Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ความดันโลหิตสูง (Hypertension), สมาชิก 1.ภัทรวรรณ ณ นครพน 220101038 …
ความดันโลหิตสูง (Hypertension)
ความหมาย
ความโลหิตสูง
หมายถึง ภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงความดันโลหิตในหลอดเลือดที่สูงขึ้น ซึ่งในปัจจุบันแพทย์วินิจฉัยว่าในภาวะปกติผู้ที่มีความดันเท่ากับหรือมากกว่า 130/80 mmHg. เป็นผู้ที่มีความดันโลหิตสูง (อ้างอิง : กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ปี 2560 )
สมาคมโรคหัวใจของสหรัฐอเมริกา (American Heart Association : AHA)
Optimal = Systolic pressure < 120 mmHg. Diastolic pressure < 80 mmHg.
Normal = Systolic pressure 120-129 mmHg. Diastolic pressure 80-84 mmHg.
High normal = Systolic pressure 130-139 mmHg. Diastolic pressure 85-89 mmHg.
Hypertension ระดับ 1 = Systolic pressure 140-159 mmHg. หรือสูงกว่า Diastolic pressure 90-99 mmHg.
Hypertension ระดับ 2 = Systolic pressure 160-179 mmHg. Diastolic pressure 100-109 mmHg.
Hypertension ระดับ 3 = Systolic pressure มากกว่าหรือเท่ากับ 180 mmHg. Diastolic pressure มากกว่าหรือเท่ากับ 110 mmHg.
Isolated systolic hypertension (ISH) = Systolic pressure มากกว่าหรือเท่ากับ 140 mmHg. Diastolic pressure <90 mmHg.
ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรค
ขาดการออกกำลังกาย
ผู้ที่ไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายมักจะมีอัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้น ซึ่งหมายความว่าหัวใจทำงานหนักมากขึ้นในการหดตัวแต่ละครั้ง
ดื่มแอลกฮอล์อย่างหนัก
การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปสามารถทำลายหัวใจได้เมื่อเวลาผ่านไปและอายุเพิ่มมากขึ้นการที่ผู้หญิงดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าหนึ่งแก้วและผู้ชายดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าสองแก้วต่อวันอาจ เป็นอีกสาเหตุหลักของโรคความดันโลหิตสูง
กรรมพันธุ์
อีกหนึ่งสาเหตุหลักของโรคความดันโลหิตสูงมักเกิดการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นผ่านทางพันธุกรรม
เพศและอายุ
ยิ่งอายุมากขึ้นความเสี่ยงในการเป็นโรคความดันโลหิตสูงจะสูงมากขึ้น ความเสี่ยงของภาวะความดันโลหิตสูงในเพศชายมักเพิ่มขึ้นเมื่อมีอายุ 64 ปีขึ้นไป และ ในเพศหญิง 65 ปีขึ้นไป
อ้วนหรือมีน้ำหนักเกิน
ความดันโลหิตสูงมักเกิดขึ้นกับผู้ที่มีน้ำหนักเกิน เนี่องจากการมีน้ำหนักมากร่างกายก็ยิ่งต้องการเลือดไปเลี้ยงออกซิเจนและสารอาหารมากขึ้น
ไขมันในเลือดสูง
ภาวะไขมันในเลือดสูง คือภาวะที่ร่างกายมีระดับไขมันในเลือดสูงกว่าเกณฑ์ปกติ โดยอาจมีความผิดปกติทั้งไขมัน "คอเลสเตอรอล" และ "ไตรกลีเซอไรด์" ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรค
