Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
เทคนิคและเครื่องมือวัดผลการเรียนรู้, นางสาวฟารีสาห์ อูมา สาขาวิชาภาษาไทย…
เทคนิคและเครื่องมือวัดผลการเรียนรู้
การทดสอบ
หมายถึง เครื่องมือหรือสิ่งเร้าที่ไปเร้าให้ผู้ถูกทดสอบได้แสดงพฤติกรรมหรือความสามารถที่ต้องการออกมา ผลการทดสอบมักออกมาในรูปของคะแนน และคะแนนเป็นสิ่งที่แทนความสามารถของบุคคล
องค์ประกอบของการทดสอบ
1.บุคคลที่ถูกทดสอบ
2.เครื่องมือที่ใช้ในการทดสอบ
3.การดำเนินการทดสอบ
4.ผลการทดสอบในรูปของคะแนนที่แทนความสามารถของผู้ถูกทดสอบ
•ประเภทของการทดสอบ
1.แบบทดสอบแบบถูก-ผิด
2.แบบทดสอบแบบจับคู่
3.แบบทดสอบแบบเติมคำ
4.แบบทดสอบแบบปรนัยเลือกตอบ
5.แบบทดสอบแบบเขียนตอบ
•เครื่องมือวัดผล
1.เครื่องมือที่เป็นแบบทดสอบ เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับสมอง และสติปัญญา เช่น แบบทดสอบอัตนัย
2.เครื่องมือไม่ใช่แบบทดสอบ เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดพฤติกรรมด้านอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสติปัญญา เช่น แบบสังเกต แบบสัมภาษณ์
•ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือ
1.กำหนดลักษณะของสิ่งที่ต้องการวัด
2.กำหนดชนิดของเครื่องมือในการวัด
3.ดำเนินการสร้างเครื่องมือ
4.วิเคราะห์เพื่อตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ
5.สร้างเกณฑ์ในการแปลความหมายคะแนน
6.เขียนรายงานและคู่มือการใช้
•ตัวอย่างเครื่องมือการทดสอบแบบอัตนัย
เป็นแบบทดสอบที่ให้ผู้เรียนเขียนคำตอบเอง โดยผู้เรียนสามารถเขียนตอบได้อย่างเสรี
มีหลักการสร้างดังนี้
1.เขียนคำชี้แจงเกี่ยวกับวิธีการตอบให้ชัดเจน ระบุจำนวนข้อ เวลาและคะแนน
2.ควรเขียนคำถามให้ชัดเจน
3.ไม่ควรตั้วคำถามเฉพาะ ประเภทความรู้ ความจำหรือปัญหาที่มีคำตอบในหนังสือ
4.กำหนดเวลาในการตอบ
5.เลือกถามเฉพาะจุดที่สำคัญของเรื่อง
6.ไม่ควรให้เลือกตอบเป็นบางข้อ
7.การตรวจให้คะแนน
•ประเภทของเครื่องมือทดสอบอัตนัย
1.แบบจำกัดคำตอบ เป็นแบบทดสอบที่มีข้อกำหนดในการตอบ เช่น จำนวนบรรทัด จำนวนข้อในการตอบ
2.แบบไม่จำกัดคำตอบ เป็นแบบทดสอบที่ไม่มีข้อกำหนดในการตอบ ผู้ตอบมีอิสระในการตอบ สามารถแสดงความคิดได้อย่างเต็มที่
•ข้อดี
1.เหมาะสมที่จะวัดความคิดขั้นสูง
2.สร้างง่ายและรวดเร็ว
3.ส่งเสริมทีกษะการเขียน
4.เดาไม่ได้
5.ประหยัดค่าใช้จ่าย
6.ลดการทุจริตในการสอบ
•ข้อจำกัด
1.ถามได้ไม่คลุมเนื้อหา สุ่มเนื้อที่จะวัดได้ ถามได้น้อย
2.มีความไม่ยุติธรรมในการตรวจ
3.เสียเวลาในการตรวจ
การสังเกต
หมายถึง เครื่องมือในการรวบรวม ข้อมูล โดยใช้ประสาทสัมผัสศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ การสังเกตหรือเฝ้าดูเหตุการณ์ พฤติกรรมของผู้ถูกสังเกต เพื่อให้ได้ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ของผู้สังเกต
