Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
วงศ์พืชดอกที่นำ มาใช้ช้ในเครื่องสำ อาง, image, image, image, image, image,…
วงศ์พืชดอกที่นำ มาใช้ช้ในเครื่องสำ อาง
การตั้งชื่อ (Nomenclature) พืช
การกำ หนดชื่อของพืช (Plant Nomenclature)
ชื่อที่กำ หนดขึ้นอย่างไม่มีกฏเกณฑ์
เป็นการตั้งชื่อขึ้นมาอย่างไม่มีกฏเกณฑ์ที่ชัดเจน ใช้เรียกพืชเฉพาะกลุ่มคนในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งหรือภาษาใดภาษาหนึ่งซึ่งจะใช้สื่อความหมายได้ในวงแคบ มี 2 ประเภท คือ
ชื่อสามัญ (Common name)
ชื่อสามัญเป็นชื่อภาษาอังกฤษที่กำ หนดขึ้นมาอย่างไม่มีกฏเกณฑ์ สามารถใช้สื่อความหมายได้กว้างขวางพอสมควร เพราะมีหลายประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารในชีวิตประจำ วัน แต่ก็ยังไม่สามารถนำ ไปใช้ในการสื่อความหมายทางวิชาการที่เป็นสากลได้เนื่องจากเกิดปัญหาหลายประการ คือ
เป็นชื่อที่ใช้กันเฉพาะในประเทศที่เข้าใจภาษาอังกฤษเท่านั้น เป็นภาษาที่ไม่ยอมรับกันทั่วโลก
ไม่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของสกุลและวงศ์
พืชที่มีชื่อสามัญส่วนใหญ่เป็นพืชที่มีความสำ คัญทางเศรษฐกิจ เช่น babana (กล้วย) coconut (มะพร้าว) rice (ข้าว) mungbean ( ถั่วเขียว) groundnut, peanut(ถั่วลิสง) soybean (ถั่วเหลือง) rose (กุหลาบ) lotus (บัวหลวง) jusmin (มะลิ) para rubber (ยางพารา) เป็นต้น ดังนั้นพืชบางชนิดที่ไม่มีความสำ คัญ หรือไม่ค่อยมีโอกาสได้พบเห็นบ่อยก็จะไม่มีชื่อสามัญ
พืชบางชนิดมีชื่อสามัญหลายชื่อ เช่น ทั้ง groundnutและ peanut เป็นชื่อสามัญของถั่วลิสง
•เป็นชื่อที่ใช้กันในวงแคบเฉพาะท้องถิ่น เฉพาะที่ยิ่งกว่าชื่อสามัญ อาจตั้งขึ้นตามลักษณะของพืชที่เห็นว่าคล้ายสิ่งใดก็เรียกตามสิ่งนั้น เช่น ว่านหางจรเข้ แปรงล้างขวด เข็มหางนกยูง เป็นต้น หรือเรียกตามถิ่นกำ เนิดของพืช เช่น ผักตบชวา มันฝรั่ง ยางอินเดีย
กกอียิปต์ เข็มปัตตาเวีย เป็นต้น ชื่อท้องถิ่นไม่สามารถใช้สื่อความหมายที่เป็นสากลได้เนื่องจากเกิดปัญหาหลายประการ ดังนี้
ชื่อใช้เฉพาะท้องถิ่นไม่ได้รับการยอมรับทั่วโลก
พืชบางชนิดมีชื่อท้องถิ่นหลายชื่อ
ชื่อท้องถิ่นเดียวกันเช่นลิ้นมังกร แต่เป็นพืชคนละชนิด
ชื่อที่กำ หนดขึ้นอย่างมีกฏเกณฑ์
เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นมาอย่างมีกฏเกณฑ์ตามระบบสากล สามารถสื่อความหมายได้ทั่วโลกและแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของพืชแต่ละชนิดด้วย ได้แก่
ชื่อวิทยาศาสตร์ (scientific name)
ชื่อวิทยาศาสตร์เป็นชื่อที่กำ หนดขึ้นมาอย่างมีกฏเกณฑ์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับของนานาชาติทั่วโลก สามารถใช้ในการสื่อความหมายทางวิชาการและใช้เป็นภาษาลาตินซึ่งเป็นภาษาที่ไม่ได้ใช้พูดกันแล้วในปัจจุบันมีลักษณะคงที่ แน่นอน และรัดกุม จึงเหมาะที่จะใช้เป็นชื่อวิทยาศาสตร์ถึงแม้ในบางครั้งผู้ใช้อาจจะรู้สึกเกิดความไม่เคยชินกับภาษาดังกล่าวอยู่บ้าง
การกำ หนดชื่อวิทยาศาสตร์ (Scientific name)
กฎเกณฑ์ที่ตั้งขึ้นและตีพิมพ์ออกมาจากข้อตกลงในการประชุมระดับนานาชาติ เรียกว่า “International Code of Botanical Nomenclature” (ICBN)
ประกอบด้วยคำ 2 คำ โดยชื่อแรก เป็นชื่อ Genus (generic name)และตามด้วย specific epithet โดยชื่อวิทยาศาสตร์ที่สมบูรณ์จะต้องมีส่วนที่สามอยู่ด้วยคือชื่อบุคคลที่ตั้งชื่อพืชนั้น เช่น,
ข้าว Oryza sativa Linnaeus
Oryza sativa Linnaeus
ชื่อผู้ตั้งนิยมใช้ตัวย่อ Oryza sativa Linn.
Oryza sativa L.
ชื่อ genus (Generic name)
ชื่อ Genus เป็นภาษาลาตินซึ่งอยู่ในรูปของคำ นามหรือคำ ที่แปลงมาจากคำ นาม และเขียนขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่เสมอ หลังจากเขียน genus ไปครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อพูดถึง genus นั้นอีก ก็อาจใช้เพียงตัวย่อ คืออักษรตัวใหญ่ตัวแรกของชื่อ genus นั้น เช่น
อบเชยเทศ Cinnamomum verum J. Presl วงศ์ Lauraceae
อบเชยชวา C. burmanii Blume วงศ์ Lauraceae
อบเชยจีน C. aromaticum Nees วงศ์ Lauraceae
ชื่อ genus อาจกำ หนดขึ้นมาจากแหล่งต่ต่างๆกันดังต่อไปนี้
กำ หนดตามชื่อบุคคล เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้มีความสำ คัญทางพฤกษศาสตร์ เช่น
1 more item...
ชื่อ genus หลายชื่อมาจากภาษากรีกและลาตินผสมกันเพื่อชี้แสดงลักษณะบางประการของพืชนั้น ตัวอย่างเช่น
1 more item...
ชื่อภาษาท้ องถิ่นของพืชจากแหล่ งที่พบพืชนั้น ในบางครั้งได้ถูกนำ มาแปลงเป็นภาษาลาติน ให้เป็นชื่อ genus เช่น
3 more items...