กินเค็มเป็นประจำ
อาหารที่มีโซเดียมสูงอาจส่งผลให้เกิดการคั่งของเหลวทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง
มีภาวะดื้ออินซูลินเป็นเบาหวาน
ระดับอินซูลินที่สูงกระตุ้นให้มีการดูดกลับของโซเดียมโดยไตมากขึ้น นอกจากนี้ภาวะดื้ออินซูลินยังทำให้ระบบประสาทอัตโนมัติไวต่อการกระตุ้น และทำให้การหมุนเวียนของเลือดในหลอดเลือดแดงฝอยที่กล้ามเนื้อลดลง ทำให้มีความต้านทานปลายทางเพิ่มขึ้น
อาการและอาการแสดง
ปวดศีรษะ มักพบในผู้ป่วยที่มีความดันโลกิสูงมากลักษณะปวดมักปวดบริเวณท้ายทอยโดยเฉพาะในช่วงเช้าหลังตื่นนอน อาจมีคลื่นไส้ ตามัวร่วมด้วย อาการปวดศีรษะนี้มักหายไปเองหรือค่อยๆดีขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมง
เวียนศีรษะ มึนงง อาจจะเกิดร่วมกับอาการปวดศีรษะหรือไม่ก็ได้ อาจเกิดจากสมองขาดเลือดไปเลี้ยงชั่วขณะ
อาการที่เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือด ได้แก่ เลือดกำเดาไหล (epitaxis) อาการเจ็บหน้าอกจากภาวะเลือดเซาะเข้าในผนังหลอดเลือด Aorta (dissection of aorta) นั้นพบได้ไม่บ่อยนัก
อาการอื่นที่พบในความดันโลหิตสูงชนิดมีสาเหตุ ได้แก่ ปัสสาวะมาก กระหายน้ำบ่อย กล้ามเนื้ออ่อนแรงจากโปแตสเซียมในเลือดต่ำใน primary aldosteronism
สาเหตุ
โรคความดันโลหิตสูงชนิดทราบสาเหตุ (Secondary Hypertension) ความดันโลหิตสูงชนิดนี้ พบจำนวนน้อยและสามารถรักษาให้หายขาดได้ มักเกิดจากการสาเหตุการได้รับยา หรือฮอร์โมนบางชนิด และโรคต่างๆ ที่พบได้บ่อย คือ โรคไต โรคของต่อมไร้ท่อ และความผิดปกติของหลอดเลือดแดงใหญ่
โรคความดันโลหิตสูงไม่ทราบสาเหตุ (Frimary Hypertension or Essantial Hypertension) พบมากที่สุดประมาณร้อยละ 90 - 95 ของผู้ที่มีความดันโลหิตสูง โดยมีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้อง เช่น กรรมพันธุ์ การรับ ประทานเกลือมาก โรคอ้วน การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา และขาดการออกกำลังกาย เป็นต้น โรคความดันโลหิตสูงชนิดนี้ มักพบมากในวัยกลางคนจนถึงวัยสูงอายุ และมักมีประวัติทางครอบครัว หรือกรรมพันธุ์ เช่น มีพ่อแม่พี่น้อง หรือสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคนี้อยู่และส่วนใหญ่มักเป็นกันคนอ้วน
พยาธิสรีรวิทยา
BP = Cardiac output (CO) x Total peripheral resistance (TPR)
มีค่าเท่ากับปริมาตรเลือดที่ถูกสูบฉีดออกจากหัวใจเข้าสู่ระบบไหลเวียนร่างกายใน 1 นาที (Cardiac output)
กับผลรวมแรงต้านทานของหลอดเลือดทั้งหมดในร่างกาย(Total peripheral resistance) ดังนั้นตัวกำหนดระดับความดันโลหิต คือ ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจในหนึ่งหน่วยเวลา คือ Cardiac output และผลรวมแรงต้านทานของหลอดเลือดทั้งหมด
CO = Stroke volume(SV) x Heart rate (HR)
คือปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจในหนึ่งหน่วยเวลามีค่าเท่ากับปริมาณเลือดที่ถูกบีบออกจากหัวใจจากการบีบตัวของหัวใจในแต่ละครั้งคูณด้วยอัตราการเต้นของหัวใจในหนึ่งนาที
BP = Stroke volume (SV) x (Heart Rate) HR x systemic vascular resistance (SVR)
โดย Stroke volumeมีค่าเท่ากับความแตกต่างของปริมาณเลือดในหัวใจห้องข้ายล่างก่อนบีบตัว
(End diastolic volume) และปริมาณเลือดในหัวใจห้องช้ายล่างเมื่อสิ้นสุดการบีบตัว (End systolic volume)
การกระตุ้นประสาทซิมพาธิติกส่วนแอลฟาทำให้หลอดเลือดแดงหดตัวจึงมีความต้านทานของหลอดเลือดเพิ่มขึ้นการกระตุ้นประสาทซิมพาธิติกจะมีผลต่อการทำงานของ Renin-angiotensin ทำให้ผลิต angiotensin II ส่งผลให้หลอดเลือดแดงหดตัว ซึ่งทำให้ความต้านทานของหลอดเลือดส่วนปลายเพิ่มขึ้นและการกระตุ้นประสาทซิมพาธิติกส่วนเบต้า ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มมากขึ้นแรงบีบตัวของหัวใจแรงขึ้น จึงเพิ่มปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจและทำให้ความดันบีบตัวของหัวใจ
การลดลงของสารเหลวในระบบไหลเวียนทำให้ปริมาตรเลือดที่ไหลผ่านตน้อยลงซึ้งกระตุ้นระบบ Renin-angiotensin ทำให้หลอดเลือดหดตัวจึงเกิดแรงต้านของหลอดเลือดทั่วร่างกายและ angiotensin II ในระบบไหลเวียนจะกระตุ้น ให้มีการหลั่งของ Aldosterone hormone จากต่อมหมวกใตส่วนนอก ซึ่งมีผลในการดูดซึมกลับของน้ำและโซเดียมที่ไต ปริมาณของเลือดจึงเพิ่มขึ้นและความดันโลหิตสูงขึ้น
ต่อมใต้สมองส่วนหลังมีการหลั่ง Antidiuretic hormone เพื่อตอบสนองต่อการลดลงของสารเหลวในระบบไหลเวียนและฮอร์โมนดังกล่าวมีผลต่อกล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือดทำให้เลือดที่ไหลผ่านต้องถูกบีบให้ผ่านอย่างแรงจึงทำอันตรายต่อเยื่อบุภายในหลอดเลือดซึ่งจะทำให้มีที่มีผลต่อหลอดเลือดทำให้หลอดเลือดมีการหดตัวมากยิ่งขึ้น
ภาวะแทรกซ้อน
1.
สมอง
หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองเกิดการตีบตัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอเกิดอัมพฤกษ์หรืออัมพาตได้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ในรายที่มีความดัน โลหิตสูงอย่างรุนแรงไม่ได้รับการรักษาและดูแลอย่างต่อเนื่องจะทำให้เกิดเส้นเลือดในสมองแตก ยิ่งถ้าเกิดในสมองส่วนสำคัญแตก จะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตอย่างกะทันหันได้ สัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือด
2.
ตา
มักเกิดภาวะจอประสาทตาเสื่อม เนื่องจากความดันโลหิตที่สูงจะส่งผลให้หลอด เลือดแดงภายในลูกตาเกิดการหนาตัว โดยในระยะแรกจะตีบ เกิดความดันในหลอดเลือดภายในลูกตา เพิ่มขึ้นจากนั้นจะแตกออกทำให้มีเลือดออกบริเวณจอตาเกิดการ เสื่อมของจอประสาทตาส่งผลให้ เกิดอาการตามัวลงจนตาบอดได้
3.