•ประเภท
1.การสังเกตแบบมีส่วนร่วม คือ การสังเกตที่ผู้สังเกตเข้าไปใช้ชีวิตร่วมกับกลุ่มที่ถูกศึกษา ทำกิจกรรมร่วมกัน จนผู้ถูกศึกษายอมรับผู้สังเกตว่ามีสถานภาพ บทบาทเช่นเดียวกับตน
2.การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม คือ การสังเกตที่ผู้วิจัยเฝ้าสังเกตอยู่วงนอก ไม่เข้าร่วมในกิจกรรมที่ทำอยู่
•เครื่องมือที่ใช้ในการสังเกต
1.แบบตรวจสอบรายการ
2.ระเบียนพฤติกรรม
3.แบบจัดอันดับคุณภาพ
•ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือ
1.ต้องตั้งจุดมุ่งหมายในการสังเกตที่แน่นอน
2.ต้องสังเกตด้วยความระมัดระวังและใช้พินิจพิเคราะห์
3.ระยะเวลาในการสังเกตต้องติดต่อกัน
4.วิธีการสังเกตและวิธีการบันทึกต้องเป็นระบบ
5.ขณะที่สังเกตจะต้องไม่ให้ผู้ถูกสังเกตรู้ตัว
6.บันทึกเฉพาะพฤติกรรมที่สังเกตเห็นเท่านั้น
7.การสังเกตจะน่าเชื่อถือต้องใช้ผู้สังเกตหลายๆ คน
•ข้อดี
1.บันทึกพฤติกรรมได้โดยตรง สังเกตเวลาไหนก็ได้และสังเกตได้หลายอย่าง
2.สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม แล้วนำเป็นข้อมูลย้อนกลับแก่นักเรียน
3.ข้อมูลที่ได้มีความเป็นธรรมชาติ
4.เหมาะกับกลุ่มที่อ่านหนังสือไม่ได้ เด็กเล็กและผู้พิการทางสมอง
•ข้อจำกัด
1.ใช้เวลามาก เสียค่าใช้จ่ายมาก
2.พฤติกรรมบางพฤติกรรมไม่แสดงออกในช่วงเวลา
3.ต้องใช้เครื่องมืออื่นประกอบ
4.ความลำเอียงของผู้สังเกต
5.ไม่สามารถบันทึกพฤติกรรมได้ทุกพฤติกรรมที่แสดงออก
การสัมภาษณ์
หมายถึงเป็นเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสนทนาอย่างมีจุดมุ่งหมาย กำหนดวัตถุประสงค์ไว้ล่วงหน้า สามารถได้ข้อมูลที่เป็นรายละเอียด ใช้กับกลุ่มตัวอย่างที่ไม่จำกัดระดับการศึกษา
•ประเภทการสัมภาษณ์
การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง เป็นวิธีการสัมภาษณ์ที่มีการกำหนดข้อคำถามที่จะถามไว้แน่นอนผู้ถูกสัมภาษณ์แต่ละคนจะถูกถามด้วยคำถามเหมือนกันหมดอาจเป็นคำถามทั้งคำถามปลายเปิดหรือปลายปิด
การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง เป็นวิธีการสัมภาษณ์ที่ไม่ได้กำหนดข้อคำถามไว้ คำถามที่ใช้จะไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนแต่ต้องอยู่ในกรอบวัตถุประสงค์ของความต้องการข้อมูล
3.การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง เป็นการสัมภาษณ์ที่มีลักษณะกึ่งๆระหว่างการสัมภาษณ์แบบที่ 1และแบบที่ 2
การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้างแบ่งออกเป็น 3 วิธีคือ
การสัมภาษณ์แบบไม่จำกัดคำตอบ เป็นวิธีการสัมภาษณ์ที่ผู้สัมภาษณ์พยายามจะให้ข้อมูล และกระตุ้นผู้ถูกสัมภาษณ์
