Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ทฤษฎีพัฒนาการบุคลิคภาพและจริยธรรม - Coggle Diagram
ทฤษฎีพัฒนาการบุคลิคภาพและจริยธรรม
ทฤษฎีพัฒนาการสติปัญญา
ผู้คิดค้นทฤษฎี ฌอง เพียเจต์
ทฤษฎีของเพียเจต์ระบุว่าเราทุกคนต้องพิชิต 4 ขั้นตอนของพัฒนาการทางสติปัญญา
ขั้นที่ 2 ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (อายุ 2 – 7 ปี)เรายังคงถูกจัดประเภทตามสัญลักษณ์และความคิดโดยสัญชาตญาณอยู่ เรายังคงมีจินตนาการที่เปี่ยมล้นและเชื่อว่าวัตถุต่าง ๆนั้นมีชีวิตเพราะยังไม่สามารถแยกแยะอะไรที่เฉพาะเจาะจงได้
ขั้นที่ 3 ขั้นปฏิบัติการคิดแบบเป็นรูปธรรม (อายุ 7 – 11 ปี)ค้นพบเหตุผลเชิงตรรกะและเริ่มพัฒนาความคิดแบบเป็นรูปธรรมขึ้นมาแล้ว เช่น การเรียงวัตถุในลำดับที่แน่นอน ตัวอย่างหนึ่งก็คือการใช้เหตุผลแบบอุปนัย
ขั้นที่ 1 ประสาทการรับรู้และการเคลื่อนไหว (อายุ 0 – 2 ปี)ราพัฒนาประสาทสัมผัสทั้ง 5 ผ่านเมื่ออายุถึง 4 เดือนเราก็จะเริ่มรับรู้สิ่งรอบตัวนอกเหนือจากร่างกายของตัวเองมากขึ้น และเมื่อโตขึ้นก็จะเริ่มเรียนรู้การตั้งใจทำบางสิ่งบางอย่างด้วยตัวเอง
ขั้นที่ 4 ขั้นปฏิบัติการคิดแบบเป็นนามธรรม (อายุ 12 ปีขึ้นไป)โตขึ้นเป็นวัยรุ่นเราจะเริ่มคิดแบบเป็นนามธรรมได้แล้ว เราสามารถคิดอย่างมีเหตุผลมากขึ้นเกี่ยวกับแนวความคิดที่เป็นนามธรรมและเหตุการณ์แนวสมมติได้
ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก
ผู้คิดค้นทฤษฎี โคลเบิร์ก
ได้ศึกษาวิจัยพัฒนาการทางจริยธรรมตามแนวทฤษฎีของพีอาเจต์ แต่โคลเบิรก์ได้ปรับปรุงวิธีวิจัย
โคลเบิร์ก ได้ศึกษาการใช้เหตุผลเชิงจริยธรรมของเยาวชนอเมริกัน อายุ 10 -16 ปี และได้แบ่งพัฒนาการทางจริยธรรมออกเป็น 3 ระดับแต่ละระดับแบ่งออกเป็น 2 ขั้น (Stages) ดังนั้น พัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์กมีทั้งหมด 6 ขั้น
ระดับที่ 2
ระดับจริยธรรมตามกฎเกณฑ์สังคมพัฒนาการจริยธรรมระดับนี้ ผู้ทำถือว่าการประพฤติตนตามความคาดหวังของผู้ปกครอง บิดามารดา กลุ่มที่ตนเป็นสมาชิกหรือของชาติ เป็นสิ่งที่ควรจะทำหรือทำความผิด
ระดับที่ 3
ระดับจริยธรรมตามหลักการด้วยวิจารณญาณ หรือระดับเหนือกฎเกณฑ์สังคม พัฒนาการทางจริยธรรมระดับนี้ เป็นหลักจริยธรรมของผู้มีอายุ 20 ปี ขึ้นไป ผู้ทำหรือผู้แสดงพฤติกรรมได้พยายามที่จะตีความหมายของหลักการและมาตรฐานทางจริยธรรมด้วยวิจารณญาณ ก่อนที่จะยึดถือเป็นหลักของความประพฤติที่จะปฏิบัติตาม การตัดสินใจ “ถูก” “ผิด” “ไม่ควร” มาจากวิจารณญาณของตนเอง
ระดับที่ 1
