Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

G2P0P1A0L1 GA 40 wks with Gestational diabetes mellitus type A2 with Labor…

- - - - ข้อมูลสนับสนุน
        
        O: ทารกแรกเกิดยังไม่ถึง 24 ชั่วโมง
        
        O: มีน้ำคร่ำเมือก ในปากคอ จมูก ของทารกในขณะที่คลอดออกมา
        
        O: ทารกไม่สามารถขับ secretion ออกเองได้
    - - A : ทารกแรกเกิดจะไวต่ออุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงทั้งอุณหภูมิที่สูงขึ้น หรือต่ำลง เนื่องจากศูนย์ควบคุมอุณหภูมิร่างกายที่ Hypothalamus, Central nervous system ยังคงเจริญเติบโตไม่เต็มที่ อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับทารกแรก เกิดคือ 32–34 องศาเซลเซียส และการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมินี้ มีอิทธิพลต่อการมีชีวิตอยู่ของทารกด้วยการสูญเสียความร้อนของทารกแรกเกิด เกิดจากผิวหนังบาง ทำให้เส้นเลือดอยู่ชิดกับผิวหนัง พื้นผิวของร่างกายมากเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว มีไขมันใต้ผิวหนังน้อย ซึ่งเป็นฉนวนกันความร้อน ต่อมเหงื่อยังทำหน้าที่ได้ไม่ดี จนกว่าอายุ 4 สัปดาห์ ความสามารถในการผลิตความร้อนโดยไม่ต้องควบคุมยังน้อย เช่น การสั่น การสูญเสียความร้อนของทารกขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อม อากาศ ความชื้น ความกดอากาศ มีการแลกเปลี่ยนความร้อนกับทารกได้ มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ทารกเสี่ยงต่อการสูญเสียความร้อน กลไกลการสร้างความร้อนต่างจากผู้ใหญ่ ทารกไม่สามารถสั่นเพื่อสร้างความร้อนได้ โดยทั่วไปทารกมีการสูญเสียความร้อนได้ 4 ทาง โดยการนำ การพา การแผ่รังสี และการระเหย ในกรณีศึกษานี้ เป็นทารกแรกเกิดทั้งนี้เนื่องจากศูนย์ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายยังทำงานไม่เต็มที่จนกว่าจะถึงวัยผู้ใหญ่ การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมจึงมีผลต่ออุณหภูมิร่างกายเด็ก ทารกเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง และไขมันมีน้อย และมีการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือด เลือดมาเลี้ยงผิวหนังลดลงทำให้อุณหภูมิร่างกายเปลี่ยนแปลงได้ง่ายไม่คงที่ (พรทิพย์ ศิริบูรณ์, 2555)
      - ข้อมูลสนับสนุน
        
        O: ทารกแรกเกิดผิวบาง ไขมันใต้ผิวหนังน้อย
        
        O: ทารกแรกเกิดศูนย์ควบคุมอุณหภูมิร่างกายยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์
    - - ข้อมูลสนับสนุน
        
        O: ทารกแรกเกิดผิวบาง ไขมันใต้ผิวหนังน้อย
        
        O: ทารกแรกเกิดศูนย์ควบคุมอุณหภูมิร่างกายยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์
        
        A: ทารก ศูนย์ควบคุมความร้อนในสมองคือ ไฮโปทาลามัส (hypothalamus) ของทารกยังทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์ พื้นที่ผิวกาย (surface area) มีมากเมื่อ เทียบกับน้ำหนักตัวทำให้สูญเสียความร้อนได้มาก ไขมันใต้ผิวหนัง (brown fat ซึ่งเป็นแหล่งผลิตความร้อนที่สำคัญ ที่อยู่บริเวณสะบักและคอ รอบหลอดลม หลอดอาหาร หัวใจ ต่อมหมวกไต ฯลฯ ของทารกมีจำนวนน้อย ทำให้แหล่งความร้อนลดลง โครงสร้างของผิวหนังไม่สมบูรณ์ ทำให้สูญเสียความร้อนโดยการระเหยได้ง่าย ประกอบกับ ต่อมเหงื่อยังไม่ทำงาน ทำให้ระบายความร้อนไม่ดี รวมถึงกลไกการสร้างความร้อนเพื่อตอบสนองภาวะอุณหภูมิต่ำ (ภารดี ชาวนรินทร์ และคณะ, 2564)
    - - ข้อมูลสนับสนุน
        