การสัมภาษณ์แบบมีจุดสนใจเฉพาะ เป็นวิธีการสัมภาษณ์ที่ผู้สัมภาษณ์มีความสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่ จึงพยายามที่จะใช้วิธีการต่างๆ ในการชักจูงผู้ถูกสัมภาษณ์
3.การสัมภาษณ์แบบหยั่งลึก เป็นวิธีการสัมภาษณ์ที่ผู้สัมภาษณ์ต้องการข้อเท็จจริงพร้อมเหตุผลของข้อเท็จจริงจากผู้ถูกสัมภาษณ์ไห้ได้มากที่สุด
• เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลแบบสัมภาษณ์ เป็นเครื่องมือการวิจัยอีกประเภทหนึ่งที่ถูกนำมาใช้เพื่อการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการสนทนา
•ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือ การสร้างแบบสัมภาษณ์ มีขั้นตอนน้อยกว่าประเภทอื่นๆ เพราะมักเป็นคำถามกว้างๆ ให้ผู้ตอบ ตอบโดยอิสระและได้ข้อมูลที่เป็นความจริงมากที่สุดซึ่งมี 4 ขั้นตอนสำคัญ
ศึกษาทฤษฎี หลักการ ตัวแปรหรือประเด็นสำคัญที่ต้องการทราบข้อมูล
สร้างข้อคำถามให้สัมพันธ์กับประเด็นหรือคำสำคัญที่ต้องการทราบข้อมูลโดยยึดหลัก ดังนี้
2.1 ไม่ใช้คำถามที่เป็นการชี้นำ ให้เกิดคำตอบที่ต้องการ
2.2 ไม่ใช้คำถามที่ทำให้ผู้ตอบรู้สึกต่อต้านหรือเกิดอคติ
2.3 ไม่ใช้คำถามที่เป็นความขัดแย้งค่านิยมของสังคม
นำแบบสัมภาษณ์ที่ออกแบบข้อคำถามไปตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา
นำแบบสัมภาษณ์ที่ผ่านการทดสอบความตรงทดลองใช้กับผู้ที่มีลักษณะใกล้เคียง
•ข้อดี
เหมาะสำหรับผู้ตอบที่อ่านหนังสือไม่ออก
ทราบปฏิกิริยาของผู้ตอบทันที
ผู้สัมภาษณ์สามารถอธิบายคำถามได้อย่างชัดเจน
ผู้ถูกสัมภาษณ์ให้ความร่วมมือในการตอบคำถามมากกว่าวิธีการส่งแบบสอบถามไปให้ตอบ
•ข้อจำกัด
ต้องใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูล
2.เสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปสัมภาษณ์ (กรณีที่ต้องสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว)
3.การวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผลทำได้ยากกว่าการใช้แบบสอบถาม
4.ข้อมูลที่ได้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของผู้สัมภาษณ์
การประเมินโดยแฟ้มสะสมผลงาน
หมายถึงเป็นวิธีการประเมินผลที่อาศัยเทคนิควิธีจากการรวบรวมผลงานต่างๆ ของผู้เรียนเข้าด้วยกัน แล้วตัดสินผล ลงสรุปเกี่ยวกับความรู้ ความสามารถของผู้เรียน โดยพิจารณาจากการเปลี่ยนแปลง ความพยายาม ความสนใจ เจตคติ และการปฏิบัติ แล้วส่งผลย้อนกลับไปสู่ผู้เรียนและผู้ปกครอง เพื่อให้ผู้เรียน เข้าใจตนเอง
•ประเภทของแฟ้มสะสมผลงาน
แบ่งได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่ง
-แบ่งตามกระบวนการทำงาน ได้ 3 รูปแบบ คือ
1.แฟ้มบรรจุตัวอย่างของงาน
2.แฟ้มกระบวนการทำงาน
3.แฟ้มแบบผสม คือ มีทั้งกระบวนการทำงานพร้อมตัวอย่างของงาน
-แบ่งตามจุดประสงค์การนำไปใช้หรือตามจุดมุ่งหมายของผู้เก็บแฟ้ม ได้ 4 รูปแบบ
1.แฟ้มสะสมผลงานรวมของผู้เรียนทั้งหมด