ระดับก่อนมีจริยธรรมหรือระดับก่อนกฎเกณฑ์สังคมระดับนี้เด็กจะรับกฎเกณฑ์และข้อกำหนดของพฤติกรรมที่ “ดี” “ไม่ดี” จากผู้มีอำนาจเหนือตน เช่น บิดามารดา ครูหรือเด็กโต และมักจะคิดถึงผลตามที่จะนำรางวัลหรือการลงโทษ
ขั้นที่ 4
กฎและระเบียบะใช้หลักทำตามหน้าที่ของสังคม โดยปฏิบัติตามระเบียบของสังคมอย่างเคร่งครัด เรียนรู้การเป็นหน่วยหนึ่งของสังคม ปฏิบัติตามหน้าที่ของสังคมเพื่อดำรงไว้ซึ่งกฎเกณฑ์ในสังคม พบในอายุ 13 -16 ปี
ขั้นที่ 5
สัญญาสังคมหรือหลักการทำตามคำมั่นสัญญาบุคคลจะมีเหตุผลในการเลือกกระทำโดยคำนึงถึงประโยชน์ของคนหมู่มาก ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น สามารถควบคุมตนเองได้ เคารพการตัดสินใจที่จะกระทำด้วยตนเอง ไม่ถูกควบคุมจากบุคคลอื่น มีพฤติกรรมที่ถูกต้องตามค่านิยมของตนและมาตรฐานของสังคม
ขั้นที่ 6
หลักการคุณธรรมสากลเป็นขั้นที่เลือกตัดสินใจที่จะกระทำโดยยอมรับความคิดที่เป็นสากลของผู้เจริญแล้ว ขั้นนี้แสดงพฤติกรรมเพื่อทำตามหลักการคุณธรรมสากล โดยคำนึงความถูกต้องยุติธรรมยอมรับในคุณค่าของความเป็นมนุษย์ มีอุดมคติและคุณธรรมประจำใจ มีความยืดหยุ่นและยึดหลักจริยธรรมของตนอย่างมีสติ ด้วยความยุติธรรม และคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน
ขั้นที่ 1
การถูกลงโทษและการเชื่อฟังเด็กจะยอมทำตามคำสั่งผู้มีอำนาจเหนือตนโดยไม่มีเงื่อนไขเพื่อไม่ให้ตนถูกลงโทษ ขั้นนี้แสดงพฤติกรรมเพื่อหลบหลีกการถูกลงโทษ เพราะกลัวความเจ็บปวด
ขั้นที่ 2
กฎเกณฑ์เป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ของตนใช้หลักการแสวงหารางวัลและการแลกเปลี่ยน บุคคลจะเลือกทำตามความพอใจตนของตนเอง โดยให้ความสำคัญของการได้รับรางวัลตอบแทน
ขั้นที่ 3
ความคาดหวังและการยอมรับในสังคม สำหรับ “เด็กดี” บุคคลจะใช้หลักทำตามที่ผู้อื่นเห็นชอบ ใช้เหตุผลเลือกทำในสิ่งที่กลุ่มยอมรับโดยเฉพาะเพื่อน เพื่อเป็นที่ชื่นชอบและยอมรับของเพื่อน ไม่เป็นตัวของตัวเอง คล้อยตามการชักจูงของผู้อื่น
ทฤษฎีพัฒนาการของฮาวิกเฮอร์สท
ผู้คิดค้นทฤษฎี ศาสตราจารย์โรเบิร์ต ฮาวิกเฮอร์สท
ได้รับอิทธิพลจากแนวความคิดเกี่ยวกับลักษณะของพัฒนาการในแต่ละช่วงวัยของอิริคสัน
ฮาวิกเฮอร์สทได้เสนอว่า งานตามขั้นพัฒนาการมีประโยชน์ต่อการจัดการศึกษาอยู่ 2 ประการ คือ
ช่วยให้สามารถตั้งวัตถุประสงค์ในการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน ทำอย่างไรโรงเรียนถึงจะสามารถให้นักเรียนแต่ละคนบรรลุงานในแต่ละวันได้
2.ช่วยให้จัดการเรียนการสอนได้เหมาะสมตามความต้องการ ทราบว่า เมื่อไหร่ถึงจะสอนได้ ไม่ต้องเสียเวลาสอนในสิ่งที่เด็กยังไม่พร้อม ยังเรียนไม่ได้
