Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

EENT, 6310410015 นางสาวกุลิสรา ดีไร่ - Coggle Diagram

- - - - การรักษาพยาบาลโรคและคำแนะนำเบื้องต้น
        
        แมลงหรือมดเข้าหู
        
        ให้หยอดหูด้วยน้ำอุ่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันถั่วเหลือง
        
        สิ่งแปลกปลอมอื่นๆ ที่ไม่มีชีวิต
        
        ให้เอียงหูข้างนั้นลงต่ำ แล้วเคาะที่ศีรษะเบาๆ
        
        หากปฏิบัติแล้วไม่ได้ผลควรส่งพบแพทย์
      - อาการและอาการแสดง
        
        หูอื้อ ปวดหูและอาจทำให้มีการติดเชื้ออักเสบได้
    - - อาการและอาการแสดง
        
        หูอื้อ หูตึง เกิดขึ้นทันทีหลังได้รับการบาดเจ็บ
        
        อาจมีอาการปวดในรูหูหรือมีเลือดไหลออกจากรูหู
        
        ไม่ได้รับการรักษาอาจกลายเป็นโรคหูน้ำหนวกได้
      - การรักษาพยาบาลโรคและคำแนะนำเบื้องต้น
        
        ควรส่งพบแพทย์ทันที
    - - อาการและอาการแสดง
        
        รู้สึกว่ามีน้ำค้างอยู่ในรูหูตลอดเวลา เมื่อเอาไม้พันสำลีเช็ดออก จะรู้สึกหูยิ่งอื้อ
        
        อาจมีอาการปวดหู หรือวิงเวียนศีรษะร่วมด้วย
        
        หูอื้อ มักเป็นเพียงข้างเดียว เกิดขึ้นเฉียบพลัน หลังว่ายน้ำ อาบน้ำหรือสระผม
      - การรักษาพยาบาลโรคและคำแนะนำเบื้องต้น
        
        ถ้าขี้หูแข็งและแน่นมาก ให้ยาละลายขี้หู หยอดหูบ่อยๆ ซ้ำๆ นาน 3-5 วัน
        
        หากมีอาการอักเสบ
        
        ให้ยาปฏิชีวนะ Cloxacillin หรือ Erythromycin 250-500 มก. วัน ละ 4 ครั้ง ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมงเป็นเวลา 5-7 วัน หากไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย
        
        ใช้ที่แคะขี้หูที่สะอาดเขี่ยขี้หูออกถ้ามีขี้หูไม่มาก
    - - อาการและอาการแสดง
        
        คันหูมาก อาจปวดหู หูอื้อ
      - การรักษาพยาบาลโรคและคำแนะนำเบื้องต้น
        
        ใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำยาทาแผลสด เช็ดหูวันละ 3-4 ครั้ง หรือใช้หยอดหูครั้งละ 10 หยด
    - - อาการและอาการแสดง
        
        อาจมีอาการหูอื้อ คันหู หรือมีไข้ร่วมด้วย
        
        เมื่อดึงใบหูแรงๆ จะเจ็บในรูหูมากขึ้น เมื่อส่องหูจะเห็นการอักเสบหรือฝีในช่องหู เยื่อแก้วหูเป็นปกติ ไม่มีรูทะลุ
        
        อาจมีน้ำเหลือง/หนองไหล
        
        ปวดหู
      - การรักษาพยาบาลโรคและคำแนะนำเบื้องต้น
        
        ให้ยาแก้ปวดลดไข้และยาปฏิชีวนะ
        
        Cloxacillin หรือ Erythromycin 250-500 มก. วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมงเป็นเวลา 5-7 วัน หากไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย
  - - - ชนิดเฉียบพลัน
        
        มีอาการหลังเป็นไข้หวัด เจ็บคอ หรือเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจอื่นๆ
        
        ปวดในรูหู หูอื้อ ไข้สูง หนาวสั่น บางรายอาจวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน
        
        การรักษาพยาบาลโรคและคำแนะนำเบื้องต้น
        
        ให้ยาแก้ปวด ลดไข้ และยาปฏิชีวนะ
        
        ให้ Amoxicillin, Cotrimoxazole หรือ Erythromycin
        
        1 more item...
        
