการคลอดก่อนกำหนด
        
        เลือดออกในสมอง (Intraventricular hemorrhage: IVH)
        
        กลุ่มอาการหายใจลำบาก (Respiratory distress syndrome :RDS)
        
        ปอดขยายได้น้อย (pulmonary hypoplasia)
        
        ทารกตายคลอด (stillbirth) เนื่องจากสายสะดือพลัด
        
        รกลอกตัวก่อนกำหนด
        
        ขาดออกซิเจน
        
        การคลอดเฉียบพลัน(Precipitate labor)
        
        รวมทั้งหมดในระยะเวลาการคลอด 3 ชั่วโมง 12 นาที
- - - - 1.2 รกผิดปกติ กลุ่มนี้ถึงแม้มดลูกจะมีการหดรัดตัวได้ดีตามปกติ แต่รกก็ไม่สามารถลอกออกมาได้ ได้แก่ รกเกาะแน่น (Placenta adherent), รกเกาะลึก (Placenta accreta) และรกแบน (Placenta membranacea) หรือมีรกน้อยชนิด Placenta succenturiata หรือ Placenta spurium
      - 1.1 รกปกติ : แต่มดลูกไม่มีการหดรัดตัว รกจึงไม่ลอก หรือลอกตัวได้ไม่สมบูรณ์ อาจเนื่องมาจากการคลอดที่ล่าช้า การให้ยาสลบ หรือได้รับยาสลบมากเกินไป มารดาอ่อนเพลีย กระเพาะปัสสาวะเต็ม
    - - 2.1 รกลอกตัวแล้ว แต่ไม่อาจผ่านออกมาจากโพรงมดลูกส่วนบนได้ เนื่องจากการหดรัดตัวที่ผิดปกติของมดลูก เช่น Cervical clamp และ Contraction ring เป็นต้น
      - 2.2 รกลอกตัวแล้ว และผ่านโพรงมดลูกออกมาอยู่ในช่องคลอดแล้วแต่ไม่ผ่านออกมาภายนอกร่างกาย เนื่องจากผู้คลอดไม่เบ่งขับไล่ออกมาตามธรรมชาติของการคลอดเองของรก หรือผู้คลอดไม่ผลักไล่รกที่ลอกตัวแล้วให้คลอดออกมา
        
        ผู้คลอดไม่เบ่งขับไล่ออกมาตามธรรมชาติของการคลอดเองของรก เนื่องจากมารดาอ่อนเพลีย
    - - 3.1 วิธีการทำคลอดรกไม่ถูกต้อง ส่วนใหญ่เกิดจากการบีบเค้นมดลูกอย่างแรง (Crede maneuver) หรือคลึงมดลูกก่อนที่รกจะลอกตัวออกจากผนังมดลูก หรือทำคลอดรกก่อนรกลอกตัว หรือการให้ ยาประเภท Ergot ก่อนท่าคลอดรก
      - 3.2 เคยมีประวัติรกค้าง
      - 3.3 เคยทำหัตถการที่ส่งเสริมให้เกิดภาวะรกค้าง เช่น เคยผ่าตัดคลอด หรือผ่าตัดเอาก้อนเนื้องอกออกจากโพรงมดลูก (Myomectomy) หรือเคยขูดมดลูกมาก่อน
      - 3.4 มดลูกหดรัดตัวไม่ดี อาจเนื่องมาจากการคลอดที่ล่าช้า การให้ยาสลบ ได้รับยาระงับปวดมาก เกินไป มารดาอ่อนเพลีย กระเพาะปัสสาวะเต็ม
      - 3.5 มดลูกหดรัดตัวมากผิดปกติ (Tetanic contraction) จึงทำให้เกิดการหดเกร็งของมดลูก (Constriction) หรือปากมดลูกแข็งตัว (Cervical clamp) ทำให้รกค้าง ออกมาไม่ได้
      - 3.6 มดลูก ลักษณะผิดปกติ เช่น มีผนังกั้นภายในโพรงลูก
      - 3.7 รกเกาะแน่น (Placenta adherent) ไม่สามารถหลุดลอกออกมาได้ เพราะมดลูกหดรัดตัว ไม่ดี (Ineffective uterine contractions)
    - - Placenta previa
      - ตั้งครรภ์ 6 ครั้งขึ้นไป
  - - - แพทย์พยายามทำคลอดรกแบบ Controlled cord traction แล้ว แต่รกยังออกมาไม่หมด
    - - ตรวจรก แล้วพบว่ามีไม่ถึง 15 โลบ
  - - - ในเคสกรณีศึกษาได้ทำการล้วงรกแล้ว แต่เนื่องจากรกที่ติดค้างอยู่สูง จึงได้ทำการ D/C เพื่อเอารกที่เหลืออกมา