ไต
ส่งผลให้หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงไตมีผนังหนา เกิดการแข็งและตีบ ทำให้เลือด ไปเลี้ยงไตได้ไม่พอ อีกทั้งเกิดการแข็งตัวของหลอดเลือดฝอยตรงบริเวณหน่วยไต (glomerular capillary) ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของอัตราการกรองไตโดยทำให้อัตราการกรองที่ไตหรือ สมรรถภาพในการกรองของเสียที่ไตบกพร่องไป (glomerular filtration rate tubular dysfunction) และมีการทำลายหน่วยไตทำให้ความสามารถในการการจัดของเสียลดลงของเสียที่ เป็นสารพิษจะคั่ง ร่างกายหากมีปริมาณมากเช่นสารยูเรียจะทำให้หมดสติเกิดภาวะโลหิตเป็นพิษไตวายและเสียชีวิตได้
4.
หัวใจ
ภาวะที่มีความดัน โลหิตสูงนานๆ จะส่งผลให้หัวใจบีบตัวแรงขึ้นเพื่อต่อต้าน ความดันโลหิตที่เพิ่มสูงขึ้น กล้ามเนื้อหัวใจก็จะปรับตัวโดยการเพิ่มความหนาของผนังกล้ามเนื้อ หัวใจเนื่องจากต้องสูบฉีดเลือดต้านกับความดัน โลหิตที่สูง เมื่อผนังกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวขึ้น การทำงาน ของหัวใจในแต่ละห้องก็จะเสื่อมลง เกิดการยึดขยายของกล่ามมเนื้อหัวใจเพิ่มขึ้นจนไม่สามารถยืดขยายได้
หลอดเลือด
ภาวะความดัน โลหิตที่สูง จะส่งผลให้ผนังหลอดเลือดเกิดการหนาตัวผนังหลอดเลือด ด้านในจะไม่เรียบ หากมีไขมันไปเกาะภายในผนังหลอดเลือด จะส่งผลให้เกิดการแข็งตัว
กระบวนการพยาบาล
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลที่3
ผู้ป่วยไม่สุขสบายจากอาการปวดศีรษะและท้ายทอย เนื่องจากภาวะความดันโลหิตสูง
วัตถุประสงค์
: มีความสุขสบายมากขึ้นจากอาการบรรเทาอาการปวดศีรษะและท้ายทอยลดลง
กิจกรรมการพยาบาล
1.ประเมินสัญญาณชีพโดยเฉพาะความดันโลหิต
2.Record ลักษณะอาการปวด ความรุนแรง และความถี่ของการปวด
3.ประเมินอาการจากความดันโลหิตสูง เช่น ปวดศีรษะเพิ่มมากขึ้น ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน แขนขาอ่อนแรง ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด คลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น
4.ดูแลให้ได้รับยาลดความดันโลหิตและยาแก้ปวดตามแผนการรักษาของแพทย์
5.จัดท่านอนศีรษะสูง ให้อยู่ในท่าที่สุขสบาย
6.จัดสภาพแวดล้อมให้ปลอดโปร่ง เปิดไฟสลัว และให้พักผ่อนอยู่บนเตียง
7.ส่งเสริมการผ่อนคลายลดสิ่งเร้าทางอารมณ์ เบียงเบนความสนใจ
8.ให้การพยาบาลอย่างนุ่มนวล
เกณฑ์การประเมิน
ไม่บ่นปวดศรีษะและท้ายทอย
BP SBP = 90-140 mmHg.และ DBP = 60-90 mmHg.
Pain score ไม่เกิน 3/10 คะแนน
ข้อวินิการพยาบาลที่2
ปริมาตรเลือดออกจากหัวใจต่อนาทีลดลง เนื่องจากหลอดเลือดหดตัวทำให้เกิดแรงต้านทานของเลือดทั่วร่างกาย
วัตถุประสงค์
เพื่อให้ผู้ป่วยมีปริมาตรเลือดที่หัวใจส่งออกต่อนาทีเพียงพอ
เกณฑ์การประเมิน
EKG =NSR(Normal sinus rhythm)
Pulse = 60-100 bpm.
3.BP= SBP 90-140 mmHg. และ DBP = 60-90 mmHg.