        ในเด็กที่มีอาการชักควรให้ยากันชัก
      - ชนิดเรื้อรัง
        
        มีอาการหูน้ำหนวกเป็นๆหายๆ หูอื้อ หูตึง
        
        เกิดขึ้นเวลาเป็นหวัด เจ็บคอ หรือหลังจากการเล่นน้ำ
        
        อาจมีวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน
        
        ส่วนมากจะไม่มีไข้หรือเจ็บปวดในรูหู
        
        การรักษาพยาบาลโรคและคำแนะนำเบื้องต้น
        
        ใช้ไม้พันสำลีเช็ดหูให้แห้ง แล้วใช้ยาหยอดหูที่เป็นยาปฏิชีวนะ วันละ 3-4 ครั้ง จนกว่าหนองแห้ง ก่อนหยอดยาทุกครั้งควรเช็ดหนองออกให้แห้ง
        
        อาการอักเสบกำเริบเฉียบพลัน ให้ยาปฏิชีวนะ นาน 10 วัน
        
        หากอาการไม่ดีขึ้นใน 1-2 สัปดาห์ควรส่งพบแพทย์
  - - - อาการและอาการแสดง
        
        อาจมีคลื่นไส้อาเจียน มักเกิดทันทีทันใดเวลามีการเคลื่อนไหวของศีรษะ
        
        มักจะเป็นอยู่เพียงไม่กี่วินาที เมื่อศีรษะอยู่นิ่งๆ จะหาย
        
        อาจมีอาการตากระตุก เดินเซ
        
        วิงเวียน เห็นพื้นบ้านหรือเพดานหมุน
      - การรักษาพยาบาลโรคและคำแนะนำเบื้องต้น
        
        ให้ยาแก้อาเจียน
        
        Dimenhydrinate ครั้งละ 1-2 เม็ดซ้ำได้ทุก 6 ชม.
        
        หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ หรือมีหูอื้อ เดินเซ ตากระตุก แขนขาอ่อนแรง ความดันโลหิตสูง หรืออาเจียนรุนแรงควรส่งพบแพทย์
        
        หากมีอาการวิงเวียนมาก ให้ผู้ป่วยนอนพักนิ่งๆ และหลับตา อย่าลุกแบบเฉียบพลัน
- - - - เยื่อบุจมูกบวมแดง คอแดงเล็กน้อย
      - ถ้าเคาะหรือกดแรงๆ ตรงบริเวณหัวตา หน้าผากหรือใต้ตาจะรู้สึกเจ็บ
      - อาจมีไข้ในรายที่เป็นเฉียบพลัน
    - - ให้การรักษาตามอาการ
        
        คัดจมูกให้ยาแก้คัดจมูก ไม่ควรให้ยาแก้แพ้ยกเว้นในรายที่มีภูมิแพ้ อาจให้เพียง 2-3 วัน
        