2.แฟ้มนิทรรศการหรือแฟ้มแสดงผลงาน
3.แฟ้มสำหรับการประเมินผู้เรียนเป็นรายวิชา
4.แฟ้มผลงานครู
•เครื่องมือในการประเมินแฟ้มสะสมผลงาน มีดังนี้
1.แบบบันทึกการประเมิน เป็นเครื่องมือใช้ประกอบการสังเกต หรือสัมภาษณ์รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการประเมินตนเอง
เกณฑ์ประเมินเป็นแนวทางการให้คะแนนที่มีลักษณะเป็นมาตรวัดที่มีรายการประเด็นการประเมินกับมาตรฐานของคุณภาพงาน
• ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือการประเมินแฟ้มสะสมผลงาน
การสร้างแบบบันทึกการประเมิน ต้องใช้เป้าหมายของการจัดทำแฟ้มสะสมผลงานเป็นแนวทางกำหนดข้อความหรือประเด็นการประเมิน แบบบันทึกผลการประเมินควรมีคู่มือการใช้ เพื่อให้ผู้ประเมินสามารถประเมินไปในทางเดียวกัน
•เกณฑ์การประเมิน
กำหนดการประเมิน โดยพิจารณาจากเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการจัดทำแฟ้มสะสมผลงาน
2.เลือกมาตรวัดประมาณค่าเชิงจำนวน เช่น 1 2 3 หรือเชิงคุณภาพ เช่น ดี พอใช้ ปรับปรุง
3.กำหนดมาตรฐานของคุณภาพงาน เป็นการกำหนดรายละเอียดของประเด็นการประเมินในแต่ละตำแหน่งคุณภาพมาตรวัด
จัดทำเป็นแบบบันทึกที่ประกอบด้วยประเด็นการประเมินและมาตรฐานของคุณภาพงาน
•ข้อดี
1.ผู้เรียนสามารถแสดงความสามารถในการทำงานโดยที่การสอบทำไม่ได้
เป็นการรวบรวมผลงานซึ่งแสดงศักยภาพของผู้เรียน
แสดงพัฒนาการของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง และนักเรียนได้ปรับปรุงผลงานของตนตลอดเวลา
เพิ่มแรงจูงใจในการเรียนของนักเรียนและวัดความสามารถของนักเรียนได้หลายด้าน
• ข้อจำกัด
1.ใช้เวลามากเนื่องจากผู้เรียนต้องใช้เวลาในการเก็บรวบรวมผลงานรวมทั้งครู
2.มีปัญหาและสถานที่เก็บรวบรวมผลงานโดยเฉพาะครูที่สอนหลายวิชาในแต่ละปีจะมีแฟ้มสะสมงานของผู้เรียนจำนวนมาก
3.การใช้แฟ้มสะสมงานประเมินผลผู้เรียนยังมีปัญหาในเรื่องความเชื่อมั่นหรือความเห็นที่สอดคล้องกันในการประเมิน
การประเมินตามสภาพจริง
หมายถึง การประเมินความสามารถตามสภาพความเป็นจริงของผู้เรียน โดยที่ผู้ประเมินจะหาวิธีการหรือเทคนิคในการประเมินให้เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละคน โดยใช้กระบวนการสังเกต บันทึกและการรวบรวมข้อมูลจากผลงาน วิธีการ หรือสิ่งที่ผู้เรียนปฏิบัติ เพื่อเป็นพื้นฐานของการตัดสินใจต่อตัวผู้เรียน จะไม่เน้นการประเมินเฉพาะทักษะพื้นฐาน แต่จะเน้นทักษะการคิดที่ซับซ้อนในการทำงาน
•ประเภทการประเมินตามสภาพจริง แบ่งตามลักษณะของกิจกรรมได้ 2 ลักษณะ
1.การประเมินอย่างเป็นทางการ เป็นการประเมินความสามารถภาคทฤษฎี เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบทดสอบที่สร้างขึ้นและได้ทดลองจนเป็นที่น่าเชื่อถือ เรียกว่า ข้อสอบมาตรฐาน ใช้ในการวัดความสามารถทางวิชาการ วัดความถนัด วัดความพร้อมต่างๆ และวัดกระบวนการคิด
