Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Respiratory Distress Syndrome : RDS, สมาชิกกลุ่ม, อ้างอิง: ยลดา ใจมั่น.…

- - - - O: ทารกมีภาวะหายใจลำบาก เนื่องจากปอดขาดสารลดแรงตึงผิว
      - O: ทารกมีอาการหายใจลำบาก หอบ คราง
      - O: แรกเกิดมีอาการเขียวคล้ำทั้งตัว
    - - อัตราการหายใจอยู่ในช่วง 40-60 ครั้ง/นาที
      - ไม่มีภาวะ Cyanosis ได้แก่ ปลายมือปลายเท้าเขียวคล้ำ
      - O2 saturation อยู่ในช่วง 95-100%
      - ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะพร่องออกซิเจน ได้แก่ หายใจหอบเหนื่อย อ่อนเพลีย
    - - สังเกตและบันทึกอาการหายใจลำบาก ได้แก่ หายใจเร็ว (< 60 ครั้ง/นาที) ปีกจมูกบาน (nasal flaring)
      - ประเมินสภาพร่างกายของทารก ได้แก่ หน้าอกบุ๋ม, หายใจดึงรั้ง (Retraction of Substernal และ Inter Costal) มีเสียงคราง (Expiratory srunt) เขียวคล้ำ เพื่อประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
      - กำหนดเวลาให้กิจกรรมควบคุมอุณหภูมิตู้ 32-34 องศาเซลเซียส เพื่อรักษาอุณหภูมิร่างกายทารกให้อยู่ในระดับปกติ 36.6-37.2 องศาเซลเชียส
      - จัดท่านอนทารก เพื่อให้ช่องทางเดินหายใจโล่ง ดูแลทารกให้ได้รับการเจาะหาแก๊สในเลือดตามแผนการรักษาของแพทย์ ติดตามผลเพื่อประเมินอาการขาดออกซิเจนของทารก
      - ติดตามค่า Oxygen saturation (SaO2) อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินภาวะพร่องออกซิเจนของร่างกาย
    - - เพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและมีการระบายอากาศอย่างเพียงพอ
  - - - O: ผู้ป่วยใส่เครื่องช่วยหายใจแรงดันบวก
      - O: อัตราการเต้นของหัวใจมากกว่า 100 ครั้ง/นาที
    - - ทารกไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ และการใช้ออกซิเจน
    - - สัณญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ ได้แก่ BP = 90/60 mmHg P = 110-160 ครั้ง/นาที RR = 40-60 ครั้ง/นาที O2 saturation 95-100% T = 36.6-37.2 องศาเซลเชียส
      - ไม่พบภาวะแทรกซ้อนจากการใส่เครื่องช่วยหายใจ
    - - ให้การดูแลทารกเพื่อป้องกันภาวะปอดแฟบดูแลดูดเสมหะทุกครั้งที่ประเมินได้ว่าทารกมีเสมหะใช้สายยางดูดเส้มหะ
      - ให้การดูแลทารก เพื่อป้องกันภาวะมีลมในช่องเยื่อหุ้มปอด โดยตรวจสอบความดังของเครื่องช่วยหายใจ