        หากเกิดการติดเชื้อให้ยาปฏิชีวนะ
        
        Amoxicillin, Erythromycin หรือ Cotrimoxazole ติดต่อกัน 10-14 วัน
        
        มีไข้ให้ยาแก้ปวดลดไข้
  - - - มีเลือดสดๆ ไหลออกทางรูจมูก
    - - ให้ผู้ป่วยเงยหน้าขึ้น/ก้มหน้าลงมากๆให้นิ้วมือบีบจมูกทั้ง 2 ข้างให้แน่น 5-10 นาทีให้ผู้ป่วยหายใจทางปาก ทำซ้ำๆนาน 10 นาที
  - - - เป็นหวัด คัดจมูก จามบ่อย น้ำมูกใสๆ คันในจมูก คันคอ คันตา น้ำตาไหล แสบคอ หรือไอแห้งๆ ระคายคอ
      - อาจมีอาการปวดตื้อตรงบริเวณหน้าผากหรือหัวคิ้ว มักเกิดประจำช่วงตอนเช้าหรือเวลาอากาศเย็น หรือที่มีฝุ่นละออง หรือสารแพ้อื่นๆ
      - เยื่อจมูกบวมและซีด
      - อาจพบเยื่อตาขาวแดงเล็กน้อย
    - - แนะนำให้สังเกตว่าแพ้สิ่งใดและให้หลีกเลี่ยง
      - ถ้ามีอาการคัดจมูกน้ำมูกไหลมาก หรือไอมาก
        
        ให้ยาแก้แพ้
        
        Chlorpheniramine
        
        หากอาการไม่ดีขึ้น หรือเป็นเรื้อรังนานๆ ควรแนะนำให้พบแพทย์
- - - - เยื่อตาขาวอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย/ไวรัส/แพ้ ท่อน้ำตาอุดตัน ต้อเนื้อ
    - - เยื่อตาขาวอักเสบจากเชื้อไวรัส/แพ้ ท่อน้ำตาอุดตัน
    - - เยื่อตาขาวอักเสบจากเชื้อไว้รัส กุ้งยิง หนังตาอักเสบ ท่อน้ำตาอุดตัน ต้อหิน
    - - เยื่อตาขาวอักเสบจากการแพ้
    - - ต้อกระจก ต้อหิน
    - - เยื่อตาขาวอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย ท่อน้ำตาอุดตัน
  - - - อาการและอาการแสดง
        
        เห็นจุดหรือมีเส้นใยบาง ๆ ในดวงตา
        
        เส้นเลือดฝอยในดวงตาแตก
        
        ตาแห้ง คันตา หรือเจ็บตา
        
        ตากลัวแสงหรือไม่สู้แสง
        
        มีขี้ตา น้ำตามาก มีเลือดออกจากดวงตา
        
        มองเห็นไม่ชัดเจนในระยะใกล้ หรือในตอนกลางคืน
      - อาการที่ควรพบแพทย์ทันที
        
        ปวดศีรษะรุนแรง
        
        เห็นแสงสีรุ้ง
        
        บริเวณตาขาวเริ่มเป็นสีแดง
        
        คลื่นไส้อาเจียน
        
        ปวดลูกตามาก
        
        มีปัญหาในการมองเห็น หรือสูญเสียการมองเห็นบางส่วนหรือทั้งหมดชั่วคราว
      - อาการที่ส่งผลต่อการมองเห็นบางส่วนหรือทั้งหมด
      - การรักษาพยาบาลและคำแนะนำโรคเบื้องต้น
        
        ปิดตาและให้ยาระงับการปวด
        
        คำแนะนำ
        
        สวมแว่นกันแดดตลอดเวลาเมื่ออยู่ในที่แจ้ง หรือแว่นตาป้องกันขณะทำงานในบริเวณที่มี
        สารเคมีหรือฝุ่นละออง
        
        กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อดวงตา เช่น ผักใบเขียว ผักสีม่วง หรือเนื้อปลา ที่มี
        ส่วนประกอบของกรดไขมันโอเมก้า 3
        
        งดสูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
        
        การตรวจตาเป็นประจำ
        
        0-6 ปี ตรวจปีละครั้ง
        
        6-18 ปี ตรวจทุก 2-4 ปี
        
        19-39 ปี ตรวจทุก 3-5 ปี
        
        40-64 ปี ตรวจทุก 2-4 ปี
        
        65 ปีขึ้นไป ตรวจทุก 1-2 ปี
    - - เยื่อตาขาวอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial conjunctivitis)
        