2.การประเมินอย่างไม่เป็นทางการ เป็นการประเมินความสามารถภาคปฏิบัติ เน้นทักษะการทำงานของผู้เรียนตามสภาพจริง จะทำการประเมิน 3 ด้าน คือ
บุคลิกภาพ (Performance )แยกออกได้เป็น ก.ทักษะการทำงาน ข. จิตพิสัยและกิจนิสัยการทำงาน
กระบวนการ (Process)
ผลผลิต (Products)
การประเมินส่วนใหญ่เป็นการประเมิน แบบประมาณค่า แบบตรวจสอบรายการแบบประเมินรายบุคคล
•เครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน
2.เครื่องมือประเมินความสามารถในการปฏิบัติงานและจิตพิสัย เป็นการประเมินความสามารถของผู้เรียนใน 3 ด้าน
1.การประเมินบุคลิกภาพ ประกอบด้วยความสามารถในการปฏิบัติ”ทักษะ”และลักษณะทางอารมณ์”เจตคติ”
2.การประเมินกระบวนการ ประเมินความสามารถในการดำเนินงานและการพัฒนางาน
3.การประเมินผลงาน ประเมินผลผลิตที่ได้จากการปฏิบัติงาน เช่น ชิ้นงาน รายงาน หรือผลสำเร็จได้จากภาระงาน
1.เครื่องมือประเมินองค์ความรู้ทฤษฎี เครื่องมือที่ใช้ประเมิน คือ แบบสัมภาษณ์และแบบทดสอบ การเรียนการสอนส่วนใหญ่เป็นแบบทดสอบ เช่น แบบทดสอบแบบเลือกต
•เครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน
การประเมินพฤติกรรมทั้ง 3 ด้านส่วนมากจะเป็นแบบปนะเมินในลักษณะต่างๆ และตามลักษณะของกิจกรมการเรียนการสอน นิยมใช้อยู่ 2 แบบ คือ
1.แบบตรวจสอบรายการ(Checklist) สำหรับตรวจสอบการปฏิบัติงานหรือกิจกรรมต่างๆ ผู้ประเมินใช้ในการสังเกตเหตุการณ์เรื่องราว พฤติกรรมตามรายการที่กำหนด กำหนดตัวเลือกเพียง 2 ตัวเลือก
2.แบบมาตราส่วนประมาณค่าหรือเรียกอีกอย่างว่า มาตราส่วนประมาณค่า(Rating scale) ใช้องค์ประกอบ คุณลักษณะสำคัญของชิ้นงานหรือสมรรถนะงานในการกำหนดคะแนน ใช้รายละเอียดขององค์ประกอบเป็นเงื่อนไขการประเมิน
ทั้ง 2 แบบที่ใช้ในการประเมินต้องมีเกณฑ์การให้คะแนน ซึ่งใช้พิจารณาคุณลักษณะ หรือพฤติกรรมการกระทำ
•ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือ จะประเมินตามสภาพจริงได้ สร้างข้อคำถาม ต้องประเมินความสามารถของผู้ตอบได้ตามระดับพฤติกรรมการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ในหลักสูตร ต้องมีการวิเคราะห์หลักสูตร และนำผลที่ได้จากวิเคราะห์หลักสูตรมากำหนดเป็นตารางวิเคราะห์ข้อสอบ เพื่อกำหนดว่าจะประเมินความสามารถของผู้สอบถึงระดับใด และจำนวนข้อสอบจะวัดตามระดับพฤติกรรมการเรียนรู้ในแต่ละระดับ ระดับละกี่ข้อ
•ตัวอย่างเครื่องมือ แบบทดสอบ ข้อสอบปรนัย
• ข้อดี
1.เหมาะกับการวัดพฤติกรรมความรู้-ความจำ
2.สร้างง่าย ตรวจง่าย
3.ใช้ทดสอบได้กับทุกวิชา
4.ผู้สอบใช้เวลาทำน้อย
• ข้อจำกัด
1.โอกาสเดาถูกมีมาก
2.วัดพฤติกรรมระดับสูงไม่ได้
3.ไม่สามารถวินิจฉัยสภาพการเรียนได้
4.มีค่าอำนาจจำแนกต่ำ
เกณฑ์การให้คะแนน
