Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

EENT, นางสาวชนกนันท์ บุญเดช รหัส 6310410028 - Coggle Diagram

- - - - อาการ&อาการแสดง
        
        ปวดหู อาจมีน้ำเหลือง/หนองไหล บางรายอาจมีอาการหูอื้อ คันหู หรือมีไข้ร่วมด้วย เมื่อดึงใบหู แรงๆ จะเจ็บในรูหูมากขึ้น เมื่อส่องหูจะเห็นการอักเสบหรือฝีในช่องหู เยื่อแก้วหูเป็นปกติ ไม่มีรูทะทุ อาจพบต่อมน้ำเหลืองโตที่หน้าหู หลังหูหรือบริเวณคอ
      - การรักษาพยาบาล/คำแนะนำ
        
        ให้ยาแก้ปวด ลดไข้ และยาปฏิชีวนะ Cloxacillin หรือ Erythromycin 250-500 มก. วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมงเป็นเวลา 5-7 วัน หากไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์
    - - อาการ&อาการแสดง
        
        หูอื้อ มักเป็นเพียงข้างเดียว เกิดขึ้นเฉียบพลันหลังว่ายน้ำ อาบน้ำหรือสระผมเนื่องจากข้ึหูท่ีสะสมอยู่อุ้มน้ำที่เข้าไปในรูหู จนก้อนขี้หูพองตัว
        
        บางรายจะรู้สึกว่ามีน้ำค้างอยู่ในรูหูตลอดเวลา เมื่อเอาไม้พันสำลีเช็ดออก จะรู้สึกหูยิ่งอื้อ เนื่องจากไม้พันสาลีดันขี้หูลึกเข้าไปและเกิดการอัดแน่นยิ่งขึ้น
        
        อาจมีอาการปวดหู หรือวิงเวียนศีรษะร่วมด้วย
      - การรักษาพยาบาล/คำแนะนำ
        
        หากส่องไฟดูในหูแล้วพบว่า มีขี้หูไม่มาก ให้ใช้ที่แคะขี้หูที่สะอาดเขี่ยขี้หูออก
        
        หากพบขี้หูแข็งและแน่นมาก ให้ยาละลายขี้หู หยอดหูบ่อยๆ ซ้าๆ นาน 3-5 วัน
        
        หากมีอาการอักเสบ ควรให้ยาปฏิชีวนะ Cloxacillin หรือ Erythromycin 250-500 มก.
        วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมงเป็นเวลา 5-7 วัน หากไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์
    - - การรักษาพยาบาล/คำแนะนำ
        
        หากเป็นแมลงหรือมดเข้าหู ให้หยอดหูด้วยน้ำอุ่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันถั่วเหลือง ซึ่งตัวแมลงมักตาย และอาจลอยขึ้นมาได้เอง
        
        หากเป็นสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ ที่ไม่มีชีวิต ให้เอียงหูซ้ายนั้นลงต่ำ แล้วเคาะที่ศีรษะเบาๆ ถ้าเป็นสิ่งของเล็กๆอาจหลุดออกมาได้
        
        ถ้าแก้ไขไม่ได้ ให้พบแพทย์
      - อาการ&อาการแสดง
        
        หูอื้อ ปวดหูและอาจทำให้มีการติดเชื้ออักเสบได้
    - - อาการ&อาการแสดง
        
        หูอื้อหูตึง เกิดขึ้นทันทีหลังได้รับการบาดเจ็บบางรายอาจมีอาการปวดในรูหหูรือมีเลือดไหลออกจากรูหู หากไม่ได้รับการรักษาอาจทาให้เกิดอาการอักเสบกลายเป็นโรคหูน้ำหนวกได้
      - การรักษาพยาบาล/คำแนะนำ
        
        ควรส่งพบแพทย์ทันที
    - - อาการ&อาการแสดง
        
        คันหูมาก อาจปวดหู หูอื้อ
      - การรักษาพยาบาล/คำแนะนำ
        
        ให้ใช้ไม้พันสาลีชุบน้ำยาทาแผลสด เช็ดหูวันละ 3-4 ครั้ง หรือใช้หยอดหูครั้งละ 10 หยด โดยนอนตะแคงให้ยาค้างในหูอย่างน้อย 5 นาที จากนั้นตะแคงหูข้างนั้นลง ซับให้แห้ง ทาวันละ 3-4 คร้ัง
        อาจรู้สึกแสบมาก อาการจะดีขึ้นใน 2-3 วัน หากไม่ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ ควรส่งพบแพทย์
  - - - เรื้อรัง
        