        พบบ่อยในคนสูงวัย มักหายได้
        เองใน 10-14 วัน
        
        อาการและอาการแสดง
        
        ตาแดง หนังตาบวม
        
        ขี้ตามากเป็นสีเหลือง/สีเขียว เป็นที่ตาข้างหนึ่งก่อนแล้วจึงลามมาอีกข้างหนึ่ง
        
        ไม่มีอาการปวดตา หรือเคืองตามาก ไม่คัน และต่อมน้ำเหลืองที่หน้าหูไม่โต
        
        การรักษาพยาบาลโรคและคำแนะนำเบื้องต้น
        
        ให้ยาป้ายตาหรือยาหยอดตา
        
        ขี้ผึ้งป้ายตา Tetracycline
        
        ก่อนนอนควรใช้ชนิดขี้ผึ้งป้ายตาเพื่อป้องกันไม่ให้ตาติดกัน
        
        ยาหยอดตา Neosporins หรือ Chloramphenica
        
        ครั้งละ 1-2 หยด ทุก 2-4 ชั่วโมง
        
        ก่อนใช้ยาทุกครั้งควรใช้น้ำสุกเช็ดขี้ตาออก
        
        ส่วนมากอาการจะดีขึ้นภายใน 2-3 วัน ควรให้ยาต่อ 5-7 วัน แต่หากอาการไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์
        
        ให้กินยาปฏิชีวนะ(หากหนังตาบวมมาก)
        
        Cloxacillin หรือ Erythromycin 250-500 มก.
        
        วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า กลางวัน เย็นและก่อนนอน
        
        ให้ยาแก้ปวด(หากปวดมาก)
        
        Paracetamol 500 มก.
        
        1 เม็ดทุก 4-6 ชั่วโมงเมื่อปวด
      - เยื่อตาขาวอักเสบจากเชื้อไวรัส (Viral conjunctivitis)
        
        พบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ มีการระบาด เกิดจากการติดเชื้อไวรัสติดต่อโดยการสัมผัสมักเป็นข้างหนึ่งแล้วลามมาอีกข้างหนึ่ง
        
        อาการและอาการแสดง
        
        เคืองตา น้ำตาไหล มีขี้ตาเล็กน้อย
        
        ต่อมน้ำเหลืองที่หน้าหูโต
        
        ตาแดง หนังตาบวม
        
        อาจมีไข้ เจ็บคอ อ่อนเพลียร่วมด้วย มักพบว่าเป็นพร้อมกันหลายคน
        
        การรักษาพยาบาลโรคและคำแนะนำเบื้องต้น
        
        ให้ยาหยอดหรือยาป้ายตาที่มีส่วนผสมของยาปฏิชีวนะ
        
        ยาหยอดตาฮิสตาออป หรือ คลอแรมฟินิคอล
        
        ครั้งละ 1-2 หยด ทุก 2-4 ชั่วโมง
        
        ห้ามใช้ยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์
        
        ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น กระจกตาอักเสบ
        
        หากไม่ดีขึ้นใน 1 สัปดาห์ หรือกระจกตาขุ่นมัวหรือเป็นแผล ควรส่งพบแพทย์
      - เยื่อตาขาวอักเสบจากการแพ้ (Allergic conjunctivitis)
        
        พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ สาเหตุต้นๆของอาการคันตา ตาแดง
        
        อาการและอาการแสดง
        
        ตาขาวจะมีสีแดงเรื่อๆ ตาแดงเล็กน้อย
        
        มักมีน้ำตาไหล ตอนแรกน้ำตาจะใส ต่อมาจะเหนียว
        
        มักไม่มีขี้ตา หรือมีเพียงเล็กน้อย ใสๆ หรือสีขาว
        
        คันตามาก โดยมักจะคันตรงหัวตา ต้องขยี้จนหนังตาจะบวมช้ำ
        
        แพ้รุนแรง เยื่อตาขาวอาจบวมเป่งเป็นเยื่อใสๆ
        
        การรักษาพยาบาลโรคและคำแนะนำเบื้องต้น
        
        ให้กินยาแก้แพ้(หากเป็นมาก)
        