ชื่อ genus ที่ เกิดจากความคิดด้านศิลปะและเทพนิยาย ซึ่งนำ มาใช้โดยพวกกรีกและโรมัน ตัวอย่างเช่น Nymphaea (บัวสาย) เป็นชื่อที่ ให้เกียรติแก่ เทพธิดาแห่งน้ำ Theobroma (โกโก้) มีความหมายว่าเป็นอาหารของพระเจ้า
Specific epithet
เป็นส่วนที่สองของชื่อวิทยาศาสร์ของพืช และเขียนขึ้นต้นด้วยอักษรตัวเล็กแต่อาจจะเขียนขึ้นต้นด้วยอักษรตัวใหญ่ได้เมื่อเป็นชื่อบุคคลหรือชื่อที่เคยเป็น genus หรือเคยเป็นชื่อสามัญมาก่อน
Specific epithet อาจมาจากแหล่งต่ต่างๆ ดังต่อไปนี้
1.เป็นคำ คุณศัพท์ที่แสดงลักษณะของพืช
5 more items...
specific epithet ที่มาจากชื่อสถานที่หรือชื่อท้องถิ่นที่พืชนั้นขึ้นอยู่ เช่น
1 more item...
specific epithet ที่เกิดจากภาษากรีกหรือลาติน ตั้งแต่ 2 คำ หรือกว่ านั้นมารวมกันเป็นคำ คุณศัพท์เพื่ออธิบายลักษณะเด่นของพืช เช่น
specific epithet ที่มาจากชื่อบุคคลเพื่อเป็นเกียรติถ้าชื่อนั้นลงท้ายด้วยสระ หรือ er ให้เติม -i เข้าข้างท้าย (เช่น glazioui)แต่ถ้าลงท้ายด้วยพยัญชนะให้เติม –ii เข้าข้างท้าย (เช่น winitii)เมื่ อเป็นชื่อผู้หญิงให้เติม –iae หรือ –ae (เช่น luciliae)
specific epithet ที่มาจากคำ นาม คำ ข้างท้ายจะชี้ให้เห็นถึงความคล้ายคลึง และความสัมพันธ์ เช่น bignonoides (คล้ายกับ Bignonia)quercifolia (มีใบคล้ายกับ Quercus) Zinniaeflora (คล้ายกับ Bignonia)
specific epithet ที่เป็นคำ นามมักจะมาจากคำ ลาตินหรือกรีกโบราณที่หมายถึงพืชบางชนิด ตัวอย่างเช่น
Pyrus Malus (malusเป็นภาษาโรมันโบราณ หมายถึง แอปเปิ้ล)
Ipomoea Batatas (Batatas เป็นคำ พื้นเมืองของ West Indiesหมายถึง มันเทศ )
Theobroma Cacao (Cacao เป็นคำ พื้นเมืองของพวกเม็กซิโกหมายถึง ช็อกโกแล็ต)
Nicotiana Tabacum (tabacum มาจากคำ Taino แปลว่า ยาสูบ)
1 more item...
การอ้างชื่อผู้ตั้ง (Citation of Author’s Name)
ชื่อผู้ตั้งมี 1 คน เช่น Oryza sativa Linnaeus
ชื่อผู้ตั้งมี 2 คน โดยเขียนชื่อผู้ตั้งคนแรกไว้ในวงเล็บ เช่น Vernonia acaulis (Walter) Gleason หมายความว่า Walter ได้เป็นผู้ตั้งชื่อ species ของพืชมาก่อน โดยให้ชื่อ specific epithet ว่า acaulis แต่ให้ชื่อ genus เป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ Vernonia ต่อมา Gleason เป็นผู้พิจารณาเปลี่ยนชื่อ genus มาเป็น Vernonia เมื่อยังคงใช้ specific epithet ที่ได้กำ หนดด้วย Walter จึงยังคงอ้างชื่ออยู่ แต่ให้ใส่ไว้ในวงเล็บ
ในกรณีที่คน 2 คน ร่วมกันตั้งชื่อพืช ให้เขียนชื่อทั้งสองคน โดยเชื่อมด้วย & หรือ et เช่น Opuntia pollardii Brett et Rose (ผู้ตั้งชื่อทั้งสอง คือ N.L. Britton และ J.N.Rose) Corex stipata Muhl. Ex Willd แสดงว่า species นี้ตั้งโดย G.H.E Muhleuberg แต่ตีพิมพ์โดย K.L.Willdenow
ชื่อชนิด (species name) หรือ ชื่อพฤกษศาสตร์ (botanical name)
การจัดจำ แนก (Classification)
การแบ่งพืชออกเป็นหมวดหมู่
-โดยการนำ พืชที่มีความคล้ายคลึงกัน / มีลักษณะร่วมกันมาจัดใว้ในกลุ่มเดียวกัน
ลำ ดับการจัดหมวดหมู่
Kingdom
Division
Class
Order
Family
Genus
Species
Variety
Bailey (1925) จำ แนกพืชออกเป็น 4 กลุ่ม
(Subcommunity) คือ
Thallophyta เป็นพืชชั้นต่ำ ไม่มีราก ลำ ต้น ใบ เช่น แบคทีเรียสาหร่าย (algea) รา (fungi) ไลเคน (lichen
Bryophyta พวก liverworts, mosses
Pteridophyta เช่นพวก fern และพืชใกล้เคียงกับ fern เช่น psilopsides, lycopsideและ horsetails (sphenopside))
ประโยชน์ของสารสกัดจากหญ้ญ้าหางม้ม้า
1.ช่วยบำ รุงรากผมให้แข็งแรง ให้ความชุ่มชื่นและปรับสภาพเส้นผมให้นุ่มสลวยเป็นเงางาม
2.ลดการหลุดร่วง เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับเส้นผม และช่วยกระตุ้นให้ผมงอกขึ้นใหม่ สารสกัดจากหญ้าหางม้ามี Amino Acid และ phytosterols ซึ่งจะสร้างความแข็งแรงให้กับรูขุมขนเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในหนังศีรษะ และลดการผลิตไขมันหรือน้ำ มันในหนังศีรษะอีกด้วย