      - ให้มีระดับความดันอยู่ในเกณฑ์ที่ตั้งไว้การบีบ bag เพื่อเพิ่มการระบายอากาศ
      - ให้การดูแลทารก เพื่อป้องกันการเกิดตาบอดจากพิษของออกซิเจน (retinopathy of prematurity) โดยควบคุมระดับความเข้มข้นของออกซิเจนและติดตามผลการตรวจหาค่าแก๊สในเลือด
  - - - O: BT = 35 องศาเซลเซียส
      - O: ผู้ป่วยมีอาการเขียวคล้ำทั้งตัว
    - - ทารกไม่มีภาวะอุณหภูมิต่ำ สามารถดำรงไว้ซึ่งอุณหภูมิของร่างกายเป็นปกติ
    - - อุณหภูมิร่างกายอยู่ในช่วง 36.6-37.2 องศาเซลเซียส
      - ไม่มีภาวะ Cyanosis ได้แก่ ปลายมือปลายเท้าเขียวคล้ำ
    - - วัดและติดตามการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของร่างกายทารก โดยวัดอุณหภูมิกายเมื่อแรกรับทางทวารหนัก นาน 1-2 นาที ถ้าอุณหภูมิกายทารกต่ำกว่า 36 องศาเซลเซียส ต้องวัดทุกชั่วโมง จนกว่าอุณหภูมิร่างกายทารกจะคงที่อยู่ในระดับปกติ ต่อไปวัดทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิร่างกายของทารก
      - บันทึกอุณหภูมิร่างกายทารกลงในแผ่นบันทึกอุณหภูมิทุกครั้ง
      - เตรียมตู้อบ และอุปกรณ์ให้ความอบอุ่นให้พร้อม
      - ตรวจสอบสภาพตู้อบให้ใช้ได้ตลอดเวลา เช่น ปรับอุณหภูมิ ปรอทวัดอุณหภูมิของตู้อบ
      - ปรับอุณหภูมิตู้อบ และอุ่นตู้อบไว้จนกระทั่ง อุณหภูมิคงที่ตามต้องการ จึงนำทารกเข้าตู้อบ โดยปรับอุณหภูมิของตู้อบให้อยู่ในช่วง 32-34 องศาเซลเซียส หรือ 95-97 องศาเซลเซียส เพื่อให้ทารกมีการเผาผลาญ และการใช้ออกซิเจนต่ำสุด (Neutral thermal environment)
      - ตรวจสอบอุณหภูมิห้องเป็นระยะอย่างน้อยทุก 8 ชั่วโมง
  - - - O: ผู้ป่วยมีDTX สูงและต่ำ
    - - ทารกไม่มีภาวะกลูโคสในเลือดไม่คงที่
    - - DTX อยู่ระหว่าง 111-162 mg%
      - ไม่มีอาการของภาวะกลูโคสในเลือดสูงหรือต่ำ เช่น ซึมลง สั่นมาก เป็นต้น
    - - ประเมินอาการที่แสดงถึงภาวะกลูโคสในเลือดสูงและต่ำสังเกตและบันทึกอาการเปลี่ยนแปลงได้แก่ ซึมลง สั่นมาก ชักเกร็ง เมื่อพบความผิดปกติต้องรีบรายงานแพทย์
      - ดูแลทารกให้ได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำ โดยตรวจสอบความถูกต้องทั้งชนิดและจำนวน
      - ดูแลทารกได้รับความอบอุ่นด้วยตู้อบและปรับอุณหภูมิตู้อบ 32-34 องศาเซลเซียส เพื่อให้ทารกมีการเผาผลาญและใช้ออกซิเจนต่ำสุด
  - - - O: อายุครรภ์ก่อนคลอด 25 สัปดาห์
      - O: มีน้ำหนัก 770 กรัม
    - - มีผลตรวจทางห้องปฏิบัติการอยู่ในเกณฑ์ปกติ
        