        Chlorpheniramine
        
        ครั้งละ ½ – 1 เม็ด วันละ 2-3 ครั้ง ถ้ารู้สึกคันมาก
        
        แนะนำพยายามอย่าขยี้ตา ควรประคบด้วยน้ำแข็งโดยใส่ก้อนน้ำแข็งไว้ในถุงพลาสติกเอาผ้าเช็ดหน้า สะอาดห่ออีกชั้น วางประคบลงบนเปลือกตาข้างที่คัน
        
        ให้ยาหยอดตาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์
        
        ใช้เท่าที่จำเป็น แต่ละครั้งไม่ควรใช้ติดต่อกันเกิน 7 วัน
        
        ใช้ติดต่อกันนานๆ อาจทำให้กลายเป็นต้อหินเรื้อรังได้
        
        พยายามสังเกตสิ่งที่แพ้แล้วหาทางหลีกเลี่ยง
    - - อาการและอาการแสดง
        
        ปวดที่เปลือกตาตุบๆ เฉพาะที่จุดใดจุดหนึ่ง บริเวณนั้นขั้นเป็นตุ่มแข็ง เมื่อเอามือไปแตะจะรู้สึกเจ็บ ต่อมาจะนุ่มลงบางครั้งมีหนองนูนเป่ง เห็นเป็นหัวขาวๆเหลืองๆ โดยมากจะขึ้นเพียงตุ่มเดียว ที่เปลือกตาบนหรือล่างก็ได
        
        เปลือกตาบวม หรือมีขี้ตาไหล กุ้งยิงขึ้นที่หางตา จะมีอาการรุนแรง อาจทำให้หนังตาบวมแดงจนตาปิด
        
        ผู้ป่วยที่เคยเป็นกุ้งยิงมาครั้งหนึ่งแล้ว จะมีอาการกำเริบเป็นๆหายๆ ตรงจุดเดิม หรือย้ายที่ หรือสลับข้างไปมาได้
        
        กุ้งยิงชนิดหัวหลบใน จะพบตุ่มนูนอยู่ใต้เปลือกตา กดถูกเจ็บเมื่อปลิ้นเปลือกตาจะเห็นหัวฝีซ่อนอยู่ภายใน เป็นมากอาจทำให้มีหนังตาอักเสบร่วมด้วย
      - การรักษาพยาบาลโรคและคำแนะนำเบื้องต้น
        
        ตุ่มฝีใหม่ๆ เป็นตุ่มแข็ง ยังไม่กลัดหนอง
        
        หนังตาบวมแดง หรือมีต่อมน้ำเหลืองที่หน้าหูโตร่วมด้วย
        
        ให้ยา Cloxacillin 250-500 มก. วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมงเป็นเวลา 5-7 วัน
        
        ตุ่มฝีเป่งเห็นหัวหนองชัดเจน
        
        สะกิดหรือผ่าระบายเอาหนองออก
        
        ให้ยาCloxacillin หรือ Erythromycin 250-500 มก. วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมงเป็นเวลา 5-7 วัน
        
        ประคบด้วยน้ำอุ่นจัดๆ ตรงบริเวณหัวฝี และนวดเบาๆ
        
        วันละ 4 ครั้ง ครั้งละ 20-30 นาที
        
        หลังประคบทุกครั้ง ให้ใช้ยาหยอดตาหรือป้ายตาที่มีส่วนผสมของยาปฏิชีวนะ
        
        เป็นๆหายๆ บ่อย อาจมีภาวะแทรกซ้อนอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น เบาหวาน สายตาผิดปกติ
        
        แนะนำไปพบแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุที่ชัดเจน
      - ตุ่มฝีเล็กๆ ที่เกิดที่ขอบเปลือกตา แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ กุ้งยิงชนิดหัวผุด และกุ้งยิงชนิดหลบใน
    - - การอักเสบของหนังตาบนเป็นพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง มีชนิดเป็นแผ่นเปื่อย และชนิดเป็นเกล็ดรังแค
      - การรักษาพยาบาลโรคและคำแนะนำเบื้องต้น
        