สารสกัดจากหญ้าหางม้า นำ มาใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพราะเป็นแหล่งซิลิกาที่ดีจากธรรมชาติซิลิกาช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างความแข็งแรงให้เนื้อเยื่อเกี่ยวพันและส่งเสริมการดูดซึมแคลเซียมและแร่ธาตุต่างๆ ในร่างกาย
7.ช่วยกระตุ้นการเกิดใหม่ของเซลล์ผิว รักษาบาดแผล ทำ ให้ผิวอ่อนนุ่ม
8.ช่วยสร้างและผลิตโปรตีนที่เรียกว่า คอลลาเจนและอีลาสติน
9.ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน ในเลือด
Spermatophyta เป็นพวกพืชชั้นสูง พืชที่มีเมล็ด
4.1 Gymnospermae พวกนี้มี ovule อยู่นอก Ovary พืชเมล็ดเปลือย เช่น สน ปรง แปะก๊วย
4.2 Angiospermae พวกนี้มี ovule อยู่ใน Ovary
4.2.1 Monocotyledoneae
4.2.2 Dicotyledoneae
ตัวอย่ย่างการจัดจำ แนกพืช
•พื ชทั้งสี่ชนิดนี้มีลักษณะร่วมกันจึงได้ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน กล่าวคือ
เป็นพื ช จัดอยู่ในอาณาจักรพืช (Kingdom Plantae)
เป็นพื ชที่มีระบบท่อลำ เลียงน้ำ และอาหาร และมีดอก จัดอยู่ในหมวดพืชมี ดอก (Division Magnoliaphyta)
เป็นพื ชที่มีระบบท่อลำ เลียงน้ำ และอาหาร มีดอกและต้นอ่อนมีใบเลี้ยง 2 ใบ จัดอยู่ในชั้นพืชใบเลี้ยงคู่ (Class Magnoliopsida)
มี กลีบดอกซึ่งแต่ละกลีบแยกเป็นอิสระต่อกัน จัดอยู่ในอันดับพืชกลุ่มจำ ปี จำ ปา มณฑา ยี่หุบ กระดังงา สายหยุด (Order Magnoliales)
กลีบเลี้ยงไม่สามารถแยกออกได้ชัดเจนจากกลีบดอกจั ดอยู่ในวงศ์จำ ปี จำ ปา มณฑา ยี่หุบ สายหยุด(Family Magnoliaceae)
ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวที่ยอด และมีไข่อ่อนจำ นวน 4 เมล็ดหรือมากกว่า ในแต่ละรังไข่ จัดอยู่ในสกุลมณฑา (GenusManglietia)
ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวที่ยอดเช่นกัน แต่มีไข่อ่อนจำ นวน 2 เมล็ดในแต่ละรัง ไข่ จัดอยู่ในสกุลยี่หุบ (Genus Magnolia
ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวที่ซอกใบ จะจัดอยู่ในสกุล จำ ปี จำ ปา(Genus Michelia)
ถึงแม้ว่าจำ ปี และจำ ปา จะมีลักษณะส่วนใหญ่ร่วมกันและถูกจัดให้อยู่ในสกุลเดียวกัน เนื่องจากมีลักษณะร่วมกันมากกว่ามณฑาดอย และยี่หุบ แต่ก็ยังคงมีความแตกต่างกันจึงไม่ได้ถูกจัดให้เป็นชนิดเดียวกัน
พืชใบเลี้ลี้ยงเดี่ดี่ยว
(Monocotyledons)
Order GRAMINALES
•ส่วนใหญ่ เป็น Herb
•ดอกมี ขนาดเล็ก กลีบดอกลดรูป
•มี ใบประดับเรียกกาบช่อย่อย (glume)
•ช่อดอก spike, panicle
•เกสรเพศผู้ 3 หรือ 6 อัน
• เกสรเพศเมียประกอบด้วย 2-3 carpel มี 1 ช่อง มี ovule 1 อัน
•ผลแห้ง anchene, caryopsis
•อันดับนี้มี 2 วงศ์ ได้แก่ Cyperaceae และ Gramineae (หรือ Poaceae)
•สามารถเขียนรูปวิธานจำ แนกวงศ์ได้ดังนี้
ลำ ต้นเหนือดิน หน้าตัดรูปสามเหลี่ยม ไม่มีข้อปล้อง ใบรียงสลับ เป็น 3-rank กาบใบ (leaf sheath) ปิด ไม่มีหูใบ ดอกมี ใบประดับชนิดกาบช่อย่อย (glume) 1 อัน ผลแห้งเมล็ ดล่อน (anchene)…….Cyperaceae
ลำ ต้นเหนือดินกลวง หน้าตัดกลมหรือแบน มีข้อปล้อง ใบรียงสลับ เป็น 2-rank กาบใบ (leaf sheath) เปิด มีหูใบชนิด (ligule) ดอกมี ใบประดับชนิดกาบช่อย่อย (glume) 2 อัน ผลธัญพืช (Caryopsis)…….Gramineae
Family
1.1 วงศ์ Cyperaceae (วงศ์กก)
พืชวงศ์นี้ทั่วโลกมีประมาณ 90 สกุล 4,000 ชนิด
ประเทศไทยมี 21 สกุล 138 ชนิด
มี ลักษณะไม้ล้มลุกอายุหลายฤดู พบน้อยที่เป็นไม้ล้มลุกอายุฤดูเดียว ชอบขึ้นตามที่ชื้นแฉะ
ลำ ต้นตัน พบน้อยที่มีลำ ต้นกลวง ส่วนใหญ่ลำ ต้นใต้ดิน หน้าตัดรูปสามเหลี่ยมมีสามมุม (Triquetrous) ไม่มีข้อปล้อง
ใบเดี่ยว เรียงสลับแบบ 3-ranked กาบใบ (leaf-sheath) มีทั้งแบบปิดและแบบเปิด ไม่มีหูใบ
ดอกแบบ compound spike ดอกย่อยขนาดเล็กสมบูรณ์เพศหรือแยกเพศและอยู่ร่วมต้น พบน้อยมากที่เป็นแบบแยกเพศอยูต่างต้นดอกย่อยหุ้มด้ วยใบประดับเชิงลด 1 อัน
ช่อดอกย่อยอาจจะเรียงตัวแบบ umbellate หรือ แบบ paniculateพบน้อยที่ เรียงตัวคล้าย spicate ช่อดอกรองรับด้ วยใบประดับย่อย (involucral bract) จำ นวน 1 อัน หรือมากกว่า perianth ลดรูปเป็นเกล็ด (scale) หรือเป็นขนแข็ง (bristle) หรือขนอ่อน (hair) หรือไม่มี พบน้อยมากที่มีลักษณะคล้ายกลีบดอก
