Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาลสาธาณภัย (Disaster Nursing) - Coggle Diagram
การพยาลสาธาณภัย
(Disaster Nursing)
บทที่ 1 หลักการและทฤษฎีเกี่ยวกับการพยาบาลสาธารณภัย
สาธารณภัย
สาธารณภัย" คือ อัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย ภัยแล้ง
โรคระบาดในมนุษย์ โรคระบาดสัตว์ โรคระบาดสัตว์น้ำ
การระบาดของศัตรูพืช ตลอดจนภัยอื่น ๆซึ่งก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตร่างกายของประชาชนหรือความเสียหายแก่ทรัพย์สินของประชาชน หรือของรัฐและให้หมายความรวมถึงภัยทางอากาศและการก่อวินาศกรรมด้วย
ภัยพิบัต (Disaster)
ภัยพิบัติ (Disasters)หมายถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใดก่อให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงต่อชุมขน สังคม เกิดความสูญเสียเป็นวงกว้าง ทั้งต่อบุคคลทรัพย์สินเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมภัยพิบัติเป็นกระบวนการความเสี่ยงซึ่งเป็นผลจากภัยอันตรายสถาณการณ์ที่เปราะบางและขาดมาตรการในการลดผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นจากความเสี่ยง
ภัยพิบัติ ได้แก่ อัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย สินามิตลอดจนภัยอื่น ๆ อันเป็นสาธารณะ
กล่าวโดยสรุป สาธารณภัย หมายรวมถึง ภัยพิบัติ หมายถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใดหรือค่อยๆเกิดขึ้นเกิดขึ้นได้ทุกเวลาและทุกสถานที่ก่อให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงต่อชุมชนสังคมเกิดความสูญเสียเป็นวงกว้างทั้งต่อบุคคลทรัพย์สินเศษฐกิจและสิ่งแวดล้อมของประชาชนหรือภาครัฐมากเกินกว่าที่ชุมชนจะปรับตัวรับมือโดยใช้ทรัพยากรของตนเองได้จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือด้านสิ่งจำเป็นพื้นฐานอย่างรีบด่วนต่อผู้ประสบภัยจากภายนอก
วงจรการเกิดสาธารณภัย (Disaster cycle)
ประเภทที่ 1 สาธารณภัยจากธรรมชาติ (Natural Disaster) ได้แก่
1ระยะก่อนเกิดสาธารณภัย(Pre-Impact phase) หมายถึงช่วงเวลาที่ยังไม่มีสาธารณภัยเกิดขึ้นการลดความเสี่ยงจากสาธารณภัย
2) ระยะเกิดสาธารณภัย (Impact phase) หมายถึง ช่วงเวลาที่มีสาธารณภัยเกิดขึ้นก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตการจัดการภาวะฉุกเฉิน การเผชิญเหตุและบรรเทาทุกข์
3) ระยะหลังเกิดสาธารณภัย (Post- impact phase) หมายถึง ช่วงเวลาที่สาธารณภัยได้ผ่านพ้นไปแล้วให้การช่วยเหลือบรรเทาและฟื้นสภาพในด้านต่างๆ
ประเภทที่ 2 สาธารณภัย ที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ (Man Made Disaster) ได้แก่ ภัยจากอุบัติเหตุทางคมนาคม ภัยจากการก่อสร้ง ภัยจากการประกอบอุตสาหกรรมภัยจากการขัดแย้งทางลัทธิหรือการก่อวินาศกรรมในที่สาธารณะอัคคีภัยภัยที่เกิดจากการจลาจลและภัยจากการปะทะด้วยกำลังอาวุธ