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมิน Blood pressure , Pulse, Respiratory rate และ Capillary refill เพื่อประเมินภาวะปริมาณเลือดในระบบไหลเวียนไม่เพียงพอ และการทำงานของหัวใจไม่มีประสิทธิภาพ เช่น หัวใจเต้นเร็ว ไม่สม่ำเสมอ
ดูแลให้ออกซิเจนตามแผนการรักษา และประเมินอาการขาดออกซิเจน (Cyanosis) ได้แก่ อาการหอบเหนื่อย เขียวคล้ำตามริมฝีปาก เล็บมือ ปลายมือปลายเท้า
ดูแลให้เลือดและสารน้ำและอิเล็คโตลัยท์ทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษาของแพทย์ สังเกตอาการแพ้เลือด ภาวะน้ำเกิน เป็นต้น
ติดตามผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG)
เฝ้าระวังความผิดปกติของสมองซึ่งอาจเกิดจากภาวะสมองขาดเลือดไปเลี้ยง โดยประเมินระดับความรู้สึกตัวและอาการทางสมองอย่างใกล้ชิด เช่น อาการสับสน แขนขาอ่อนแรง เป็นต้น
ดูแลให้ยาลดความดันโลหิตสูงตามแผนการรักษา
ข้อวินิการพยาบาลที่4
ผู้ป่วยวิตกกังวลเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของตนเอง เนื่องจากขาดความรู้ความเข้าใจและการปฎิบัติตัวเกี่ยวกับโรค
วัตถุประสงค์
เพื่อคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะโรค แผนการรักษาและปฎิบัติตนถูกต้อง
กิจกรรมการพยาบาล
สร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วยและญาติด้วยวาจาสุภาพ อ่อนโยน ท่าทางที่เป็นมิตร จริงใจ สอบถาม และอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจเกี่ยวกับโรค แผนการรักษาพยาบาล และการปฎิบัติตัวเพื่อให้ผู้ป่วยหายสงสัยและให้ความร่วมมือในการรักษาพยาบาล
อธิบายเหตุผลการให้ยา ขนาดที่ใช้ อาการข้างเคียงที่อาจพบ ความสำคัญที่ต้องได้รับยาตามแนวทางการรักษาให้ครอบคลุม เพื่อให้ผู้ป่วยรับทราบ อำนวยความสะดวกแก่ครอบครัวญาติผู้ป่วย หรือบุคคลที่มีความสำคัญต่อผู้ป่วย ได้เยี่ยมและประคับประคองด้านจิตใจแก่ผู้ป่วย
ให้การพยาบาลอย่างนุ่มนวล ใช้น้ำเสียงนุ่ม ท่าทางสงบในขณะให้การพยาบาล
เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้ซักถามปัญหาที่สงสัย ระบายความรู้สึกให้ผู้ป่วยได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจในกิจกรรมการพยาบาล และการประเมินผลการพยาบาล
เกณฑ์การประเมิน
ผู้ป่วยบอกเข้าใจการปฎิบัติตัวและแผนการรักษาเกี่ยวกับโรคได้ถูกต้อง
ผู้ป่วยสีหน้ายิ้มแย้มไม่แสดงอาการวิตกกังวล
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลที่1
การกำซาบของเนื้อเยื่อทั่วร่างกายไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากแรงต้านทานของหลอดเลือดส่วนปลายสูง
วัตถุประสงค์
เพื่อการกำซาบของเนื้อเยื่อทั้วร่างกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เกณฑ์การประเมิน
1.ผู้ป่วยไม่มีหายใจลำบาก
Blood pressure = SBP 90-140 mmHg. และ DBP 60-90 mHg.
O2 sat ปกติ >95%
Capillary refill < 3 วินาที
ระดับความรู้สึกตัว GCS = E4V5M6 15 คะแนน
Urine output 0.5 ml/kg/hr.