เกสรเพศผู้ 3 อันหรือน้อยกว่า พบน้อยมากที่มีหลายอันหรือจำ นวนมากเกสรเพศเมี ย 1 อัน ประกอบด้วย 2-3 carpel มี 1 ช่อง มี ovule 1 อันมี การติดของรังไข่แบบ basal placentation รังไข่แบบ superior ovary ก้านชูยอดเกสรเพศเมียปลายแฉกเป็น 2-3 แฉกผลแห้งแบบ achene หรือ แบบ nutlet
1.2 วงศ์ Graminaea (หรือ Poaceae)
(วงศ์ไม้ม้ไผ่ผ่และหญ้ญ้า)
•ปริมาณพืช ประมาณ525 สกุล ประมาณ5,000 ชนิด
•นิเวศนวิสัย เป็นไม้ล้มลุกอายุปีเดียวหรือหลายปี พบน้อยที่เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นเจริญเติบโตได้ดีในภูมิประเทศแทบ
•ทุกประเภททั่วโลกนับเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวที่มีวิวัฒนาการดีที่สุด
•ลำ ต้นลำ ต้ นกลมและเป็นทรงกระบอกกลวง มีข้อปล้องชัดเจนกลางปล้องเป็นช่อ'โพรง มีข้อปิดตันตลอดทั้งด้าน
•หัวและท้ายด้านข้างของข้อมักมีตาซึ่งมีกาบเมล็ดแข็งหุ้มปิดไว้
•ใบ เป็นใบเดี่ ยวแคบ ยาว อาจขึ้นเป็นกลุ่มกระจุกจากฐานการเรียงตัวของใบเป็นแบบ 2-rank มีกาบใบ (leaf-sheath)ซึ่งโคนแผ่กว้างโอบหุ้มลำ ต้นที่บริเวณเหนือข้อ แต่หุ้มไม่หมดรอบลำ ระหว่างกาบใบกับตัวใบมีหูใบชนิดลิ้นใบหรือ ลิ้นกาบ (ligule) ขวางคั่น
ดอกเป็นดอกช่อ compound spike ประกอบด้วยช่อย่อย เรียกว่าช่อดอกย่อย (spikelet) แต่ละช่อดอกย่อย (spikelet) ประกอบด้วยดอกย่อย 1-12 ดอกไม่มีก้านรูปทรงเป็น แบบ Zygomorphic ดอกย่อยขนาดเล็กสมบูรณ์เพศ พบบ้างที่แยกเพศ แต่ละดอกมีใบประดับหุ้ม 2 อันด้านนอกเรียก กาบล่าง (lemma) ด้านในเรียกกาบบน (palea) ไม่มีกลีบรวม (perianth) หรือถ้ามีจะลดรูปเป็นตุ่มเยื่อเล็กๆเรียก lodicule มี 2-3 อัน ทั้งดอกย่อยแต่ละหน่วยกับ lemmaและ paleaประกอบกันเป็นหน่วยที่เรียกว่า floret มีกาบประดับ เรียกว่า glume จำ นวน 2 คู่ซ้อนกันมารองรับ glumeคู่ล่างเรียกว่า emptyglume ซึ่งบางครั้งจะหลุดร่วงไปไม่ปรากฏส่วน glumeคู่บนจะติดอยู่ใต้ spikeletเรียกว่า floweringglume ช่อ spikeletบางช่ออาจมีแต่ดอกที่เป็นหมัน
•เกสรตัวผู้ ส่วนมากมี3 อัน อับเรณู (anther) ติดกับก้านชูอับเรณู (filament) แบบ versatile
•เกสรตัวเมีย มี 1 อัน ประกอบด้วย 3 carpel มี 1 ช่อง มีไข่ 1 อันติดแบบ basal placentation รังไข่ เป็นแบบ superior
•ปลายเกสรตัวเมียมี 2-3 อัน มีขนอ่อนคลุมอยู่
•ผลเป็นแบบ grainหรือ caryopsis เปลือกผลผนึกติดกับเมล็ดซึ่งมี endospermสะสมสารประเภท แป้งไว้อย่างมาก พบน้อยที่เป็นแบบเปลือกแข็งเมล็ดเดียว (nut) มีเนื้อหลายเมล็ด (berry)
Order ARALES (Spathiflorae)
•พืชในอันดั บนี้ส่วนใหญ่เป็นไม้ล้มลุก ดอกสมบูรณ์เพศหรือแยกเพศ
•ชั้นของดอกจำ นวน 2 หรือ 3 หรือทวีคูณของ 2 หรือ 3 บางครั้งลดรูปลงเหลือเพียงเกสรเพศผู้หรือเกสรเพศเมีย ช่อดอกมักเป็นช่อดอกแบบ spadix มีกาบ (spathe) ขนาดใหญ่หุ้ม รังไข่เหนือวงกลีบ (superior ovary) อันดั บนี้มี 2 วงศ์ ได้ แก่
Araceae
Lamnaceae
2.1 วงศ์ Araceae (วงศ์บอนและเผืผือก)
• นิเวศวิสัย ไม้ล้มลุกอายุหลายปี อวบน้ำ ขนาดกลางหรือขนาดใหญ่บางชนิดเป็นไม้เลื้อย มีหัวใต้ดินเป็นแบบ corm, tuber หรือ rhizome ชอบขึ้นอยู่ ในที่ร่มชื้น มีน้ำ แฉะ บางชนิดเป็นพืชน้ำปริมาณพืชมีประมาณ 105 สกุลประมาณ 1,500 ชนิด
• ลำ ต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดิน สะสมสารพวกแป้งไว้
• มักมีน้ำ ยางคัน สีใส ซึ่งเมื่อถูกลมจะเปลี่ยนสีน้ำ ตาลแดง
•ใบเป็นใบเดี่ยวหรือใบประกอบ รูปใบแบบ hastate,sagittate หรือ cordateขึ้นมาจากหัวใต้ดินหรือลำ ต้นตอนเหนือดิน ขึ้นเป็นกลุ่มใบมีขนาดใหญ่ ก้านใบยาวและมีเนื้อเยื่อก้านใบเป็นเยื่อพรุน ก้านใบด้านบนเป็นร่องราง ด้านท้องใบเป็นสันนูนใหญ่โคนก้านใบเป็นครี เส้นใบเป็นแบบร่างแห บางชนิดใบแคบยาวเส้นใบขนาน
• ดอก เป็นช่อดอกแบบ spadix มีกาบประดับขนาดใหญ่ (spathe)สีสดรองรับช่อดอกไว้
• ดอกย่อยมีขนาดเล็ก สมมาตรตามรัศมี (radial) ไม่มีก้านดอก (sessile)
• แยกเพศหรือสมบูรณ์เพศ ถ้าเป็นดอกชนิดแยกเพศดอกเพศผู้ (staminate flower) อยู่ตอนปลายของช่อดอกดอกเพศเมีย (pistillate flower) อยู่ตอนล่างของช่อดอกตอนกลางอาจพบดอกไม่มีเพศ (neutral flower)