        จะมีอาการหูน้ำหนวกเป็นๆหายๆ หูอื้อ หูตึง โดยหูน้ำหนวกจะเกิดขึ้นเวลาเป็นหวัด เจ็บคอ หรือหลังจากการเล่นน้ำ บางรายมีอาการวิงเวียนศีรษะ N/V ส่วนมากจะไม่มีไข้หรือ เจ็บปวดในรูหู
        
        ใช้ไม้พันสาลีเช็ดหูให้แห้ง แล้วใช้ยาหยอดหูที่เป็นยาปฏิชีวนะ วันละ 3-4 ครั้ง จนกว่าหนองแห้ง ก่อนหยอดยาทุกครั้งควรเช็ดหนองออกให้แห้ง หากมีอาการอักเสบกำเริบเฉียบพลัน ให้ยาปฏิชีวนะนาน 10 วัน ถ้าอาการไม่ดีข้ึนใน 1-2 สัปดาห์ควรส่งพบแพทย์
      - เฉียบพลัน
        
        จะมีอาการหลังเป็นไข้หวัด เจ็บคอ หรือเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจอื่นๆ มีอาการปวดในรูหู หูอื้อ ไข้สูง หนาวสั่น บางรายอาจวิงเวียนศีรษะ N/V ท้องเดิน
        
        ให้ยาแก้ปวด ลดไข้ และยาปฏิชีวนะ เช่น Amoxicillin, Cotrimoxazole หรือ Erythromycin ในเด็กที่มีอาการชักควรให้ยากันชัก หากอาการดีขึ้นใน 2-3 วัน ควรให้ยาปฏิชีวนะจน ครบ 10 วัน หากไม่ดีข้ึนควรส่งพบแพทย์
  - - - อาการ&อาการแสดง
        
        มีอาการวิงเวียนเห็นพื้นบ้านหรือเพดานหมุน
        
        อาจมี N/V มักเกิดทันทีทันใดเวลามีการเคลื่อนไหวของศีรษะ
        
        บางรายอาจมีอาการตากระตุก เดินเซ อาจมีอาการวิงเวียนมาก อาการจะเป็นอยู่ไม่ก่ีวันก็ค่อยๆทุเลาและหายได้เอง แต่บางรายอาจมีอาการเป็นสัปดาห์ๆ แต่จะหายขาดภายใน 3 สัปดาห์ โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน
      - การรักษาพยาบาล/คำแนะนำ
        
        วิงเวียนมาก ให้ผู้ป่วยนอนพักนิ่งๆ และหลับตา อย่าลุกแบบเฉียบพลัน ไม่เคลื่อนไหวศีรษะไปในทิศทางท่ีทำให้เกิดอาการวิงเวียน
        
        ให้ยาแก้อาเจียน เช่น Dimenhydrinate ครั้งละ 1-2 เม็ดซ้ำได้ทุก 6 ชม.
        
        หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ หรือมีหูอื้อ เดินเซ ตากระตุก แขนขาอ่อนแรง ความดันโลหิตสูง หรืออาเจียนรุนแรงควรส่งพบแพทย์
- - - - ไข้สูง ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ครั่นเนื้อครั่นตัว หนาวสะท้าน เจ็บคอมาก เด็กเล็กอาจมีอาเจียน ไอ ปวดท้องหรือท้องเดินร่วมด้วย เสียงแห้ง บางคนอาจมีไข้สูงจนชัก ร้องกวน ไม่ยอมนอน อาจมีต่อมน้ำเหลืองอักเสบท่ีบริเวณใต้คางข้างใดข้างหน่ึงหรือทั้งสองข้าง
    - - เจ็บคอบ่อย เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ไอแห้งๆ มีเสมหะเล็กน้อย มักไม่มีไข้ หรืออาจมี ไข้ต่ำๆ เสียงแห้ง
- - - - แนะนำให้สังเกตว่าแพ้ส่ิงใดและให้หลีกเลี่ยง ถ้ามีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลมาก หรือไอมาก ให้ยาแก้แพ้ เช่น Chlorpheniramine หากอาการไม่ดีขึ้น หรือเป็นเรื้อรังนานๆ ควรแนะนำให้พบแพทย์
  - - - ให้การรักษาตามอาการ เช่น มีไข้ให้ยาแก้ปวดลดไข้ คัดจมูกให้ยาแก้คัดจมูก :forbidden:ไม่ควรให้ยาแก้แพ้ เพราะอาจทำให้น้ำเมือกในโพรงไซนัสเหนียว ยกเว้นในรายที่มีภูมิแพ้ อาจให้เพียง 2-3 วันหากติดเชื้อ ให้ยาปฏิชีวนะเช่นAmoxicillin,Erythromycin หรือ Cotrimoxazole ติดต่อกัน10-14วันหาก ไม่ดีข้ึนควรส่งต่อเพื่อพบแพทย์
  - - - ให้ผู้ป่วยเงยหน้าข้ึน/ก้มหน้าลงมากๆให้นิ้วมือบีบจมูกทั้ง 2 ข้างให้แน่น 5-10 นาที หายใจทางปาก ทำซ้ำนาน 10 นาที
- - - - ต้อกระจก, ต้อหิน
    - - เยื่อตาขาวอักเสบจากเชื้อไว้รัส, กุ้งยิง หนังตาอักเสบ, ท่อน้ำตาอุดตัน, ต้อหิน
    - - เยื่อตาขาวอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย/ไวรัส, เยื่อตาขาวอักเสบจากการแพ้, ท่อน้ำตาอุดตัน, ต้อเนื้อ
    - - เยื่อตาขาวอักเสบจากเชื้อไวรัส, เยื่อตาขาวอักเสบจากการแพ้, ท่อน้ำตาอุดตัน
    - - เยื่อตาขาวอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย, ท่อน้ำตาอุดตัน
    - - เยื่อตาขาวอักเสบจากการแพ้
  - - - ส่งผลต่อการมองเห็นบางส่วน/ท้ังหมด
      - อาการ&อาการแสดง
        
        มีขี้ตา น้ำตา อาจมีเลือดไหลออกมา
        
        ตาแห้ง คัน/เจ็บตา
        
        เห็นจุด/มีเส้นใยบางๆในตา
        
        เส้นเลือดฝอยในตาแตก
        
        ตาไม่สู้แสง
        
        มองใกล้ๆ/กลางคืนไม่ชัด
      - :warning:อาการที่ควรพบแพทย์ทันที
        
        ปวดลูกตามาก
        
        ตาขาวเริ่มเป็นสีแดง
        
        ปวดหัวรุนแรง
        
        เห็นแสงสีรุ้ง
        
        N/V
        
        สูญเสียการมองเห็นบางส่วน/ทั้งหมดชั่วคราว
      - การรักษาพยาบาล/คำแนะนำ
        
        สวมแว่นเมื่ออยู่ที่แจ้ง/ขณะทำงานบริเวณที่มีสารเคมี ฝุ่นละออง
        
        กินอาหารที่มีประโยชน์ตาดวงตา ex. ผักใบเขียว ผักสีม่วง หรือเนื้อปลา (มีกรดไขมันโอเมก้า 3)
        
        งดสูบบุหรี่/ดื่มแอลกอฮอล์ เพราะทำให้การมองเห็นลดลง
        
        ตรวจตา
        
        อายุ 6-8 และ 40-64 ตรวจทุก 2-4 ปี
        
        อายุ 0-6 ปี อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
        
        อายุ 19-39 ปี ตรวจมุก 3-5 ปี
        
        :!:ผู้มีประวัติโรคตาในครอบครัว/ผู้ป่วยอายุ >65 ปี เป็น DM/HT ตรวจเป็นประจำ
        
        อายุ 65 ปีขึ้นไป ตรวจทุก 1-2 ปี
    - - อาการ&อาการแสดง
        
        ตาแดง/หนังตาบวม
        
        ขี้ตามาก สีเหลือง/เขียว มักมีตาอักเสบ โดยเป็นข้างหนึ่งก่อนและลามไปอีกข้าง
        
        ไม่มีปวดตา/เคืองตา ไม่คัน ต่อมน้ำเหลืองหน้าหูไม่โต
      - พบบ่อยในผู้สูงอายุ มักหายเองใน 10-14 วัน
      - การรักษาพยาบาล/คำแนะนำ
        