หมายถึง เกณฑ์การให้คะแนนที่ถูกพัฒนาโดยครูหรือผู้ประเมินที่ใช้วิเคราะห์ผลงานหรือกระบวนการที่ผู้เรียนได้พยายามสร้างขึ้น
•ประเภทเกณฑ์การให้คะแนนถือเป็นเครื่องมือสำหรับใช้ประเมินผลการเรียน เพื่ออธิบายความสัมฤทธิ์ผลของผู้เรียนโดยทั่วไปมี 3 แบบ คือ
1.การกำหนดเกณฑ์โดยภาพรวม(Holistic Rubrics)
2.การกำหนดเกณฑ์โดยแยกเป็นประเด็นย่อย(Analytic Rubrics)
3.การประเมินแยกส่วนเฉพาะคุณลักษณะที่เด่น(Annotated Holistic Rubrics)
•โดยการประเมินผลงานของนักเรียนจะมี 2 ลักษณะ
1.ผลงานที่ได้จากกระบวนการของนักเรียน
2.กระบวนการที่นักเรียนใช้เพื่อให้เกิดผลงาน
• เครื่องมือ ผู้ประเมินจะต้องตัดสินคุณภาพของผลงานหรือกระบวนการปฏิบัติงานของผู้เรียนแต่ละคนที่มีระดับแตกต่างกัน อาจจะเป็นระดับคุณภาพของชิ้นงานที่ได้สร้างขึ้น หรือระดับของกระบวนการต่างๆ เกณฑ์อาจจะอยู่ในเชิงคุณภาพหรือปริมาณ อาจมีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) หรือแบบแบบตรวจสอบ(Checklist) โดยปกติจะใช้ Rubrics ในการประเมินจุดประสงค์การเรียนรู้เดียวหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของงานปฏิบัติ
•ขั้นตอนการสร้างเกณฑ์การให้คะแนน
1.เนื้อหา หน่วยการเรียน หรือภาระงานที่กำหนดตรงกับมาตรฐานการเรียนรู้ในข้อใด
2.ประเด็นที่จะนำมาประเมินภาระงานนั้นสามารถบอกได้ว่าเป็นคุณภาพของผู้เรียนตามมาตรฐานการเรียนรู้ข้อในข้อใด
3.จัดทำกรอบการประเมินที่ครอบคลุมประเด็นที่จะนำมาประเมิน
4.อธิบายการแสดงออกถึงระดับความสามารถตามประเด็นที่กำหนดเป็นลำดับ
5.ทดลองหาความชัดเจนของเกณฑ์โดยให้ผู้ใช้เชี่ยวชาญพิจารณา
6.หลังจากนำเกณฑ์ไปใช้ประเมินผู้เรียนแล้ว ให้หาข้อดี ข้อควรปรับปรุงแก้ไขในด้านต่างๆ
7.ทบทวนและปรับปรุงเกณฑ์ที่ยังมีข้อบกพร่องหรือพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น
• ข้อดี
1.ช่วยให้การคาดหวังของครู ที่มีต่อผลงานของนักเรียนบรรลุผลสำเร็จได้ โดยนักเรียนเกิดความเข้าใจ สามารถใช้ Rubric ต่อการประเมินและพัฒนาขิ้นงานของตน
2.ช่วยให้ครูเกิดความกระจ่างชัดขึ้นว่าให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้หรือพัฒนาการอะไรบ้าง
3.ช่วยให้นักเรียนสามารถระบุคุณลักษณะจากงานที่เป็นตัวอย่าง Rubric ตรวจสอบ
4.ช่วยในการให้เหตุผลประกอบการให้เกรดนักเรียน
5.ช่วยเพิ่มคุณภาพนักเรียน
• ข้อจำกัด
1.บางครั้งดารให้คะแนนอาจมากความรู้สึกของผู้ให้คะแนน
2.คะแนนเกิดความลำเอียง
3.อาจเกิดข้อผิดพลาดในการรวบรวมคะแนน
การสอบถามและการรายงานตน
•การสอบถาม หมายถึง การแสวงหาข้อมูลหรือความรู้เกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการถามคำถาม การทำวิจัย หรือการตรวจสอบหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง เพื่อให้ได้มาซึ่งความเข้าใจที่ดีขึ้นหรือค้นหาคำตอบ อาจเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการก็ได้
