Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
PIH,GDM - Coggle Diagram
PIH,GDM
กรณีศึกษา
หญิงตั้งครรภ์อายุ 36 ปี BMI 29.14 กก./ตรม. G1P0 GA 36+5 wks by date
อารสำคัญที่มาโรงพยาบาล : ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว จุกแน่นใต้ลิ้นปี่ 5 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล
ประวัติการเจ็บป่วยปัจจุบัน : ฝากครรภ์ครั้งแรกเมื่ออายุครรภ์ 8 wks ฝากครรภ์ทั้งหมด 8 ครั้ง ครบ 5 ครั้งตามเกณฑ์ ปฏิเสธโรคประจำตัว ปฏิเสธการผ่าตัด ปฏิเสธการแพ้ยาแพ้อาหาร
ประเมินสภาพผู้คลอดแรกรับ : 18 เมษายน 2565 เวลา 7:30 น.
รู้สึกตัวดี ปวดศีรษะตาพร่ามัว จุกแน่นใต้ลิ้นปี่ เจ็บครรภ์ทุก 5 นาที พบบวมบริเวณขาทั้ง 2 ข้าง 2+ ตรวจโปรตีนในปัสสาวะ 2+ Deep tendon reflex 2+
การตรวจครรภ์ : ระดับยอดมดลูก 3/4 > สะดือ ROA อัตราการเต้นของหัวใจ 158 ครั้ง/นาที มดลูกหดรัดตัว Interval ทุก 5 นาที Duration 30 วินาที Severity +1
ตรวจภายใน : Cx.dilate 1 cm. Eff.50% Station -2 MI
V/S : T 37.3 องศาเซลเซียส P 96/min R 20/min BP 180/110-190/117 mmHg
NST : fetal movement ลดลง non reactive
-
-
ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
18/4/65
Hct. 32%
PLT. 139,000cell/mm3
PT 16.6
PTT 34.1
-
-
-
กรณีศึกษา
มารดาไทย G1P0A0L0 น้ำหนัก 85 กิโลกรัม ส่วนสูง 160 เซนติเมตร BMI = 33.20 มีประวัติการเจ็บป่วยของครอบครัว มีมารดาเป็นโรคเบาหวาน
สาเหตุ
เกิดจากพันธุกรรมจากหญิงตั้งครรภ์ มีมารดาเป็นโรคเบาหวานและทารกเพศหญิงมีน้ำหนัก 3,820 g. และจากการที่ตับอ่อนมีการสร้างอินซูลินได้ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย จากความไวในการทำงานของอินซูลินลดลง และฮอร์โมนในระยะตั้งครรภ์ที่มีปัจจัยมาจากการมีรกอยู่ในร่างกาย
-
ผลการตรวจน้ำตาล พบว่า
11 ส.ค.64 ตรวจ GCT =145 mg/dl พบว่าค่ามากกว่า 140 mg/dl ถือว่าผิดปกติ ถ้าผิดปกติหรือผู้ที่มีความเสี่ยงให้ตรวจวินิจฉัยต่อด้วย 100 OGTT
15 ส.ค.64 ตรวจ OGTT = 90 185 167 148 mg/dl พบว่าผลการทดสอบความทนต่อกลูโคสทดสอบความทนต่อกลูโคสตามเกณฑ์ Carpenter and Coustan (95 , 180 , 155 , 140 mg/dl) ผิดปกติตั้งแต่ 2 ค่าขึ้นไป คือ ชั่วโมงที่ 2 ได้ 185 mg/dl ชั่วโมงที่ 3 ได้ 167 mg/dl และ ชั่วโมงที่ 4 ได้ 148 mg/dlการผิดปกติตั้งแต่ 2 ค่าขึ้นไป แต่ค่าระดับน้ำตาลในเลือดก่อนรับประทานอาหาร (Fasting plasma glucose) ต่ำกว่า 105 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ซึ่งในกรณีศึกษาได้ 145 mg/dl
GDM A1 ผลการทดสอบความทนต่อกลูโคสผิดปกติตั้งแต่ 2 ค่าขึ้นไป แต่ค่าระดับน้ำตาลในเลือดก่อนรับประทานอาหาร (Fasting plasma glucose ) ต่ำกว่า 105 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ให้การรักษาโดยการควบคุมอาหาร และการติดตามระดับน้ำตาลในเลือด ถ้ามีการควบคุมอาหารอย่างถูกต้อง และตรวจพบค่าระดับน้ำตาลในเลือดก่อนรับประทานอาหารต่ำ กว่า 105 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และระดับน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหาร 2 ชั่วโมง (2thour postprandial ต่ำกว่า 120 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร จัดว่าเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ชนิด A1 ให้การรักษาโดยการควบคุมอาหาร และออกกำลังกาย
การตรวจวินิจฉัย
-
-
6 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 12.45 น. Fully Dilate และเวลา 13.53 น. เด็กคลอด เพศหญิง น้ำหนัก 3,820 กรัม
-
-
-
อาการ
รู้สึกหิวกระหายน้ำมากกว่าปกติ ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ รู้สึกเหนื่อย อ่อนเพลีย การมองเห็นแย่ลง มีอาการชาปลายมือ ปลายเท้า บาดแผลหายช้า