        ยาป้ายตาหรือยาหยอดตา เช่น ขี้ผึ้งป้ายตา Tetracycline, ยาหยอดตา Neosporins หรือ Chloramphenical ครั้งละ 1-2 หยด q 2-4 hr
        
        ก่อนนอนควรใช้ชนิดขี้ผึ้งป้ายตาเพื่อป้องกัน ไม่ให้ตาติดกัน
        
        ก่อนใช้ยาทุกครั้งควรใช้น้ำต้มสุกเช็ดขี้ตาออก
        
        หนังตาบวมมากให้ยาปฏิชีวนะ เช่น Cloxacillin หรือ Erythromycin 250-500 mg วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า กลางวัน เย็นและก่อนนอน
        
        ปวดมากให้ยาแก้ปวด paracetamol 500 mg 1 เม็ด q 4-6 hr prn ปวด
        
        ส่วนมากอาการจะดีขึ้นภายใน 2-3 วัน ควรให้ยาต่อ 5-7 วัน แต่หากอาการไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์
    - - พบในเด็ก>ผู้ใหญ่ อาจระบาดในช่วงเดือน มิ.ย.-ธ.ค.
      - อาการ&อาการแสดง
        
        เคืองตา น้ำตาไหล มีขี้ตาเล็กน้อย
        
        ตาแดง หนังตาบวม
        
        :!!:ต่อมน้ำเหลืองหน้าหูโต
        
        อาจมีไข้ เจ็บคอ อ่อนเพลีย เป็นข้างหนึ่งก่อนและลามไปอีกข้าง
      - การรักษาพยาบาล/คำแนะนำ
        
        ยาหยอดหรือยาป้ายตาที่มีส่วนผสมของยาปฏิชีวนะ เช่น ยาหยอดตาฮิสตาออป หรือ คลอ แรมฟินิคอล ครั้งละ 1-2 หยด ทุก 2-4 hr
        
        :forbidden:ห้ามใช้ยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ -> อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ex. กระจกตาอักเสบ
        
        หากไม่ดีข้ึนใน 1 wk/กระจกตาขุ่นมัว/เป็นแผล ควรส่งพบแพทย์
    - - พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่
      - อาการ&อาการแสดง
        
        คันตามาก มักคันที่หัวตาจนต้องขยี้ ยิ่งขยี้ยิ่งคัน ถ้าขยี้มากๆหนังตาจะบวมช้ำ
        
        ตาขาวจะแดงเรื่อๆ ตาแดงเล็กน้อย หนังตาบวม
        
        มีน้ำตาไหล ตอนแรกจะใส ต่อมาเหนียว มักไม่มีขี้ตา/มีเล็กน้อยใสๆหรือขาวๆ
        
        รายที่แพ้รุนแรง เยื่อตาขาวอาจบวมเป่งเป็นเยื่อใสๆ
      - การรักษาพยาบาล/คำแนะนำ
        
        ยาหยอดตาที่มีสเตียรอยด์ ใช้เท่าที่จำเป็น แต่ละครั้งไม่ใช้ติดกันเกิน 7 วัน :warning:หากใช้ติดต่อนานๆ -> ต้อหินเรื้อรัง
        
        หากเป็นมาก ให้ยาแก้แพ้ ex. Chlorpheniramine ครั้งละ 1⁄2 – 1 เม็ด วันละ 2-3 ครั้ง ถ้ารู้สึกคันมาก
        
        อย่าขยี้ตา ควรประคบด้วยน้ำแข็ง (ใส่ในถุงพลาสติกและห่อผ้า)
        
        สังเกตสิ่งที่แพ้
    - - ตุ่มฝีเล็กๆ เกิดที่ขอบเปลือกตา อาจพบได้ที่เปลือกตาบน/ล่าง
        
        กุ้งยิงชนิดหัวผุด
        
        กุ้งยิงชนิดหลบใน
      - การรักษาพยาบาล/คำแนะนำ
        
        เมื่อเริ่มเป็นตุ่มแข็ง
        
        ประคบด้วยน้ำอุ่นจัดๆ โดยใช้ผ้าสะอาดห่อหุ้มปลายด้ามช้อน แล้วชุบน้ำอุ่นจัดๆ กดตรงบริเวณหัวฝี และนวดเบาๆ วันละ 4 ครั้ง ครั้ง ละ 20-30 นาทีหลังประคบทุกครั้ง ให้ใช้ยา หยอดตาหรือป้ายตาที่มีส่วนผสมของยาปฏิชีวนะ
        