        Na อยู่ในช่วง 135 -145 mmol / l
        
        K อยู่ในช่วง 3.7 - 5.9 mmol / l
        
        Cl อยู่ในช่วง 96-113 mmol / l
        
        Co2 อยู่ในช่วง
    - - ทารกได้รับสารน้ำและสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
    - - ดูแลทารกให้ได้รับสารน้ำ สารอาหาร ทดแทนทางหลอดเลือดดำ ตามแผนการรักษาของแพทย์
      - สังเกตอาการแสดงของภาวะขาดสารน้ำ และสารอาหาร เช่น ผิวหนังมีความยืดหยุ่น ความตึงตัวไม่ดีเหี่ยวย่นกระหม่อมบุ๋ม
      - 3.ดูแลชั่งน้ำหนักตัวทารกทุกวันเพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัว
      - 4.สังเกตและบันทึกปริมาณสารน้ำ เข้า-ออก จากร่างกายทุก 8 ชั่วโมง หากพบความผิดปกติรายงานแพทย์ทราบ
      - สังเกต Reflex การดูด การกลืน และ bowel sound เพื่อประเมินความพร้อมของทารกในการที่จะรับนม
      - ดูแลให้ทารกได้รับนมทางสายยางตามจำนวน และมื้อตามแผนการรักษาของแพทย์
      - ก่อนให้นมผสมทางสายยางทุกครั้ง ต้องทดสอบให้แน่ใจว่าสายยางอยู่ในกระเพาะอาหารและดูลักษณะ จำนวน Content ในกระเพาะอาหาร และการดูดซึมมี Content มากกว่า 50 %ของนมที่ให้รายงานแพทย์
  - - - ระดับบิลิรูบินในกระแสเลือดปกติ
      - ทารกไม่เกิดภาวะสมองได้รับอันตรายจากระดับบิลิรูบินในกระแสเลือดสูง
    - - O:มีตาตัวเหลืองได้รับการส่องไฟรักษา
    - - 1.เกณฑ์ปกติ ผล MBB อยู่ระหว่าง 8.8-11.6 mg%
      - 2.ไม่มีตาตัวเหลือง และไม่ต้องส่องไฟรักษา
    - - ดูแลให้ทารกได้รับการส่องไฟรักษาอย่างมีประสิทธิภาพโดยปฏิบัติดังนี้ ยกแผงส่องไฟสูงจากตัวทารก 15-20 เซนติมตร ตรวจสอบการทำงานของไฟที่ใช้ส่องให้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอ
      - จัดท่าทารกนอนคว่ำหรือหง่าย พลิกตัวทารกทุก 2 ชั่วโมง สังเกต และบันทึกสัญญาณชีพ โดยเฉพาะอุณหภูมิร่างกายทุก 4 ชั่วโมง
      - สังเกตและบั่นทีกระดับความรู้สึกตัว รวมทั้งอาการทั้งระบบประสาทที่แสดงว่าสมองถูกทำลาย เช่น ซึมลง กล้ามเนื้ออ่อนแรง เกร็ง ชักกระตุก ถ้าพบรีบรายงายแพทย์ทันที
      - ติดตามการตรวจค่า MBB ทุก 12 ชั่วโมง หรือทุกวัน เพื่อประเมินการรักษา
  - - - O: มีการคลอดก่อนกำหนด
      - O: เด็กไม่ได้ อยู่กับพ่อแม่เนื่องจากต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล
    - - มารดามีความรู้ความสารมารถและมีส่วนร่วมในการดูแลบุตรและให้นมบุตรในหอผู้ป่วย
    - - ดูแลให้ทารกได้รับอาหารอย่างพอเหมาะ พักผ่อนอย่างเต็มที่ ไม่รบกวนโดยไม่จำเป็นเพื่อลดการใช้พลังงาน
      - ชั่งน้ำหนักทุกวัน วันละครั้ง วัดรอบศีรษะ รอบอก อาทิตย์ละ 1 ครั้ง
      - กระตุ้นพัฒนาการโดยการสัมผัสทางผิวหนัง การนวดและการอุ้มทรกด้วยความนุ่มนวล พูดคุยกับทารก และจ้องมองสบตากับทารกระหว่างให้การดูแล
      - ส่งเสริมให้บิดา มารดา เข้าเยี่ยมทารก และเปิดโอกาสให้ได้พูดคุยสบตา สัมผัสอุ้มกอดทารกเพื่อเป็นการกระตุ้นพัฒนาการทารกและส่งเสริม สัมพันธภาพกับบิดา มารดา พร้อมทั้งแนะนำวิธีการส่งเสริมพัฒนาการให้แก่ทารก
      - ประสานงานและปรึกษานักกิจกรรมบำบัด เพื่อช่วยกระตุ้นพัฒนาการ ทางด้านการดูดกลืนให้กับทารกพร้อมให้บิดามารดา ได้เรียนรู้และฝึกวิธีกระตุ้นพัฒนาการ ทางด้านการดูดกลืน
    - - ทารกมีการเจริญเติบโตและพัฒนาการปกติ