• กลีบรวม (perianth) ถ้าเป็นดอกเพศเดียวจะไม่มีกลีบถ้าเป็นดอกสมบูรณ์เพศมีกลีบรวมเป็นกาบเล็กๆ 4-6 อัน อาจแยกกันหรือติดกัน
• เกสรตัวผู้ มีจำ นวนเท่ากับ หรือน้อยกว่ากลีบรวม
• เกสรตัวเมี ย มีรังไข่1 อันภายในมี 1-3 ห้องเชื่อมติดกัน
• รังไข่เป็นแบบ superiorovaryมีเม็ดไข่น้อย
• การติดของเม็ดไข่ เป็นแบบbasalหรือ axile หรือ parietalplacentation
• ผล มี เนื้อหลายเมล็ด (berry) มีหนึ่งถึงหลายเมล็ดเอ็นโดสเปิร์ม (endosperm) มีขนาดใหญ่
Order PANDANALES
3.1 วงศ์ Pandanaceae (วงศ์เตย)
• พืชในอันดับนี้มีทั้งที่เป็นเนื้อไม้ ที่ส่วนใหญ่มีรากค้ำ จุน (aerial prop-roots) และที่เป็นไม้ล้มลุกขึ้นในที่ชื้นแฉะ
• ดอกขนาดเล็ก แยกเพศ กลีบดอกลดรูปหรือไม่มี
• ช่อดอกแบบ head หรือ spike
• ผลขนาดใหญ่ เนื้อผลลักษณะแข็งหรือเหนียว
• ตามทฤษฎีของ Engler เป็นพืชที่เก่ากว่า (primitive) ที่สุดในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว พืชอันดับนี้มี 2 วงศ์คือ Pandanaceae และ Typhaceae
• พืชวงศ์นี้ทั่วโลกมี 3 สกุล ประมาณ 700 ชนิดประเทศไทยมี 2 สกุล 20 ชนิด
• มีลักษณะเป็นไม้ต้น หรือไม้พุ่ม มีเนื้อไม้ (woody plant) รากค้ำ จุน (aerial prop-root) ลำ ต้นแตกแขนง
• ใบเดี่ยว ออกใกล้ปลายยอด เรียงสลับเป็นแบบ 3-ranked หรือ 4- ranked แต่ลำ ต้นมักบิดทำ ให้เห็นใบเรียงเวียน (spiral) มีหนามที่ขอบใบและด้านล่างของเส้นกลางใบ
• ดอกช่อแบบ spike หรือ panicle มี spathe หุ้มช่อดอก ดอกย่อยขนาดเล็ก ไม่มีก้านดอก (sessile) แยกเพศ อยู่ต่างต้น (dioecious plant) ไม่มีกลีบเลี้ยงหรือกลีบดอก (perianth)
• เกสรเพศผู้จำ นวนมาก เกสรเพศเมีย 1 อัน ประกอบด้วยหลาย carpel มี 1 หรือหลายช่อง แต่ละช่องมี ovule 1 อันหรือจำ นวนมาก ovule ติดกับรังไข่แบบ parietal placentation หรือ basal placentation รังไข่แบบ superior ovary
• ผลเป็นแบบผลรวม หรือมีเนื้อหลายเมล็ด (berry) เนื้อผลแข็ง เมล็ดขนาดเล็กมาก
อันดับ PALMALES
4.1 วงศ์ Arecaceae หรือ Palmae (วงศ์หมาก มะพร้ร้าว)
• พืชในอันดับนี้เป็นไม้ต้น มีเนื้อไม้ ลำ ต้นตั้งตรงไม่แตกแขนง
• มีข้อปล้องเห็นชัดเจน โคนต้นมักใหญ่ ตามลำ ต้นมีรอยของก้านใบเก่าปรากฏอยู่มีบางชนิดเป็นไม้เลื้อย เช่นหวาย • ใบมีขนาดใหญ่ เป็นใบเดี่ยวหรือใบประกอบแบบนิ้วมือ (palmate) และแบบขนนก (pinnate) เรียงสลับ มักออกเป็นกระจุกที่ปลายยอดก้านใบแผ่เป็นกาบหุ้มลำ ต้น
• ดอกย่อยขนาดเล็ก แยกเพศหรือสมบูรณ์เพศ ชนิดแยกเพศมีทั้งดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (monoecious) และดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (dioecious)
• มักมีกาบ (spathe) ที่แข็งเหนียวขนาดใหญ่หุ้มรองรับช่อดอกไว้
• กลีบรวม (perianth) 6 กลีบ เรียงเป็น 2 ชั้น เกสรเพศผู้ 6 อันเกสรเพศเมีย 1 อัน ประกอบด้วย 3 carpel มี 1-3 ช่องแต่ละช่องมีไข่ 1 อัน
• รังไข่ชนิด superior ovary
• พืชในอั นดับนี้มี 1 วงศ์ คือ Palmae
• ปริมาณพืช มีประมาณ210 สกุล ประมาณ 4,000ชนิด
•ผล เป็นแบบเมล็ดเดียวแข็ง (drupe) เปลือกแข็งเมล็ดเดียว (nut) หรือมี เนื้อหลายเมล็ด (berry)
•เมล็ ด มีขนาดเล็กมี endosperm ขนาดใหญ่สมบูรณ์มากมี น้ำ มั นต้นอ่อนโค้งหรือตรง
ตั วอย่างชนิดพืช
Areca catechu หมาก,หมากสง
Cocos nucifera มะพร้าว
Arenga pinnata ชิด
Cyrtostachys lakka หมากแดง
Borassus flabellifer ตาลโตนด
Elaeis guineensis ปาล์ มน้ำ มัน
Calamus sp. หวายชนิดต่างๆ
Nipa fruticans จาก
Caryota urens เต่าร้าง
Phoenix dactylifera อินทผลั ม
Roystonea regia ปาล์ มขวด
Chrysalidocarpus lulescens หมากเหลื อง
อันดับ Commelinales
พืชในอันดั บนี้เป็น ไม้ล้ มลุก บางชนิดคล้ายหญ้า
ดอกสมบูรณ์เพศหรือแยกเพศ มี 6 กลีบ เกสรเพศผู้ 6 หรือ 3 เรียงเป็น 1-2 วง รังไข่ 3 locule แต่ ละ locule มี 1 ovule หรือจำ นวนน้อยเมล็ ดมักมี endosperm คล้ายแป้ง
อันดั บนี้มี 5 วงศ์ ได้ แก่ Commelinaceae, Flagellariaceae, Xyridaceae, Eriocaulaceae และ Brommeliaceae
5.1 วงศ์ Commelinaceae (วงศ์ผักปลาบ)