ฮาวิกเฮอร์สท ได้แบ่งพัฒนาการของมนุษย์ไว้เป็น 6 ช่วงอายุ คือ
วัยรุ่น (12-18 ปี)รู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเองได้สามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นในสังคมได้มีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคมได้
วัยผู้ใหญ่ตอนต้น ( 18-35 ปี)มีการเลือกคู่ครองรู้จักจัดการภารกิจในครอบครัว
วัยเด็กตอนกลาง ( 6-12 ปี )เรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากันได้กับเพื่อนรุ่นเดียวกัน
สามารถช่วยตนเองได้พัฒนาทักษะพื้นฐานในการอ่าน เขียน และคำนวณ เป็นต้น
วัยกลางคน (35-60 ปี)รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์เรียนรู้ที่จะยอมรับและปรับตัวให้เข้ากับสภาพการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
วัยเด็กเล็ก-วัยเด็กตอนต้น (แรกเกิด- 6 ปี)เรียนรู้ที่จะเดินเรียนรู้ที่จะรับประทานเรียนรู้ที่จะสร้างความผูกพันตนเองกับพ่อแม่ เป็นต้น
วัยชรา (อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป)สามารถรับตัวได้กับสภาพร่างกายที่เสื่อมถอยลง ปรับตัวได้กับการที่ต้องเกษียณอายุตลอดจนเงินเดือนลดลง
ทฤษฎีพัฒนาการทางบุคลิกภาพของซิกมันต์ ฟรอยด์
ผู้คิดค้นทฤษฎี ซิกมัน ฟรอยด์
นักจิตวิทยาแบบจิตวิเคราะห์ คิดค้นทฤษฏีจิตวิเคราะห์กล่าวว่า บุคลิกภาพประกอบด้วย จิตของมนุษย์มีโครงสร้างของจิตเป็น 3 ส่วน Id, Ego and Super Ego เป็นพลังผลักดันให้บุคคลมีพฤติกรรมต่าง ๆ
2.อีโก้ (Ego)เป็นระดับจิตสำนึกบางส่วน ทำหน้าที่ตามหลักการแห่งความจริง (Reality Principle)
Ego เป็นส่วนที่มีความสำคัญของบุคลิกภาพ ทำหน้าที่ตัดสินให้สัญชาติญาณเกิดความรู้สึกพอใจเมื่อใด และอย่างไร ไม่เหมือนกับ Id คือ Ego มีขีดความสามารถใช้สำหรับพิจารณาตัดสินใจและอาศัยหลักการและความมีเหตุผล
3.ซูเปอร์อีโก (Super ego)
เป็นระดับจิตที่อยู่ในจิตสำนึกเป็นบางส่วน มีหน้าที่ควบคุมการ แสวงหาความสุขของ Id จากแรงกระตุ้น Super ego ยอมให้ Id แสวงหาความสุขภายใต้เงื่อนไขที่แน่นอน Super ego เป็นเรื่องเกี่ยวกับศีลธรรม มโนธรรม สามารถจะบอกได้ว่า การกระทำใดถูกหรือผิดและจะยอมให้แรงกระตุ้นของ Id ได้รับการตอบสนองเป็นความสุข ก็เฉพาะการกระทำที่ถูกต้องทางด้านศีลธรรม มโนธรรม ไม่เหมือนกับ Ego ที่ยินยอมให้ Id กระทำได้
1.อิด (Id)หมายความถึง ความปรารถนาเป็นต้นกำลัง และแหล่งรวมพลังงาน ที่มีพลังต่อบุคลิกภาพ Id