ระดับความรุนแรงของสาธารณภัย
ระดับความรุนแรงของสาธารณภัย แบ่งได้ 4 ระดับ ดังนี้
สาธารณภัยขนาดเล็ก จัดการโดยนายอำเภอ อบต. สำนักงานเขต
สาธารณ์ภัยขนาดกลาง เกินขีดความสามารถของผู้รับผิดชอบ
สาธารณภัยขนาดใหญ่ เกิดผลกระทบรุนแรงกว้างขวาง
สาธารณภัยขนาดร้ายแรงอย่างยิ่ง
ลดความเสี่ยงจากสาธารณภัย
1) ให้ความสำคัญกับการลดภัยเป็นลำดับแรก
2) รู้จักความเสี่ยงและการดำเนินการ
3) สร้างความรู้ความเข้าใจและจิตสำนึก
4) ลดความเสี่ยง
5) เตรียมตัวและพร้อมที่จะปฏิบัติเมื่อมีภัย
ลักษณะของการปฏิบัติการพยาบาลสาธารณภัย
1)ป้องกันและลดความรุนแรงที่จะเกิดจากสาธารณภัย
2)มุ่งเน้นหนักด้านการพยาบาลฉุกเฉินที่ให้แก่ผู้ประสบภัยจำนวนมากในขณะเกิดภัย
3) ช่วยฟื้นฟูสภาพของผู้ประสบภัยและญาติทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
บทที่ 2 การวิเคราะห์ปัญหา และสถานการณ์ การช่วยเหลืออในที่เกิดเหตุ
การประเมินสถานการณ์สาธารณภัย (Disaster Assessment)
1) การประเมินภัย (Hazard Assessment)เป็นการระลักษณะของภัย รวมถึงแหล่งกำเนิดความรุนแรงและความน่าจะเป็นในการเกิดภัยธรรมชาติในบริเวณพื้นที่ที่ต้องการศึกษาขั้นตอนพื้นฐานในการประเมินภัย
2) การประเมินความล่อแหลม (Exposure) เป็นการระบุจำนวนสถานที่ตั้ง และรายละเอียดสำคัญด้านประชากรทรัพย์สินและองค์ประกอบที่มีความเสี่ยงที่อยู่ในขอบเขตบริเวณที่ล่อแหลมต่อการเกิดภัยเช่น กลุ่มประชากรตามอายุ ประเภทอาคาร บ้านเรือน สถานที่สำคัญเช่น ที่ทำการของภาครัฐโรงพยาบาล โรงเรียนและสาธารณูปโภคพื้นฐานเช่น ถนน ระบบประปา ระบบการจ่ายไฟฟ้า
3) การประเมินความเปราะบาง (Vulnerability Assessment) เป็นการวิเคราะห์สภาพความอ่อนแอขององค์ประกอบที่มีความเสี่ยงจากภัยที่อาจเกิดขึ้น และผลกระทบที่อาจเกิดกับประซากรและทรัพย์สิน ในบริเวณที่มีความล่อแหลม เช่น การศึกษาเชิงวิศวกรรมเพื่อวิเคราะห์ระดับความเสียหายของอาคารแต่ละประเภท (คอนกรีตเสริมเหล็ก ไม้) ต่อแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวหรือการศึกษาสภาพทางสังคมของกลุ่มประซากรซึ่งมีการตอบสนองต่อเหตุการณ์ภัยแตกต่างกัน เช่น การประเมินหรือวิเคราะห์ผลที่จะเกิดจากภัยต่อสิ่งต่างๆ ทั้งประชาชน ทรัพย์สิน สิ่งก่อสร้างสาธารณูปโภค ทรัพยากรธรรมซาติ โดยประเมินผลกระทบทั้งด้านกายภาพ สังคม และเศรษฐกิจ
4) การประเมินการจัดการภัย (Manageability Assessment) ได้แก่
-ความตระหนักของประชาชน
-ความตระหนักของภาครัฐการมีส่วนร่วมของผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย
-ด้านข้อมูลพื้นฐาน
-ด้านเทคโนโลยีด้านบุคคลากร
-ด้านการกระจายองค์ความรู้เกี่ยวกับการประเมินความสี่ยงสู่จังหวัดต่างๆ
บทที่ 3 เทคนิคและวิธีการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บในภาวะฉุกเฉิน การบำบัดรักษาและการกู้ชีวิต ณ จุดเกิดเหตุ