ไม้ล้ มลุกเลื้ อยแผ่ไปตามพื้นดินและชูยอดขึ้น
ดอกช่อแบบ cyme หรือ panicle ออกที่ซอกใบหรือปลายกิ่ง
ดอกสมมาตรตามแนวรัศมี (radial)หรือสมมาตรด้านข้าง (irregular flower)กลี บดอกสีน้ำ เงินหรือม่วง
กลี บรวมแยกเป็นสองวงที่ไม่เหมือนกันวงนอกคล้ ายกลี บเลี้ ยง วงในคล้ายกลีบดอกแ
-ก้านชูเกสรอาจจะมีขน รังไข่ 2-3 ช่องแต่ละช่อง มี ovule จำ นวนน้อย
-ผลแบบ capsule มีเมล็ดเดียวหรือจำ นวนน้อย-พืชวงศ์นี้ทั่วโลกมี 38 สกุล ประมาณ 600 ชนิด
-ประเทศไทยมี 2 สกุล 60 ชนิด
ตัวอย่างพืช
Commelinabengalensis ผักปลาบ
Tradescantiaspathaceae ว่านหอยแครงMurdannialoriformis หญ้าปักกิ่ง
ใบและดอกมีรสจืดชุ่ม เป็นยาเย็น ออกฤทธิ์ต่อตับและปอดใบใช้เป็นยาทำ ให้ เลื อดเย็น แก้อาการร้อนในกระหายน้ำโดยใช้ใบสด 3 ใบ นำ มาต้มผสมกับน้ำ ตาลกรวดเล็กน้อยดื่มเป็นยาถ้าแก้ไข้ใช้ (10-15 ใบ)
ใบนำ มาปิ้งให้ แห้ ง แล้วบดให้ เป็นผงผสมกับน้ำ มัน หรือใช้น้ำ คั้นจากต้นที่เคี่ยวกับน้ำ มันมะพร้าว หรือน้ำ มันงา นำ มาทาศีรษะจะช่วยทำ ให้ผมดกดำ และช่วยแก้ผมหงอกก่อนวัยได้ (ต้น,ใบ)
อันดับ LILIALES
ส่วนใหญ่เป็นไม้ล้มลุก มีลำ ใต้ใต้ดินชนิดrhizome, corm หรือ bulb
ดอกสมบูรณ์เพศ มีกลีบดอก 3 หรือทวีคูณของ 3 สมมาตรตามรัศมี (radial) กลีบรวม (Perianth) 2 ชั้น ลักษณะเหมือนกลีบดอก
เกสรเพศผู้ 6 อัน รังไข่เหนือวงกลีบดอก (superior ovary) มี 3 ช่องแต่ละช่องมีออวุล (ovule) จำ นวนมาก
อันดับนี้มี 13 วงศ์ ได้แก่ Liliaceae, Alliaceae, Stemonaceae,Agavaceae,Smilacaceae, Amaryllidaceae, Hypoxidaceae, Taccaceae,Dioscoreaceae, Pontederiaceae, Iridaceae, Burmanniaceae และ Philydraceae
การจำ แนกวงศ์
1.รังไข่เหนือวงกลี บ (Superior ovary)
ดอกเป็นแบบ 3 กลี บ (3- merous)
พื ชทนแล้ ง (Xerophyte) มีเนื้อไม้ ใบมีเส้นใย รูปร่างใบคล้ ายดาบ ออกเป็นกระจุกจากดิน (basal) หรือที่ปลายยอด
ดอกช่อแยกแขนง (panicle) ……………..……………Agavaceae
ดอกสมบูรณ์เพศ (bisexual)
ช่อดอกช่อซี่ร่ม (umbel)……………………..Alliaceae
ช่อดอกไม่ใช่ umbel………………………... Liliaceae
ดอกแยกเพศ (unisexual)……………………Smilacaceae
ดอกเป็นแบบ 2 กลี บ (2- merous)……………………Stemonaceae
รังไข่ใต้วงกลี บ (inferior ovary)
กลี บรวม (perianth) ลั กษณะเหมือนกลีบดอก (petaloid)
พื ชทนแล้ ง (Xerophyte) มีเนื้อไม้ ใบมีเส้นใย รูปร่างใบ
คล้ ายดาบ ออกเป็นกระจุกจากดิน (basal) หรือที่ปลายยอด
ดอกช่อแยกแขนง (panicle) ……………..……………Agavaceae
ลั กษณะพื ชไม่เหมือนข้อ 3
ช่อดอกช่อซี่ร่ม (umbel)……………………..Amaryllidaceae
ช่อดอกไม่ใช่ umbel………………………… Iridaceae
กลี บรวม (perianth) ลักษณะเหมือนกลีบเลี้ยง (sepaloid).....Dioscoreaceae
6.1 วงศ์ Liliaceae
• ปริมาณพืช ประมาณ250 สกุล ประมาณ 4,000ชนิดในประเทศไทยมี ประมาณ 20 สกุล 37 ชนิด
• นิเวศนวิสัย เป็นพืชล้มลุก อายุหลายปีพบน้อยที่เป็นไม้พุ่มที่เป็นไม้เนื้ออ่อน
• ลำ ต้น มี ลำ ต้นใต้ดินแบบ bulb, tuber หรือ rhizomeลำ ต้นบนดินมี ทั้งชนิดตั้งตรงและเลื้อยพัน
• ใบ เป็นใบเดี่ยวรูปใบหอก ปลายใบอาจเป็นมือพัน บางชนิดเป็นcladodeใบติดเรียงแบบสลับหรือออกรอบข้อมีบางชนิดออกแบบตรงกันข้ามโคนก้านใบแผ่กางออกเล็กน้อย
• ช่อดอก เป็นแบบraceme บางครั้งเป็นแบบ cyme ดอกสมบูรณ์เพศสมมาตรตามรัศมี (radial) บางชนิดสมมาตรเป็นแบบสองซีกเหมือนกัน (bilateral)
• กลีบรวม (perianth) 6 กลีบ เรียงเป็น 2 ชั้น มีลักษณะและสีคล้ายกลีบดอก
• เกสรตัวผู้ มี 6 อันมักเรียงเป็นวงเดียว หรือ 2วงชั้น
• เกสรตัวเมีย มีรังไข่1 อัน โดยมี 3 ห้องเชื่อมติดกัน
รังไข่เป็นแบบ superiorมีเม็ดไข่มาก
• การติดของไข่ เป็นแบบaxile placentation
• ผล เป็นแบบloculicidal หรือ septicidalcapsule หรือ berry
ตัวอย่างชนิดพืช
Aloe barbadensis หางจระเข้
Chlorophytum elatum ว่านเศรษฐี
Gloriosa superba ดาวดึงส์ดองดึง
Asparagus sprengeli ปริก
Hemerocallis flava ดอกไม้จีน
Asparagus officinalis หน่อไม้ฝรั่ง
ปัจจุบันนักพฤกษศาสตร์บางท่านได้จัดจำ แนก
genus Aloe เป็นวงศ์ Asphodelaceae