        O : ทารกแรกเกิดอายุ 1 วัน
        
        O : ทารกแรกเกิดอายุ 2 วัน
        
        O: สายสะดือทารกแรกเกิดยังไม่แห้ง
        
        O: ทารกแรกเกิดผิวหนังบาง
      - A: ทารกแรกเกิดมี neutrophil storage pool ต่ำกว่าผู้ใหญ่ เมื่อได้รับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายทารกไม่สามารถสร้าง neutrophil และ macrophage ขึ้นใหม่จาก stem cell ได้ จึงทำให้ neutrophil ซึ่งมีน้อยอยู่แล้วถูกใช้หมดไป ยิ่งกว่านั้น neutrophil ของทารกแรกเกิด ยังมีความผิดปกติในเชิงคุณภาพด้วยโดยเฉพาะในขณะเกิดการติดเชื้อหรือภาวะ stress immunoglobulin จากมารดาผ่านทาง placenta หยุดลง ส่วน IgA และ IgM ก็ลดต่ำลงด้วยเนื่องจากผ่าน placenta ได้น้อย ดังนั้นทารกแรกเกิดจึงเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียได้ง่าย (อภิรัช อินทรางกูร ณ อยุธยา, 2555)
    - - ข้อมูลสนับสนุน
        O: ทารกแรกเกิดระยะ 24 ชั่วโมงแรกปัจจัยการแข็งตัวเลือดยังไม่สมบูรณ์
      - A: ภาวะเลือดออกง่าย หมายถึง การมีเลือดออกง่าย เนื่องจากทารกแรกเกิดมีความเสี่ยงสูงต่อการขาดวิตามินเค ซึ่งมีความจำเป็นสำหรับการสร้างปัจจัยการแข็งตัวของเลือด Clotting Factor ซึ่งการมีเลือดออกง่ายเกิดจากมีการผิดปกติในกลไกของการห้ามเลือด ได้แก่ ความผิดปกติของผนังหลอดเลือด ปริมาณและคุณภาพของเกล็ดเลือด ปัจจัยการแข็งตัวของเลือด เป็นต้น ในทารกแรกเกิดระยะ 24 ชั่วโมงแรกจะไม่สามารสร้าง vitamin K ได้เอง จนกว่า จะประมาณ 8 วัน ดังนั้น ทารกต้องได้รับ vitamin K ให้ไปกระตุ้น factor II, VII, XI, X การแข็งตัวของเลือด
    - - ข้อมูลสนับสนุน
        