        เป็นแผลเปื่อยและมีคราบหนอง
        
        ใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำต้มสุกหรือน้ำเกลือเช็ดชำระให้สะอาด ประคบด้วยน้ำอุ่นจัดๆ
        
        ใช้ยาป้ายตาที่มีส่วนผสมของยาปฏิชีวนะป้ายที่ขอบหนังตา วันละ 3-4 ครั้ง
        
        มีการอักเสบมาก
        
        กินยา Cloxacillin หรือ Erythromycin 250-500 มก. วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมงเป็นเวลา 5-7 วัน หากไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์
        
        ไม่มีแผลเปื่อย มีเพียงเกล็ดสีขาวของรังแค
        
        ใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำต้มสุก หรือน้ำเกลือเช็ดชำระออก และใช้แชมพูรักษารังแคสระผม
        
        หากมีอาการคันและบวมแดงมาก
        
        ใช้ยาหยอดตาสเตียรอยด์ ทาตรงบริเวณขอบตาวันละ 3-4 ครั้ง
      - อาการและอาการแสดง
        
        เคืองตาคล้ายมีอะไรเข้าตา
        
        ปวดร้อน
        
        คันร่วมด้วย
        
        น้ำตาไหลและกลัวแสง
        
        ชนิดแผลเปื่อย อาจมีคราบหนองติดที่ขอบตา เมื่อเขี่ยออกอาจมีเลือดซึม
    - - อาการและอาการแสดง
        
        มีขี้ตาออกมาเป็นครั้งคราว
        
        เมื่อเกิดอาการอักเสบของถุงน้ำตา จะพบตุ่มนูนตรงหัวตา ใช้นิ้วกดตรงหัวตาจะมีหนองไหลออกมาในตาแล้วตุ่มนูนก็ยุบลง แต่ต่อมาก็กลับนูนขึ้นอีก
        
        ถ้าเป็นรุนแรงตุ่มนูนนั้นจะมีอาการปวดแดงร้อนคล้ายฝี ซึ่งอาจแตก มีน้ำตาและหนองไหลออกมา
        
        มีน้ำตาไหลมาก
      - การรักษาพยาบาลโรคและคำแนะนำเบื้องต้น
        
        มีถุงน้ำตาอักเสบ
        
        ใช้น้ำอุ่นจัดๆ ประคบ
        
        ให้ยาแก้ปวดและยาป้ายตา หรือยาหยอดปฏิชีวนะ
        
        ถ้าอักเสบรุนแรง
        
        ให้ยาปฏิชีวนะ
        
        Cloxacillin หรือ Erythromycin 250-500 มก. วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมงเป็นเวลา 5-7 วัน หากไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์
        
        มีอาการน้ำตาไหลมากผิดปกติ แนะนำพบแพทย์
    - - อาการและอาการแสดง
        
        จะไม่รู้สึกว่ามีอาการผิดปกติ
        
        เป็นระยะเวลานานอาจลุกลามไปถึงกลางตาดำ ทำให้เกิดตามัว
        
        เห็นแผ่นเนื้อเยื่อสามเหลี่ยมสีเหลืองๆ ที่บริเวณตาขาวชิดตาดำ ส่วนมากเกิดที่หัวตา
        
        เป็นต้อเนื้อที่หัวตาและหางตาพร้อมกัน อาจเป็นตาข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้
      - การรักษาพยาบาลโรคและคำแนะนำเบื้องต้น
        
        ถ้ามีอาการอักเสบ
        
        ให้ใช้ยาหยอดตาปฏิชีวนะ
        
        ฮิสตาออป หยอดทุก 2-4 ชั่วโมงจนกว่าจะหาย
        
        รอจนกระทั่งต้อเนื้อยื่นเลยขอบตาดำเข้าไป 3-4 มล. แนะนำให้พบแพทย์เพื่อทำการผ่าตัดลอกออก
        