•การรายงานตน เป็นวิธีการรวบรวมข้อมูลที่บุคคลให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง ประสบการณ์ ความคิด หรือพฤติกรรม ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่รายงาน มักใช้ในการวิจัย สำรวจ หรือการประเมินทางจิตวิทยาเพื่อรวบรวมข้อมูลโดยตรงจากบุคคล
•ประเภท
1.แบบสอบถามเชิงพรรณนา คือ แบบสอบถามที่เป็นการศึกษาค้นคว้าหาข้อเท็จจริงที่ปรากฏมีอยู่ของข้อมูลชุดหนึ่ง เพื่ออธิบายลักษณะ หรือสภาพของข้อมูลชุดนั้นว่าเป็นอย่างไร ผ่านการใช้คำถามปลายปิด
2.แบบสอบถามเชิงวิเคราะห์ คือ แบบสอบถามที่นำข้อสรุปจากข้อมูลจำนวนหนึ่ง ซึ่งมักไม่ใช้สถิติในการวิเคราะห์ เป็นเหมือนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ที่ผู้วิจัยมีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ไม่ใช่ตัวเลข หรือข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยข้อมูลที่ได้หากจะนำมาปรับใช้กับการทำวิจัยหรือการธุรกิจ ต้องมีการวิเคราะห์หาข้อสรุปและข้อเท็จจริงก่อนนำไปใช้
•เครื่องมือ
1.แบบสำรวจ เป็นเครื่องมือยอดนิยมในการรวบรวมข้อมูลโดยถามชุดคำถามชุดหนึ่งจากผู้ตอบ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ อีเมล หรือแบบฟอร์มกระดาษ
2.แบบสอบถาม เป็นชุดคำถามที่มีโครงสร้าง ซึ่งใช้ในการการรวบข้อมูลเกี่ยวกับหัวข้อเฉพาะหรือวัดตัวแปรเฉพาะ สามารถจัดการด้วยตนเองหรือโดยผู้สัมภาษณ์
3.แบบมาตราส่วนประมาณค่า เป็นแบบที่ให้เลือกตอบตามน้ำหนักความสำคัญเปรียบเทียบกัน มุ่งให้ผู้ตอบประเมินข้อความที่ระบุไว้ออกเป็นระดับมาตราส่วนประมาณค่า
4.แบบจัดอันดับความสำคัญ เป็นแบบที่ให้ผู้ตอบเลือกเรียงลำดับความสำคัญ จากมากไปหาน้อย หรือจากน้อยไปหามาก ขึ้นอยู่กับความรู้สึกหรอความคิดเห็นของผู้ต
• ข้อดี
1.ผู้ตอบมีเวลาไตร่ตรองและสามารถย้อนกลับมาตอบคำถามช่วงต้นๆ ที่ไม่เข้าใจหรือยังคิดไม่ออกในตอนแรก
2.สามารถจัดส่งแบบสอบถามทางไปรษณีย์ ซึ่งประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
3.ถ้าข้อคำถามชัดเจน ไม่กำกวม ทุกคนจะตีความไปในทิศทางเดียวกัน เป็นการวัดมาตรฐานเดียวกัน
4.ผู้ตอบจะมีความเชื่อมั่นว่าคำตอบของตนจะเป็นความลับมากกว่าการสัมภาษณ์หรือสังเกต เพราะไม่มีการระบุตัวบุคคลผู้ตอบ
• ข้อจำกัด
1.โดยธรรมชาติของแบบสอบถาม เป็นการเก็บข้อมูลที่ไม่ยืดหยุ่น เจาะลึกในรายละเอียดไม่ได้
2.ข้อจำกัดด้านเวลา ถ้าการตอบแบบสอบถามยาวเกินไป มักจะไม่ค่อยได้รับความร่วมมือจากผู้ตอบ
3.ในกรณีที่ผู้ตอบไม่เข้าใจ เขาจะไม่สื่อสารกลับมาให้ผู้ทำวิจัยทราบ และจะตอบตามที่เข้าใจ
นางสาวฟารีสาห์ อูมา สาขาวิชาภาษาไทย ชั้นปีที่ 2 รหัส 024