การแบ่งเขตพื้นที่การปฎิบัติงาน Zone
การจัดพื้นที่ในการรักษาพยาบาลตามความรุนแรงของการบาดเจ็บ
พื้นที่สีแดง:ควรมีหัวหน้าทีมเป็นแพทย์พื้นที่
สีเหลือง:ควรมีหัวหน้าทีมเป็นเวชกิจฉุกเฉินระดับกลางเป็นอย่างน้อยพื้นที่
สีเขียว:ควรมีหัวหน้าเป็นเวชกิจฉุกเฉินระดับพื้นฐานเป็นอย่างน้อยบางครั้งอาจไม่มีการรักษาผู้ป่วยสีเขียวณจุดเกิดเหตุ
การบาดเจ็บของทรวงอกมีความสำคัญมาก เนื่องจากมีผลต่อระบบหายใจ และการไหลเวียนโลหิตและเป็นการบาดเจ็บที่พบบ่อยในผู้ป่วยที่มีการบาดเจ็บหลายระบบผู้ป่วยเหล่านี้ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดและการนำส่งโรงพยาบาลที่เหมาะสมโดยเร็วผู้ป่วยที่สงสัยว่าจะมีการบาดเจ็บของทรวงอกควรให้ออกซิเจนและประเมินการช่วยหายใจในผู้ป่วยทุกรายเราจะต้องมองหาอาการแสดงของภาวะลมดันในช่องปอดเสมอเพราะเป็นภาวะที่อันตรายถึงชีวิตและเราสามารถให้การช่วยเหลือได้ทันทีณที่เกิดเหตุเนื่องจากผู้ป่วยเหล่านี้มีโอกาสที่จะมีการบาดเจ็บหลายระบบการเฝ้าระวังการบาดเจ็บของกระดูกสันหลังและการห้ามเลือดจากบาดแผลจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำผู้ป่วยควรได้รับน้ำเกลือระหว่างนำส่งโรงพยาบาลและควรทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจในกรณีที่สงสัยว่าจะมีการบาดเจ็บของหัวใจจากการถูกกระแทก
ผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ระเบิด สารกัมมันตรังสี ไฟไหม้ ผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ระเบิดกลกการบาดเจ็บจากระเบิดแบ่งออกเป็น 5 ชนิด ได้แก่
-การบาดเจ็บแบบปฐมภูมิ (primary blast injury) การบาดเจ็บที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงความกดดันบรรยากาศทำให้อากาศที่อยู่ภายในอวัยวะขยายตัวและเกิดการฉีกขาดของอวัยวะนั้น
-การบาดเจ็บแบบทุติยภูมิ(secondary blast injury)คือการบาดเจ็บเนื่องจากแผลแทงทะลุโดยสะเก็ดระเบิด
-การบาดเจ็บแบบตติยภูมิ(tertiary blast injury)คือการบาดเจ็บจากการกระแทกของวัตถุที่ถูกแรงอัดระเบิดลอยมากระแทกกับร่างกาย
-การบาดเจ็บแบบจตุรภูมิ(quaternary blast injury)คือการบาดเจ็บจากความร้อน เช่น แผลไฟใหม้ การสูดอากาศ
-การบาดเจ็บแบบเบญจภูมิ (quinary blast injury) คือ การบาดเจ็บอื่นๆ เช่น จากสารเคมี กัมมันตภาพรังสี
การได้รับบาดเจ็บอวัยวะขาด(Abdominal trauma)ควรตั้งสติให้การดูแลปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บ ดังนี้ 1. ห้ามเลือดบริเวณที่อวัยวะขาดให้เร็วที่สุด โดยใช้ผ้าสะอาดหรือผ้าก๊อสจำนวนมากๆปิดบาดแผลหรือพันบริเวณเหนือแผลให้แน่นป้องกันลือดออกควรเป็นผ้าแผ่นว้างผ้ายึดไม่ควรใช้เชือกหรือสายรัดเพราะจะทำให้รัดเส้นประสาทหลอดเลือดเสียได้ 2.หากเลือดบริเวณบาดแผลยังไม่หยุดไหลให้ใช้ผ้าสะอาดกดช้ำให้แน่นเพื่อห้ามเลือด 3.คอยสังเกตอาการผู้บาดเจ็บอย่างใกล้ชิด พยายามอย่าให้รับประทานอาหารทางปาก เพื่อเตรียมตัวในการผ่าตัดแต่หากปวดบาดแผลมากสามารถรับน้ำเล็กน้อยเพื่อกินยาแก้ปวดได้ 5.หากมีเนื้อเยื่อบางส่วนติดกันอยู่(ระหว่างร่างกายและอวัยวะที่ขาด)ให้พยายามประคองส่วนที่ขาดใมให้ถูกดึงรั้งไปมาเพื่อป้องกันอันตรายไม่ให้มากไปกว่าที่เป็นอยู่ 6. ส่งต่อเพื่อรับการรักษาต่อไป
