Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ปัญญาประดิษฐ์, image, image, image, image, image, image, นางสาว ทิพยรัตน์…
ปัญญาประดิษฐ์
ประวัติความเป็นมาของ AI
แนวคิดที่ถือว่าเป็นรากฐานสำคัญของปัญญาประดิษฐ์ เกิดขึ้นตั้งแต่ยุคอาณาจักรกรีกไปจนถึงยุคเรืองปัญญา โดย อาริสโตเติลนักปราชญ์ในยุคนั้นได้แบ่งแยกความแตกต่าง ระหว่างมวลสาร (Matter) กับรูปแบบ (Form) ซึ่งต่อมาได้ พัฒนามาเป็นพื้นฐานการคำนวณเชิงสัญลักษณ์จากแนวคิดของ อาริสโตเติล (Aristotle) ถือว่าเป็นพื้นฐานที่สำคัญเกี่ยวกับปัญญา ประดิษฐ์ที่ได้นักคณิตศาสตร์หลายท่านนำมาสานต่อ ไม่ว่าจะเป็น เลออนฮาร์ด ออยเลอร์ (Leonhard Euler) นักคณิตศาสตร์ ชาวสวิส รวมทั้งนักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษอย่าง ลูอิส คาร์รอลล์ (Lewis Carroll) จอร์จ บลู (George Boole) จนวงการปัญญา ประดิษฐ์ถือว่า แนวคิดของอาริสโตเติลเป็นจุดก่อกำเนิดของ ศาสตร์แขนงนี้ แสดงได้ดังภาพที่ 2.19 ปัญญาประดิษฐ์ได้ถือกำเนิดขึ้นในราว ค.ศ. 1956 ในที่ประชุมวิชาการที่วิทยาลัยดาร์ตมัท (Dartmouth College) ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยผู้ร่วมในการประชุมครั้งนั้น ได้แก่ จอห์น แม็กคาร์ที (John McCarthy) มาร์วิน มินสกี (Marvin Minsky) อาเทอร์ ซามูเอล (Arthur Samuel) และเฮอร์เบิร์ต ไซมอน (Herbert Simon) ที่ได้กลายมาเป็นผู้นำทางสาขา ปัญญาประดิษฐ์ โดยมีการทำวิจัยเรื่อง ทฤษฎีออโตมาตา (Automata Theory) โครงข่ายใยประสาท และศึกษาเรื่อง ความฉลาด (Intelligence) แสดงได้ดังภาพที่ 2.20 จอห์น แม็กคาร์ที เป็นผู้ตั้งชื่อให้กับศาสตร์สาขา ใหม่นี้ว่า Artificial Intelligence หรือ AI ใน ค.ศ. 1995 และ ให้คำจำกัดความของปัญญาประดิษฐ์ไว้ 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1) การสร้างวิธีการแทนสิ่งที่อยู่ในใจ 2) การดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องออกมาใช้ 3) การจัดการแทนค่าออกมาเป็นคำตอบ
นิยามของ AI
ใน ค.ศ. 1956 จอห์น แม็กคาร์ที ดังภาพที่ 2.21 ได้ให้ คำนิยามของปัญญาประดิษฐ์ไว้ว่า “เป็นศาสตร์ทางด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ในการ สร้างความฉลาดให้กับเครื่องจักร” เป็นเครื่องจักรที่มีความสามารถในการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง มีความสามารถในการคำนวณ คิดหาเหตุผล และเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้เองเหมือนกับสมองของมนุษย์ ( อีกทั้งยังมีความสามารถในการตัดสินใจและ - ตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ ด้วยตนเอง ปัญญาประดิษฐ์มีการออกแบบ ระบบเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ปัญหาต่าง ๆ ที่ทับซ้อนหลายชั้น เป็นการเลียนแบบ วิธีการทำงานของสมอง แต่เหนือกว่านั้น สามารถลดระยะเวลาในการเรียนรู้และ การคิดคำนวณจากการใช้เวลาเป็นวัน เดือน หรือปีให้เหลือเพียงชั่วโมง นาที หรือวินาที เท่านั้น ซึ่งเป็นความชาญฉลาดที่สร้างขึ้นให้กับสิ่งที่ไม่มีชีวิต จนสามารถให้นิยามของปัญญาประดิษฐ์ได้ โดยแบ่งออกเป็น 4 ประเภทในมุมมอง 2 มิติ ได้แก่
-
-
ประเภทของ AI
มีการแบ่งหรือจำแนกปัญญาประดิษฐ์ออกเป็นหลาย ๆ แบบ ตามคุณลักษณะต่าง ๆ ซึ่งการแบ่งปัญญาประดิษฐ์ตามระดับความสามารถและสติปัญญา แบ่งออก เป็น 3 ระดับ ดังนี้
2) Artificial General Intelligence (AGI) หรืออาจเรียกว่า Strong AI เป็นสติปัญญา เทียบเท่ามนุษย์ ซึ่งเป็นปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถในการทำงานได้เทียบเท่ากับสมองมนุษย์ ปัจจุบันยังไม่สามารถสร้าง AGI ได้ แต่ลินดา กอตต์เฟรดสัน (Linda Gottfredson) นักจิตวิทยา และนักเขียนชาวอเมริกัน ได้อธิบายว่า ปัญญาประดิษฐ์ในระดับนี้เป็นความสามารถทั่วไปเกี่ยวกับ จิตใจ ความนึกคิดมากกว่าอย่างอื่น โดยจะเกี่ยวกับความสามารถในการเรียนรู้ วางแผน แก้ปัญหา รู้จักคิดในเชิงนามธรรม มีความคิดที่ซับซ้อน เรียนรู้ได้เร็ว เรียนรู้ได้จากประสบการณ์
3) Artificial Super Intelligence (ASI) หรืออาจเรียกว่า ASI ซูเปอร์ปัญญาประดิษฐ์ มีปัญญาเหนือมนุษย์ นิค บอสตรอม (Nick Bostrom) จากออกซฟอร์ด ซึ่งเป็นนักปรัชญาและ ผู้นำความคิดด้าน AI ให้คำจำกัดความของ ASI ว่า จะฉลาดและมีปัญญามากกว่าสมองมนุษย์ ที่ดีที่สุดในทุก ๆ ด้าน รวมไปถึงความคิดสร้างสรรค์ในทางวิทยาศาสตร์ เรื่องทั่วไป หรือความสามารถ ในการเข้าสังคม
1) Artificial Narrow Intelligence (ANI) หรืออาจเรียกว่า Weak AI เป็นระดับ สติปัญญาที่มีความสามารถในการทำงานได้ในเรื่องแคบ ๆ อยู่ในวงจำกัด เช่นใน ค.ศ. 1997 ไอบีเอ็มสร้างคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่สามารถเอาชนะแชมป์หมากรุกได้ ปัจจุบันกูเกิลสามารถ สร้างรถยนต์ไร้คนขับได้ Siri ของแอปเปิลสามารถสื่อสารพูดคุยกับคนได้ แต่ก็ยังไม่มีความ สามารถและความคิดที่จะไปทำอย่างอื่นในขอบเขตที่กว้างไกลใกล้เคียงกับมนุษย์ได้
-
-
-
-
-
-
-
-