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลให้ออกซิเจนตามแผนการรักษา และประเมินอาการขาดออกซิเจน (Cyanosis) ได้แก่ อาการหอบเหนื่อย เขียวคล้ำตามริมฝีปาก เล็บมือ ปลายมือปลายเท้า
ประเมิน Blood pressure เพื่อประเมินภาวะปริมาณเลือดในระบบไหลเวียนไม่เพียงพอ และการทำงานของหัวใจไม่มีประสิทธิภาพ
4.ดูแลให้ผู้ป่วย Bed rest และจัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบ
ประเมิน O2 sat ,capillary refill, ระดับความรู้สึกตัว GCS และ Urine output
ดูแลให้ยาลดความดันโลหิตสูงตามแผนการรักษา พร้อมติดตามประเมินผลและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
การรักษา
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
การออกกำลังกาย ช่วยทำให้เพิ่มการหลั่งของ Nitric oxide ควรเลือกออกำลังกายแบบแอโรบิค (Aerobic exercise) หรือการออกำลังกายแบบต่อเนื่อง ระดับการออกกำลังกายที่สามารถออกได้ คือเบาถึงปานกลาง หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่หนักหรือหักโหม
การเลิกสูบบุหรี่ บุหรี่มีสารนิโคตินที่มีผลอย่างชัดเจนต่อการเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและทำให้หลอดเลือดส่วนปลาย หดตัว ซึ่งทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นบ
ควรพยายามควบคุมให้มีค่าดัชนีมวลกายตั้งแต่ 18.5-22.9 km/m(ยกกำลัง2) เส้นรอบเอวอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน สำหรับผู้หญิงไม่เกิน 80 cm.(32 นิ้ว)
ควรแนะนำให้ผู้ป่วยลดน้ำหนักตัว โดยลดการบริโภคอาหารที่ให้พลังงานมาก ได้แก่ อาหารที่มีไขมันสูง ไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์ ที่มีรสหวาน หลีกเลี่ยงขนมขบเคี้ยว เพิ่มปริมาณผัก
-การลดโซเดียม โซเดียมเป็นอิเล็คโตรลัยต์ที่มีความสำคัญในการควบคุมปริมาณน้ำในหลอดเลือด การลดปริมาณเกลือในอาหารลง จะช่วยลดความดันโลหิตลงได้ เมื่อลดโซเดียมลงความดันโลหิตจะลดลง
การเลือกใช้ยา
ยาในกลุ่ม Angiotensin-ConvertingEnzyme Inhibitors (ACE)Inhibitors ยาออกฤทธิ์โดยยับยั้งการเปลี่ยน angiotensin I เป็น angiotensin II ทำให้มีปริมาณ angiotensin II ลดน้อยลง ทำให้หลอดเลือดขยาย และทำให้ความต้านของหลอดเลือดลดลงโดยไม่เปลี่ยนแปลงปริมาตรเลือดที่ออกจากหัวใจต่อนาที
ผลข้างเคียง
อาการไอแห้งๆ ผื่นที่ผิวหนัง และโพแทสเซียมในเลือดอาจจะสูงขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ไตทำงานไม่ดี
ตัวอย่างชื่อยา
เช่น Captropril, Enalapril
ยาในกลุ่ม Calcium Channel Blockers ยาออกฤทธิ์ปิดกั้นช่องทางเข้าแคลเซียมในกล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดคลายตัว ลดความต้านทานของหลอดเลือด ลดการนำกระแสไฟฟ้าของหัวใจจึงทำให้อัตราการเต้นของหัวใจลดลง