        หนังตาบวมแดง หรือมีต่อมน้ำเหลืองที่หน้าหูโต ให้ยา Cloxacillin 250-500 มก. วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมงเป็นเวลา 5-7 วัน
        
        ตุ่มฝีเป่งเห็นหัวหนองชัดเจน ควรสะกิดหรือผ่าระบายเอาหนองออกแล้วให้ยา Cloxacillin หรือ Erythromycin 250-500 มก. วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมงเป็นเวลา 5-7 วัน
        
        ถ้าเป็นๆหายๆ บ่อย อาจมีภาวะแทรกซ้อนอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น เบาหวาน สายตาผิดปกติ เป็นต้น ควรแนะนาไปพบแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุ
      - อาการ&อาการแสดง
        
        ปวดเปลือกตาตุบๆ เฉพาะจุด เวลาก้มหัวต่ำกว่าเอว จะปวดมากขึ้น
        
        บริเวณที่ปวดเป็นตุ่มแข็ง (ส่วนมากขึ้นตุ่มเดียว) เอามือไปแตะจะเจ็บ ต่อมาจะนุ่มลงบางครั้งมีหนองนูนเป่ง
        
        อาจมีเปลือกตาบวม/ขี้ตาไหล กุ้งยิงขึ้นที่หางตา จะอาการรุนแรง ถ้าปล่อยไว้ 4-5 วัน ตุ่มจะแตกเองแล้วหัวฝีจะยุบ/หายปวด
        
        ชนิดหัวหลบใน จะพบตุ่มนูนอยู่ใต้เปลือกตา
        
        อาจมีหนังตาอักเสบร่วม
    - - การอักเสบของหนังตาบน อาจเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง และเป็นพร้อม กันทั้ง 2 ข้าง มีชนิดเป็นแผ่นเปื่อย และชนิดเป็นเกล็ดรังแค
      - อาการ&อาการแสดง
        
        เคืองตา ปวดร้อน คัน
        
        บางรายน้ำตาไหล ตาไม่สู้แสงในรายชนิดแผลเปื่อย
        
        อาจมีคราบหนองติดขอบตา เมื่อเขี่ยออกอาจมีเลือดซึม
        
        อาจมีประวัติเป็นกุ้งยิง เป็นๆหายๆ บ่อย หากเป็นเรื้อรังอาจทำให้ขนตาร่วง เกิดแผลเป็นที่ตรงขอบตาและ อาจทำให้มีแผลที่กระจกตาได้
      - การรักษาพยาบาล/คำแนะนำ
        
        รายที่เป็นแผลเปื่อยและมีคราบหนอง ให้ใช้ไม้พันสาลีชุบน้ำต้มสุกหรือน้าเกลือเช็ดให้สะอาด ประคบด้วยน้ำอุ่นจัดๆ แล้วใช้ยาป้ายตาท่ีมีส่วนผสมของยาปฏิชีวนะป้ายที่ขอบหนังตา วันละ 3-4 ครั้ง
        
        รายที่มีการอักเสบมากให้รับประทานยา Cloxacillin หรือ Erythromycin 250-500 มก. วัน ละ 4 ครั้ง ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมงเป็นเวลา 5-7 วัน หากไม่ดีข้ึนควรไปพบแพทย์
        
        รายที่มีเพียงเกล็ดสีขาวของรังแค ให้ใช้ไม้พันสาลีชุน้ำต้มสุก/น้ำเกลือเกลือเช็ด และใช้แชมพูรักษารังแคสระผม หากมีอาการคันและบวมแดงมากให้ใช้ยาหยอดตาส เตียรอยด์ ทาตรงบริเวณขอบตาวันละ 3-4 ครั้ง
    - - อาการ&อาการแสดง
        