เมื่อทำการตรวจคัดกรอง GIucose Challenge Test 50 กรัม หากทำการเจาะเลือดเพื่อตรวจระดับน้ำตาล ถ้าค่าที่ได้มากกว่า 140 mg/dl แปลผลได้ว่าผิดปกติ และควรได้รับการตรวจเพิ่มเติม คือ OGTT
ตรวจคัดกรองGlucose Tolerance Test ผลปกติ คือ 95,180,155,140 mg/dl หากผลค่าแรก Fasting Blood Sugar ได้ปกติแปลผลได้ GDM-A1 หากค่าGlucose Toleranch Test ได้มากกว่าค่าปกติ 2 ค่า แปลผลได้ว่า GDM-A2
-
-
สาเหตุ
-ครรภ์แรก
-อายุน้อยกว่า 17 ปี หรือมากกว่า 35 ปี
-ครรภ์แฝด ครรภ์ไข่ปลาอุก
-ความดันโลหิตสูง เบาหวาน
-โรคไต
-ประวัติการเป็น PIH ในครอบครัว
พยาธิสภาพ
มีการหดรัดตัวและหดเกร็งตัว (vasoconstrition และ vasospasm) ของเส้นเลือดแดงทั่วร่างกาย เป็นผลทําให้แรงดันในหลอดเลือดสูงขึ้น เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ลดลง โดยเฉพาะเลือดที่ไปเลี้ยงรกและมดลูก (utero Placental ishemia) และแม้แต่เส้นเลือดเล็ก ๆ ที่ไปเลี้ยงเส้นเลือดแดงเองก็มีการหดรัดตัว ทําให้มีการรั่วซึมของเกร็ดเลือด (Platelet) ไฟบริโนเจน ไปสะสมตามผนังเส้นเลือดมีผลทําให้เส้นเลือดแตกหรืออุดตัน
•สาเหตุการเกิดการหดรัดตัวของเส้นเลือดแดงทั่วร่างกายเชื่อว่าเกิดจากการเพิ่มการตอบสนองของ เส้นเลือดต่อสารเพิ่มแรงดันโลหิต ได้แก่ Angiotensin II และ catecolamines ซึ่งในปัจจุบันเชื่อว่า เกี่ยวข้องกับสาร Prostaglandins
พยาธิ
มีสาเหตุมาจากการต้านฮอร์โมนอินซูลินกับความพร่องของการหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลกลูโคสเหลืออยู่ในกระแสเลือดมาก ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนจากรกที่สูงขึ้นจะกระตุ้นให้เบต้าเชลล์ของตับอ่อนของหญิงตั้งครรภ์หลั่งอินซูลินมากขึ้น ส่งผลให้มีการใช้กลูโคสเพื่อสร้างเนื้อเยื่อไขมันไว้เพื่อเป็นพลังงานของร่างกาย ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง เมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่สองและสาม รกจะสร้างฮอร์โมนที่ฤทธิ์ต้านการทำงานของอินซูลิน ได้แก่ Human Placental Lactogen: HPL , ฮอร์โมนProlactin , ฮอร์โมนcortisol , และฮอร์โมนอินซูลินเนส โดยเฉพาะฮอร์โมน Human Placental Lactogen: HPL จะเพิ่มมากขึ้นตามอายุครรภ์ และจะทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน ระดับน้ำตาลในเลือดของหญิงตั้งครรภ์ก็จะสูงขึ้น และน้ำตาลในกระแสเลือดของหญิงตั้งครรภ์จะแพร่ผ่านรกไปสู่ทารกในครรภ์ แต่อินซูลินจากหญิงตั้งครรภ์ไม่สามารถผ่านรกได้ ทารกจะสร้างอินซูลินเองในปริมาณที่เพียงพอกับระดับน้ำตาลในเลือด จึงส่งผลให้ทารกเพิ่มการเจริญเติบโตของเซลล์ และการสะสมของไขมันที่บริเวณลำตัว ไหล่ จึงทำให้ทารกมีขนาดใหญ่
สาเหตุ
เบาหวานขณะตั้งครรภ์ เกิดขึ้นเนื่องจากตับอ่อนมีการสร้างอินซูลินได้ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ร่วมกับภาวะดื้อต่ออินซูลิน เนื่องจากความไวในการทำงานของอินซูลินลดลง และฮอร์โมนในระยะตั้งครรภ์ เช่น เอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน ฮอร์โมนจากรก (human placental lactogen) อินซูลิเนส โปรเลคติน คอร์ติซอล เป็นต้น มีการทำงานต้านกับการออกฤทธิ์ของอินซูลิน ทำให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ
การรักษา
-การรับประทานอาหารตามหลักโภชนบำบัดการให้คำแนะนำสตรีตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวาน
-การออกกำลังกาย เช่น การเดิน การบริหารโยคะ การเต้นแอโรบิกในน้ำ
การรักษา
1.ป้องกันมิให้เกิดการชัก
2.ลดอันตรายต่อมารดาและทารกเนื่องจากความดันโลหิตสูง
3.ทำให้มีการสิ้นสุดของการตั้งครรภ์ในเวลาที่เหมาะสม