Id เป็นระดับจิตใต้สำนึกและทำงานตามหลักการแห่งความสุข (Principle of Pleasure) คือ มีความปรารถนาที่เกิดขึ้นในทันทีทันใดเพื่อให้เกิดความพึงพอใจทั้งหมด Id แสวงหาแนวทางเพื่อให้มนุษย์ได้รับความสุข หลีกเลี่ยงความเจ็บป่วยและความเครียดและทำให้เกิดความยินดี
ทฤษฎีจิตสังคมของ Erik Erikson
ผู้คิดค้นทฤษฎี Erik Erikson
Erik Erikson ได้ตั้งทฤษฎีเกี่ยวกบการพัฒนาทางจิตสังคมจากทารกถึงผู้ใหญ่โดยแบ่งออกเป็น 8 ระยะ
ระยะที่4:
ขยัน กับ ความมีปมด้อยเป็นระยะประมาณระหว่าง 5 ถึง 12 ปี เด็กเรียนรู้ที่จะอ่านเขียน การคำนวณคณิตศาสตร์พื้นฐานและทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง
ระยะที่5:
เข้าใจอัตลักษณ์ของตนเอง กับ ไม่เข้าใจตนเองเป็นช่วงอายุ 12 ถึง18 ปี เด็กในระยะนี้จะหาอัตลักษณ์ตนเองผ่านการค้นหาค่านิยม ความเชื่อและเป้าหมาย เด็กจะมีอิสระมากขึ้น พยายามที่จะหาอาชีพในอนาคต ความสัมพันธ์ ครอบครัว บ้าน
ระยะที่3:
ความคิดริเริ่ม กับ ความรู้สึกผิดเป็นระยะที่เด็กแสดงตัวตนมากขึ้น มีชีวิตชีวาและมีการพัฒนาชีวิตที่รวดเร็ว ซึ่งผู้ปกครองอาจมองว่าดื้อด้านได้ ช่วงนี้จะเกี่ยวข้องกับการสื่อสารกับผู้อื่นในโรงเรียนเป็นสำคัญ โดยเฉพาะการเล่น
ระยะที่6:
ความใกล้ชิดสนิทสนม กับ ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวเป็นช่วงอายุ 18 ถึง 40 จะเกี่ยวข้องกับการสร้างความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้อื่น โดนค้นหาความสัมพันธ์ระยะยาวกับผู้อื่นที่ไม่ใช่ครอบครัว
ระยะที่2:
ความเป็นอิสระกับความละอายและสงสัยเป็นระยะ 18 เดือน ถึงประมาณ 3 ปี เป็นระยะที่เด็กร่ากายขยับได้มากขึ้น และมีทักษะความสามารถเพิ่มขึ้น เด็กจะให้ความสนใจกับการได้ควบคุมชีวิตตนเองมากกว่าทักษะทางกายภาพและความเป็นอิสระ
ระยะที่7:
ความเป็นส่วนรวม กับ ความคิดถึงแต่ตนเองช่วงอายุ 40 ถึง 65 ปี จะต้องการดูแลผู้อื่น มักจะป็นรูปแบบการสั่งสอน หรือ สร้างการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีที่จะเกิดผลประโยชน์ต่อผู้อื่น เป็นการตอบแทนสังคม อาจด้วยการเลี้ยงดูลูก ขยันในงานและทำงานสังคม หรือ องค์กรต่าง ๆ
ระยะที่1:
ไว้วางใจ และ ไม่ไว้วางใจ เป็นระยะเริ่มตั้งแต่เกิดถึงอายุประมาณ 18 เดือน ทารกรู้สึกกังวลกับโลก และต้องการหาผู้ปกครองเพื่อความมั่นคงและการดูแล
ระยะที่8:
ความมั่นคงทางจิตใจ กับ ความสิ้นหวังเป็นช่วงอายุ 65 ปี ถึง บั้นปลายชีวิต เป็นระยะที่คิดถึงความสำเร็จในชีวิต และเกิดความภูมิใจหากรู้สึกประสบความสำเร็จในชีวิต ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ทำงานลดลง เพื่อค้นหาชีวิตวัยเกษียณ