ผลข้างเคียง
ปวดศรีษะ หน้าแดง ข้อเท้าบวม ท้องผูก อาจพบหัวใจเต้นเร็ว
ตัวอย่างชื่อยา
เช่น Verapaimil, Amlodipine(Novasc)
ยาขับปัสสาวะ (Diuretics) ยาออกฤทธิ์โดยการขับน้ำและโซเดียมส่วนเกินออกจากหลอดเลือด โดยตัวยาจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของไตให้ขับโซเดียมออก ทำให้ปริมาตรเลือดในหลอดเลือดลดลง ความดันโลหิตจึงลดลง
ผลข้างเคียง
ปัสสาวะบ่อย อาจทำให้โพแทสเซียมในเลือดต่ำ มีอาการอ่อนเพลีย เป็นตะคริว
ตัวอย่างชื่อยา
เช่น Hydrochlorothiazide(HCTZ), Furosemide(Lasix)
ยาในกลุ่มBeta Blocker เป็นยาปิดกั้นการทำงานของเบต้ารีเซ็ปเตอร์ที่ทำให้หัวใจเต้นช้าและมีแรงต้านน้อยลงส่งผลให้หัวใจบีบตัวในการส่งเลือดน้อยลง จึงช่วยในการลดความดันโลหิตลงได้
ผลข้างเคียง
เย็นตามปลายมือปลายเท้า หัวใจเต้นช้าลง ซึมเศร้า อ่อนเพลีย หลอดลมหดเกร็ง
ตัวอย่างชื่อยา
เช่น Metoprolol, Atenolol
ยาในกลุ่ม Alpha-blockers ออกฤทธิ์ลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อต่อมลูกหมากและกล้ามเนื้อหูรูดที่คอกระเพาะปัสสาวะ มีผลทำให้ถ่ายปัสสาวะได้คล่องขึ้น
ผลข้างเคียง
ความดันโลหิตต่ำเมื่อเปลี่ยนท่าทันที ปวดศีรษะ ใจสั่น อ่อนแรง
ตัวอย่างชื่อยา
เช่น Doxazosin, Prazosin
ยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง (Centrally Acting Agents) ออกฤทธิ์คลายความกังวล ระงับประสาททำให้หลับ คลากล้ามเนื้อ ยับยั้งการชัก
ผลข้างเคียง
เซื่องซึม เดินโซเซ สับสน อ่อนเพลีย พูดไม่ชัด
ตัวอย่างชื่อยา
เช่น Phentermine, Diethylpropion
ยาในกลุ่ม Angiotensin II receptor blockers (ARBs) ยาออกฤทธิ์ต้าน angiotensin II ไม่ให้จับตัวรับซึ่งอยู่ที่กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดคลายตัว และต้านการจับกับตัวรับที่ต่อมหมวกไต ทำให้ไม่มีการกระตุ้นการหลั่ง aldosterone
ผลข้างเคียง
มีอาการไอ มีผื่นขึ้นตามผิวหนัง
ตัวอย่างชื่อยา
เช่น Valsartan(Diovan), Losartan(Cozaar)
ยาขยายหลอดเลือด ออกฤทธิ์โดยตรงต่อกล้ามเนื้อเรียบของผนังหลอดเลือด Fenoldopam mesylate กระตุ้นเฉพาะ Dopaminergic1 - receptors มีผลทำให้หลอดเลือดขยาย ทำให้ความดันโลหิตลดลง
ผลข้างเคียง
หัวใจเต้นเร็ว ปวดศีรษะ คัดจมูก
ตัวอย่างชื่อยา
เช่น Hydralazine, Minoxidil
การวินิจฉัยโรค
การซักประวัติ
1.ประวัติเจ็บป่วยในครอบครัว เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด
2.ประวัติการเกิดความดันโลหิตสูง เริ่มเป็นเมื่อใด เคยรับประทานยาอะไรบ้าง ผลของการใช้ย่ลดความดันโลหิต และอาการข้างเคียง
3.อาการของโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก แขนขาอ่อนแรง และปวดศีรษะ