genus Colchicum, Gloriosa และ Iphigenia เป็นวงศ์ Colchicaceae
genus Dianella เป็นวงศ์ Phormiaceae
genus Peliosanthes เป็นวงศ์ Convallariaceae
genus Chlorophytum เป็นวงศ์ Asthericaceae
genus Asparagus เป็นวงศ์ Asperaceae
ประโยชน์
ช่วยรักษาแผลไฟไหม้ น้ำ ร้อนลวก ช่วยดับพิษร้อนบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนจากแผล ด้วยการใช้วุ้นจากใบสดที่ล้างน้ำสะอาดแล้ วฝานบาง ๆ นำ มาทาหรือแปะไว้บริเวณแผลตลอดเวลาจะช่วยทำ ให้แผลหายเร็วมากขึ้นและอาจไม่เกิดรอยแผลเป็นด้วย(วุ้นจากใบ)
ช่วยขจัดรอยแผลเป็น ทำ ให้ แผลเป็นจางลงป้องกันการเกิดรอยแผลเป็น (วุ้นจากใบ)
ช่วยรักษาตาปลาและฮ่องกงฟุต ด้วยการใช้วุ้นจากใบที่ล้างสะอาดแล้วนำ มาปิดไว้บริเวณที่เป็นและหมั่นเปลี่ยนบ่อย ๆ จนกว่าจะดีขึ้น (วุ้นจากใบ)
วุ้นจากใบใช้ทาเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด ด้วยการใช้วุ้นจากใบทาก่อนออกแดด หรือเตรียมเป็นโลชั่น
รักษาอาการผิวหนังไหม้จากแสงแดด จากการฉายรังสีหรือแผลเรื้อรังจากการฉายรังสี โดยนำ วุ้นของว่ายหางจระเข้มาทาผิวบ่อย ๆ ก็จะช่วยลดการอักเสบได้
วุ้นจากใบใช้ทาเพื่อรักษาฝ้า (วุ้นจากใบ
ช่วยรักษาโรคเรื้อนกวาง (โรคสะเก็ดเงิน) ช่วยลดการตกสะเก็ดและลดอาการคันของโรคเรื้อนกวาง ทำ ให้ แผลดูดีขึ้น (วุ้นจากใบ)
6.2 วงศ์ Alliaceae (วงศ์หอม)
ไม้ล้มลุกอายุหลายปี มีลำ ต้นใต้ดินแบบ bulb หรือ rhizome
ใบเดี่ ยวเรียงสลับออกจากลำ ต้นใต้ดิน (radicle)
ดอกช่อแบบ scapose umbelมีใบประดับบางขนาดใหญ่ หุ้มช่อดอก ดอกสมบูรณ์เพศ สมมาตรตามรัศมี (radial)
กลีบรวม (perianth) 6 กลีบ เรียงเป็น 2 ชั้น ลักษณะเหมือนกลีบดอก (Petaloid)
เกสรเพศผู้ 6 อัน เกสรเพศเมีย 1 อัน ประกอบด้วย 3 carpel มี 3 ช่อง
รังไข่ แบบ superior ovary
ไข่ติดแบบ axile placentation
ผลแบบ capsule
ตัวอย่างพืช
Alliumcepa หอมหัวใหญ่
Alliumsativum กระเที ยม
Allium cepa var. aggregatum หอมหัวเล็ ก
Alliumtuberosum กุ้ยช่าย
6.3 วงศ์ Amaryllidaceae (วงศ์พลับพลึง)
•ปริมาณพืช ประมาณ 65 สกุล ประมาณ 850 ชนิดในประเทศไทยมี 2 สกุล 5 ชนิด
•นิเวศวิสัย เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี มีลำ ต้นใต้ดินแบบ bulb หรือ corm ไม่ค่อยพบแบบ rhizome ใบเดี่ยวเรียงสลับเกิดจากราก (radical) หรือเกี่ยวกับลำ ต้น (cauline)
• ดอกช่อแบบ scapose umbel ใบประดับบางและขนาดใหญ่ หุ้มช่อดอก
•ดอก สมบูรณ์เพศตามแนวรัศมี (radial) กลีบรวม (perianth) 6 กลีบ เรียงเป็น2 ชั้น ลักษณะเหมือนกลีบดอก
(petaloid) ทั้ ง 2 ชั้น มีสีสรรสวยงาม เกสรเพศผู้ 6 อัน เกสรเพศเมีย 1 อันประกอบด้ วย 3 carpel มี 3 ช่อง แต่ละช่องมี ovule น้อยหรือมากติดกับรังไข่รอบแกนร่วม (axile placentation) รังไข่ แบบ Inferior ovary ผลแบบ capsuleหรือ berry
ตัวอย่างพืช
Crinum amanile พลับพลึงดอกขาว
Zephyranthes candida บัวสวรรค์
Hymenocallislitoralis พลับพลึงตีนเป็ด
Zephyranthesrosea บัวฝรั่งดอกชมพู
อันดับ Zingiberales
•เป็นไม้ล้มลุก อายุหลายปี มีลำ ต้นใต้ดินแบบเหง้า (Rhizome) กาบใบเป็นแบบเปิดดอกสีสรรสวยงาม สมบูรณ์เพศ สมมาตรสองซีกเหมือนกัน (bilateral) กลีบรวม(perianth) 6 กลีบ สามารแยกได้เป็นกลีบเลี้ยงและกลีบดอก เกสรเพศผู้ที่สมบูรณ์ 5 หรือ 1 อัน รังไข่ inferior ovary มี 3 ช่อง ovule 1 อัน หรือจำ นวนมาก ติดแบบ Axile placentation เมล็ดมี Aril•พืชอันดั บนี้ได้แก่ Musaceae, Zingiberaceae, Cannaceae,Marantaceaeและ Lowiaceae
•สามารถเขียนรูปวิธานจำ แนกวงศ์ได้ดังนี้
เกสรเพศผู้ที่สมบูรณ์ 5-6 อัน ถ้ามี 5 อัน จะมีเกสรเพศผู้ที่เป็นหมัน(staminode) 1 อัน ไม่มีกลิ่นหอม ...................... Musaceae
เกสรเพศผู้ที่สมบูรณ์ 1 อัน เกสรเพศผู้อีก 5 อัน เป็นหมันหรือลดรูป ทั้งต้นมีกลิ่นหอมโดยเฉพาะที่เหง้า................Zingiberaceae
7.1 วงศ์ Musaceae (วงศ์กล้วย)
• ปริมาณพืช มี 2 สกุล ประมาณ 42ชนิด ประเทศไทยมี2 สกุล 10ชนิด
• นิเวศนวิสัย เป็นพืชล้มลุกขนาดใหญ่กาบก้านใบแผ่ประกบกันขึ้นเป็นลำ คล้ายลำ ต้ นที่ สูงและแข็งแรง