การเก็บรักษาส่วนที่ขาด1. เอาสิ่งสกปรกออกจากส่วนที่ขาด ล้างน้ำสะอาด ใส่ถุงพลาสติกปิดปากถุงให้แน่น2.ใส่ในกระติกน้ำแข็งถุงพลาสติกใหญ่ใส่น้ำแข็ง(อุณหภูมิประมาณ4องศาC3.รีบนำส่งโรงพยาบาลอวัยวะที่มีกล้ามเนื้มาก ๆ เช่น แขน ขา ต้องได้รับการผ่าตัดต่อเส้นเลือดให้เร็วที่สุด ภายใน 6ชม. เพราะกล้ามเนื้อจะตาย ถ้าทิ้งไว้นานเกิน บริเวณที่ไม่มีกล้ามเนื้อ เช่น นิ้วสามารถเก็บไว้ได้12-18ชม.ยังสามารถต่อได้4.ถ้านำส่งโรงพยาบาลได้ภายใน2-3ชม.รีบนำส่งได้เลยทางโรงพยาบาลสามารถจะเตรียมเก็บส่วนที่ขาดเพื่อทำการ
การพยาบาลผู้ป่วยแผลไหม้น้ำร้อนลวก แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้
ระยะฉุกเฉิน (Resuscitative phase or Emergent phase) ปัญหาที่พบในระยะ24-72ชั่วโมงแรกโดยเฉใน48ชั่วโมงแรกซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายต่อชีวิตมีดังนี้
1.1มีการสูญเสียสารน้ำจำนวนมากจนอาจเกิดภาวะhypovolemicshockได้
1.2การหายใจบกพร่อง
1.3ความเจ็บปวดทางร่างกายและทาง จิตใจ
การพยาบาล
1.การดูแลผู้ป่วยเมื่อแรกรับ2-4ชั่วโมงแรก
1.1.ประเมินสภาพเบื้องต้นตามหลักABC (Airway ,Breathing ,Circulation)
1.2หยุดกระบวนการเผาไหม้ที่ยังหลงเหลืออยู่ถอดเสื้อผ้าออกและสำรวจอย่างละเอียด
1.3ชักประวัติจากผู้ป่วยและญาติโดยข้อมูลที่ชักถามครอบคลุมถึงสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้บริเวณที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่ปิดหรือเปิดในกรณีที่อาจมีinhalation injury ร่วมด้วยประวัติการเจ็บป่วยเดิมก่อนได้รับบาดเจ็บประเมินการบาดเจ็บอื่นๆ โดยเฉพาะประเมินสภาพแผลไหม้
บทที่ 4 การประสานงานและส่งต่อ
การประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังนี้ผู้ประสานงานหลักขององค์กร หมายถึง บุคคลที่ได้รับมอบหมายจากองค์กรในการทำหน้าที่รับและส่งข้อมูล และประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ
เจ้าหน้าที่ติดต่อประจำพื้นที่ขององค์กร หมายถึงบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากองค์กรให้ประจำอยู่กับหน่วยต่างๆในพื้นที่เพื่อทำหน้าที่ติดต่อประสานงานระหว่างองค์กรกับหน่วยอื่นๆในพื้นที่ผู้มีจิตอาสาหมายถึงบุคคลที่มีจิตสาธารณะและต้องการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัยหรือช่วยเหลือหน่วยงานภาครัฐหรือภาคีเครือข่ายภาคพลเรือนฯ ในการบรรเทาสาธารณภัย