4.ประวัติการรับประทานยาบางอย่าง เช่น ยาคุมกำเนิด steroids amphetamine และการดื่มแอลกอฮอล์
5.ประวัติการได้รับเกลือโซเดียม และน้ำหนัก
6.ปัจจัยด้านจิตสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น อาชีพ อารามณ์เครียด วัฒนธรรมหรือพฤติกรรม การบริโภคอาหาร
7.ปัจจัยเสี่ยงเกี่ยวกับโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น การสูบบุหรี่ ความอ้วน ระดับไขมันในเลือดและการออกกำลังกาย
การตรวจร่างกาย
1.วัดความดันโลหิต วัดแขนทั้งสองข้าง ติดตามค่าความดันโลหิตจะใช้ข้างที่สูงกว่า ให้วัดซ้ำ 2 ครั้งแล้วนำมาหาค่าเฉลี่ย หากวัดได้ค่าต่างกันเกิน 1=20/10 mmHg. จากการวัดซ้ำหลายๆครั้ง แสดงถึงความผิดกติของหลอดเลือด ให้ส่งต่อไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจประเมิน
2.สังเกตลักษณะทั่วไปของผู้ป่วยที่อาจแสดงถึงความผิดปกติ เช่น หน้ากลมตำแหน่งที่มีไขมันมาก ซึ่งเป็นลักษณะ Cushing’ syndrome อาจเป็นสาเหตุของความดันโลหิตสูง
3.การตรวจดู fundi ของตาโดยใช้ opthamoscope ถ้ามีเลือดออก ใมี exudates หรือหัวประสาทตาบวมแสดงว่าผู้ป่วยมีความดันโลหิตสูงรุนแรง
4.การตรวจระบบหัวใจและหลอดเลือด ผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บหน้าอก กล้ามเนื้อหัวใจตาย ซึ่งตรวจโดยการฟังอัตราการเต้นของหัวใจ การตรวจคลื่นไฟฟ้า (EKG) การถ่ายภาพรังสีดูขนาดของหัวใจ
5.การตรวจระบบประสาทเพื่อดูอาการแทรกซ้อนของโรคหลอดเลือดของสมอง เช่น หลอดเลือดของสมองถูกอุดตันหรือแตก
6.การตรวจทางหน้าท้อง การคลำหาก้อนในช่องท้อง ว่ามีก้อนหรือไม่ในตำแหน่งใด ผู้ป่วยอาจมี ถุงน้ำในไต ( Polycystic kidney) หรือก้อนของ Pheochromocytoma
การตรวจทางห้องปฏิบัติการและปฏิบัติการพิเศษ
1.การจรวจ complete blood count (CBC) เพื่อดูสุขภาพทั่วไปของผู้ป่วย เช่น Hematocrit Hemoglobin เพื่อประเมินว่ามีเม็ดเลือดแดงแตกหรือ Hematocrit (Hct) ลดลงจากภาวะ/ตวาย หรือสูงขึ้นในรายที่มี polycythemia
2.การตรวจเลือดทางเคมี เช่น การตรวจหาโซเดียม โพแทสเซียม Blood urea nitrogen (BUN), Creatinine (Cr) เพื่อประเมินความรุนแรงของโรคโดยเฉพาะการทำลายของไต
3.การตรวจปัสสาวะ ดูโปรตีน เม็ดเลือดแดง น้ำตาล เพื่อดูการทำงานของไต
4.การถ่ายภาพรังสีดูท่อไตและกระเพาะปัสสาวะ (Plain KUB) เพื่อดูลักษณะและขนาดของไต รวมทั้งของก้อนนิ่วของระบบทางเดินปัสสาวะโดยทั่วไป
5.การตรวจหาค่าอิเล็คโตรลัยต์ โซเดียม โพแทสเซียมในซีรั่มและในปัสสาวะ ในผู้ป่วย primary hyperaldosteronism จะพบโพแทสเซียมในซีรั่มต่ำกว่า 3 mEq/L ส่วนในปัสสาวะโพแทสเซียมจะสูงมากกว่า 30 mEq/L โซเดียมในซีรั่มจะสูง มากกว่า 140 mEq/L
สมาชิก 1.ภัทรวรรณ ณ นครพน 220101038
2.วรวลัญช์ ราชภักดี 220101045
3.ศศิวิมล นาคเกิด 220101047