• ลำ ต้ นลำ ต้ นบนดินเป็นแบบลำ ต้นเทียม (pseudostem) เกิดจากกาบและก้านใบที่รวมกันเข้าทำ ให้แลดูคล้ายลำ ต้น
•ใบเป็นใบเดี่ ยว เรียงเวียน (spiral) ใบขนาดใหญ่ รูปขอบขนาน (oblong) ท้องใบมีคราบนวลขาวคลุมอยู่ เส้นกลาง
•ใบเป็นเส้นใหญ่ด้านบนเป็นร่อง ด้านล่างโค้งนูนเป็นสัน เนื้อเยื่อก้านใบเป็นโพรงพรุน มีอาหารเหลวสะสมลักษณะคล้ายน้ำ นมใสๆเมื่อถูกลมจะเป็นสีม่วงอ่อนแล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำ ตาล
•ดอกเป็นดอกช่อเชิงลด (spike) หรือช่อคล้ายช่อกระจุกเชิงประกอบ (compoundcymose) มีกาบ (spathe) สีสดหุ้มอยู่
•ดอกแยกเพศหรือสมบูรณ์เพศ สมมาตรสองซีกเหมือนกัน (bilateral) กลีบรวม(perianth) 6 กลีบเรียง 2 ชั้น แต่ Hutchinson จัดว่ามีกลีบเลี้ยงซึ่งเริ่มต้นมีลักษณะเป็นหลอด ต่ อมาจะแยกออกและบิดไปอยู่ด้านเดียวปลายแยกเป็นแฉก และกลีบดอกซึ่งปลายแยกเป็นสองปาก (2-lipped)
•เกสรเพศผู้สืบพันธ์ได้ (fertile stamen) 5 อัน เกสรเพศผู้เป็นหมัน(staminode) 1 อัน เกสรเพศเมีย 1 อัน ประกอบด้วย 3 carpel มี 3 ช่อง แต่ละช่องมีไข่จำ นวนมาก ไข่ติดแบบ axile placentationรังไข่แบบ inferior ovary
•ผลแบบกล้วย ( baccate) หรือแบบ capsule
ตั วอย่างชนิดพืช
Musa sapientum กล้วย
M. acuminate กล้วยป่า
M. balbisiana กล้วยตานี
M. textilis กล้วยป่านมนิลา
Ensete superba กล้วยผา
7.2 วงศ์ Zingiberaceae (วงศ์ขิง-ข่ข่า)
• ปริมาณพืช มีประมาณ47 สกุล ประมาณ1,400 ชนิดในประเทศที่ กำ ลังศึกษามี 25 สกุล 260 ชนิด•นิเวศนวิสัย เป็นพืชล้มลุกมีอายุหลายปี มีกลิ่นน้ำ มันหอมระเหยตลอดต้นกลิ่นหอมแรง มักใช้เป็นยาหรือ เครื่องเทศ• ลำ ต้ น มีลำ ต้ นใต้ ดินเป็นแบบเหง้า (rhizome) หรือ tuberหรือ fascicularขนาดใหญ่ แตกหน่อได้ง่าย•ใบ เป็นใบเดี่ ยว เรียงสลับแบบ 2-ranked และ 3-ranked ส่วนใหญ่มีกาบใบซึ่งจะรวมกันทำ ให้แลดูคล้ายลำ ต้น•เป็นพืชล้มลุกมีอายุหลายปี มีลำ ต้นใต้ดินเป็นแบบเหง้า (rhizome)กาบใบ (leaf-sheath) เป็นแบบเปิด ดอกสี หรือ tuberหรือ fascicularขนาดใหญ่ แตกหน่อได้ง่าย• มีกลิ่นน้ำ มันหอมระเหยตลอดต้นกลิ่นหอมแรง มักใช้เป็นยาหรือ เครื่องเทศ• ลำ ต้ น ใบเป็นใบเดี่ ยว เรียงสลับแบบ 2-ranked และ 3-rankedส่วนใหญ่มีกาบใบ ซึ่งจะรวมกันทำ ให้แลดูคล้ายลำ ต้น•ดอก เป็นดอกช่อแบบ spike หรือ racemeมีใบประดับย่อย (bracteole)หุ้มดอกย่อยแต่ละดอก ดอกสมบูรณ์เพศ สมมาตรแบบสองซีกเหมือนกัน (bilateral)• กลี บรวม (perianth) 6 กลีบ เรียงเป็น 2 ชั้น ชั้นนอกลักษณะเหมือนกลีบเลี้ยง(sepaloid) ชั้นในเหมือนกลีบดอก (petaloid)•เกสรตัวผู้ สืบพั นธ์ได้ (fertile stamen) 1 อัน ที่เหลือเป็นเกสรเพศผู้เป็นหมันหรือลดรูปซึ่งมี 1 อัน หรือมากกว่า เป็น เกสรเพศผู้คล้ายกลีบดอก (petaloidstaminode) และมีเกสรเพศผู้คล้ ายกลี บดอก 1 อัน ที่มีลักษณะคล้ายปากเรียกว่า labellum หรือ lip•เกสรตั วเมีย รังไข่เป็นแบบ inferiorภายในมี 3 ห้องเชื่อมติดกันแต่ ละห้องมีเม็ดไข่มาก•การติดของไข่ เป็นแบบaxileplacentationหรือ parietalplacentation•ผล เป็นแบบcapsuleหรือ berry•เมล็ด ขนาดปานกลางมักมีเยื่อหุ้ม ต้นอ่อนตรง
Order ORCHIDALES
8.1 วงศ์ Orchidaceae (วงศ์กล้วยไม้ม้)
•เป็นไม้ล้มลุก และพืชเกาะอาศัยพืชอื่น (Epiphyte) ดอกสมบูรณ์เพศ
•ดอกสมมาตรสองซีกเหมือนกัน (Bilateral) กลีบรวม 6 กลีบ ลักษณะเหมือนกลีบดอกแต่ สามารถแยกได้เป็นกลีบเลี้ยงและกลีบดอก
•พืชในอันดั บนี้มี 1 วงศ์ คือ Orchidaceae ได้แก่พวกกล้วยไม้ชนิดต่างๆ เป็นวงศ์ที่ ใหญ่มากและจัดว่ามีวิวัฒนาการสูงสุดในกลุ่มพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
•เกสรตัวเมีย มี รังไข่1 อัน ประกอบด้วย 3 carpelภายในมี 1 ห้อง มีเม็ดไข่จำ นวนมากมาย การติดของไข่เป็นแบบaxile placentation
•รังไข่ เป็นแบบ inferior ovary
•ผล เป็นแบบ capsule เมล็ด มีขนาดเล็กมาก มีจำ นวนมาก
ตั วอย่างชนิดพืช
Vanillaplanifolia วานิลลา
Phaius spp เอื้องพร้าว
Cattleya spp คัทลียา
Rhynchostylis spp ช้างต่ างๆ
Dendrobium spp เอื้องต่ างๆ
Paphiopedilum spp หวายมาดาม