        ถ้าไม่มีการอักเสบและเป็นน้อยๆ
        
        ไม่ต้องทำอะไรแต่ควรสวมแว่นตากันแดดเวลาออกนอก เพื่อป้องกันไม่ให้ต้อเนื้อลุกลาม
    - - อาการและอาการแสดง
        
        ตาค่อยมัวลงทีละน้อย ระยะแรกจะรู้สึกเหมือนมีหมอกบัง
        
        มองในที่มืดชัดกว่าที่สว่าง มองที่สว่างรู้สึกพร่ามัว สู้แสงไม่ได้หรือเห็นภาพซ้อน
        
        ตามัวมากขึ้นทำให้แก้วตาขุ่นส่งผลให้มองไม่เห็น
      - การรักษาพยาบาลโรคและคำแนะนำเบื้องต้น
        
        ส่งไปพบจักษุแพทย์
    - - การรักษาพยาบาลโรคและคำแนะนำเบื้องต้น
        
        ส่งไปพบจักษุแพทย์
      - อาการและอาการแสดง
        
        ชนิดเฉียบพลัน
        
        ปวดลูกตาและศีรษะข้างใดข้างหนึ่งเฉียบพลันอย่างรุนแรงและเป็นระยะเวลานานร่วมกับตาพร่ามัว เห็นแสงสีรุ้ง คลื่นไส้อาเจียน
        
        ชนิดเรื้อรัง
        
        ตาจะมัวลงทีละน้อย ระยะแรกไม่รู้สึกผิดปกติ อาจมึนศีรษะ อ่านหนังสือเมื่อยตา
        
        เมื่อใช้ไฟฉายส่องให้ผู้ป่วยมองต่ำ กดบนเปลือกตารู้สึกว่าข้างที่ปวดจะแข็งกว่าข้างที่ไม่ปวด
        
        หากเป็นรุนแรงทำให้ประสาทตาเสื่อม ตาบอดได้
- - - - ไข้สูง ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ครั่นเนื้อครั่นตัว หนาวสะท้าน เจ็บคอมาก
      - เด็กเล็กอาจมีอาเจียน ไอ ปวดท้องหรือท้องเดินร่วมด้วย เสียงแห้ง บางคนอาจมีไข้สูงจนชัก ร้องกวนไม่ยอมนอน
      - อาจมีต่อมน้ำเหลืองอักเสบที่บริเวณใต้คางข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง
    - - เจ็บคอบ่อย เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ไอแห้งๆ มีเสมหะเล็กน้อย มักไม่มีไข้ หรืออาจมีไข้ต่ำๆ เสียงแห้ง
    - - ควรกลั้วคอด้วยน้ำเกลือ (เกลือป่น ½ ช้อนโต๊ะ ในน้ำอุ่น 1 แก้ว) วันละ 2-3 ครั้ง
      - ให้ยาลดไข้ ในเด็กเล็กที่เคยชัก ให้ยากันชักร่วมด้วย
      - แนะนำให้พักผ่อนมากๆ ดื่มน้ำมากๆ ให้เช็ดตัวเวลามีไข้สูง รับประทานอาหารอ่อน
      - มีการอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย
        
        ต่อมทอลซิลจะสีแดงจัด หรือมีจุดหนองหรือต่อมน้ำเหลืองใต้คางบวมเจ็บ
        
        ให้ยาปฏิชีวนะ
        
        Amoxicillin 500 มก. วันละ 4 ครั้งหลังอาหารและก่อนนอน
        
        หากอาการดีขึ้นให้ทานต่อจนครบ 10 วัน
        
        หากไม่ดีขึ้นใน 3 วันหรือทานยาไม่ได้ หรือมีโรคแทรกซ้อนรุนแรงหรือเป็นเรื้อรังให้ส่งพบแพทย์
        
        Erythromycin 500 มก. ทุก 6 ชั่วโมง