        มีน้ำตาไหลมาก
        
        มีขี้ตาออกมาเป็นครั้งคราว
        
        เมื่อเกิดอาการอักเสบของถุงน้ำตา จะพบตุ่มนูนตรงหัวตา ใช้นิ้วกดตรงหัวตาจะมีหนองไหลออกมาในตา -> ตุ่มนูนก็ยุบลง แต่ต่อมาก็กลับนูนขึ้นอีก ถ้าเป็นรุนแรงตุ่มนูนนั้นจะมีอาการปวดแดงร้อน คล้ายฝี อาจแตก มีน้ำตาและหนองไหลออกมา
      - การรักษาพยาบาล/คำแนะนำ
        
        คนที่มีอาการน้ำตาไหลมากผิดปกติ ควรแนะนำไปพบแพทย์
        
        มีถุงน้ำตาอักเสบ ควรใช้น้ำอุ่นจัดๆประคบ ให้ยาแก้ปวดและยาป้ายตา หรือยาหยอดปฏิชีวนะ
        
        อักเสบรุนแรงให้ยาปฏิชีวนะ เช่น Cloxacillin หรือ Erythromycin 250-500 มก. วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมงเป็นเวลา 5-7 วัน หากไม่ดีข้ึนควรไปพบแพทย์
    - - อาการ&อาการแสดง
        
        แผ่นเนื้อเยื่อสามเหลี่ยมสีเหลืองๆ ที่บริเวณตาขาวชิดตาดำ ส่วนมากจะเกิดที่ด้านหัวตา ส่วนน้อยอาจพบที่หางตา
        
        จะไม่รู้สึกว่ามีอาการผิดปกติ บางครั้งมีการอักเสบ จะมีอาการเคืองตา น้ำตาไหล ตาแดง หรือมีอาการปวดเล็กน้อยในบางราย
        
        ระยะเวลานานอาจลุกลามไปถึงกลางตาดำ ทำให้เกิดตามัว
        
        บางรายอาจเป็นหัวตาและหางตาพร้อมกัน อาจเป็นตาข้างเดียว/สองข้าง
      - การรักษาพยาบาล/คำแนะนำ
        
        ควรสวมแว่นตากันแดดเวลาออกนอกบ้าน เพื่อป้องกันมิให้ต้อเนื้อลุกลาม
        
        ถ้ามีอาการอักเสบ ให้ใช้ยาหยอดตาปฏิชีวนะ ฮิสตาออป หยอดทุก 2-4 ชั่วโมงจนกว่าจะหายอักเสบ
        
        รอจนกระทั่งต้อเนื้อยื่นเลยขอบตาดำเข้าไป 3-4 mm ค่อยแนะนำให้พบแพทย์เพื่อทำการผ่าตัดลอกออก
    - - การรักษาพยาบาล/คำแนะนำ
        
        ส่งไปพบจักษุแพทย์
      - อาการ&อาการแสดง
        
        ตาค่อยมัวลงทีละน้อย ระยะแรกจะรู้สึกเหมือนมีหมอกบัง มองในที่มืดชัดกว่าที่สว่าง มองที่สว่างรู้สึกพร่ามัว สู้แสงไม่ได้หรือเห็นภาพซ้อน
        
        ตามัวมากขึ้นทาให้แก้วตาขุ่นส่งผลให้มองไม่เห็น
    - - การรักษาพยาบาล/คำแนะนำ
        
        ส่งไปพบจักษุแพทย์
      - อาการ&อาการแสดง
        
        ชนิดเฉียบพลัน
        
        ปวดลูกตาและศีรษะข้างใดข้างหนึ่งเฉียบพลันอย่างรุนแรงและเป็นระยะเวลานานร่วมกับตาพร่ามัว เห็นแสงสีรุ้ง N/V
        
        ชนิดเรื้อรัง
        
        ตาจะมัวลงทีละน้อย ระยะแรกไม่รู้สึกผิดปกติ อาจมึนศีรษะ อ่านหนังสือเมื่อยตา เมื่อใช้ไฟฉายส่องให้ผู้ป่วยมองต่ำ
        
        กดบนเปลือกตารู้สึกว่าข้างที่ปวดจะแข็งกว่าข้างที่ไม่ปวด หากเป็นรุนแรงทำให้ประสาทตาเสื่อม ตาบอดได้
      - ภาวะความดันในลูกตาสูงทำให้ประสาทตาเสื่อมเกิดอาการตามัว ตาบอด