        O: มารดามีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์
        
        O : ทารกมีการสะสมไกลโคเจนในตับและไขมันใต้ผิวหนังน้อยกว่าปกติ
        
        O : มารดาเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
      - A : ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำพบได้บ่อยในทารกแรกเกิด เนื่องจากขณะอยู่ในครรภ์ระดับน้ำตาลในเลือดของทารกประมาณร้อยละ 70 ถึง 80 ของระดับในมารดาหลังคลอดสายสะดือถูกตัดร่างกายไม่ได้รับน้ำตาลจากมารดา มีผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงภายใน 1-2 ชั่วโมงหลังเกิด แม่ในทารกแรกเกิดปกติพบว่าระดับกลูโคสลดลงจนถึง 30 มก/ลบได้ 1-4 หลังจากนั้นร่างกายจะมีการปรับตัว เพื่อรักษาระดับกลูโคสในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ โดยทั่วไปทารกปกติแข็งแรงดีได้รับน้ำนมหลังเกิดพลาสมากลูโคส 45มก/ลบ ภายใน 24 ชั่วโมงหลังเกิด 3-4 แต่ในบางสภาวะที่มีการเสียสมดุลระหว่างกระบวนการสร้างกลูโคสและการใช้กลูโคสทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะตอบสนองดีหลังให้การรักษาสำหรับทารกที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ มักมีความผิดปกติทางระบบต่อมไร้ท่อ (นันทพร แสนศิริพันธ์ ,2561)
- - - - อาการและอาการแสดง ปัสสาวะมาก หิวบ่อย น้ำหนักลด อ่อนเพลีย
        เหนื่อยง่าย คัน ตามตัว (อาจไม่พบอาการแสดงที่ชัดเจน)
      - ⬆️ ความต้องการอินซูลินเพิ่มขึ้นในระยะตั้งครรภ์
        (การเก็บสะสมกลูโคส และทารกนำไปใช้)
        
        การผลิตอินซูลินในตับอ่อน
        ( beta cell of pancrease)
        
        ⬇️อินซูลิน น้อยลง
        
        ไม่สามารถนำกลูโคสเข้าสู่เซลล์
        เพื่อนำไปใช้ให้พลังงานหรือเก็บสะสม
        
        ปัสสาวะบ่อยรับประทานจุกระหายน้ำ
        
        ⬆️ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น
        
        ⬆️น้ำตาลเพิ่มขึ้น
        
        1 more item...
        
        ⬆️เมแทบอริซึมของไขมันและโปรตีน เพิ่มขึ้น
        
        ⬆️ไตรกลีเซอไรด์และกรดอะมิโน เพิ่มขึ้น
        
        1 more item...
        
        ⬆️คีโตนเพิ่มขึ้น
        
        1 more item...
  - - - 1.1 กลุ่มความเสี่ยงสูง เป็นกลุ่มที่มีลักษณะดังต่อไปนี้ คือ
        1) ดัชนีมวลกายมากกว่า 40 กิโลกรัม/ ตารางเมตร
        2) มีประวัติเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ในครรภ์ก่อน หรือเคยคลอดบุตรมากกว่า 4,000 กรัม
        3) ตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะ
        4) มีประวัติโรคถุงน้ำรังไข่
        5) มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2 เมื่อพบปัจจัยความเสี่ยงสูงเพียง 1 ข้อ ให้มีการตรวจคัดกรองเบาหวานขณะตั้งครรภ์ตั้งแต่ยืนยันได้ว่า ตั้งครรภ์จริง
        1.2 กลุ่มความเสี่ยงปานกลาง เป็นกลุ่มที่ไม่มีปัจจัยที่จัดอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงสูงและกลุ่มความเสี่ยง ต่ำ กลุ่มนี้ควรมีการตรวจคัดกรองเบาหวาน ด้วยการกินน้ำตาล 50 กรัม (50-g glucose challenge test) และตรวจ วินิจฉัยด้วยการกินน้ำตาล 100 กรัม (100-g oral glucose tolerance test) เมื่ออายุครรภ์ 24-28 สัปดาห์
        1.3 กลุ่มความเสี่ยงต่ำ ไม่จำเป็นต้องได้รับการตรวจคัดกรองเบาหวานขณะตั้งครรภ์ คือ
        1) อายุน้อย กว่า 25 ปี
        2) เป็นเชื้อชาติที่มีการเกิดภาวะเบาหวานต่ำ ได้แก่ เชื้อชาติที่ไม่ใช่ชนพื้นเมืองอเมริกา คนอเมริกา ผิวดำ คนอเมริกาเชื้อสายสเปน และคนอเมริกาเชื้อสายเอเชีย
        3) น้ำหนักก่อนตั้งครรภ์อยู่ในเกณฑ์ปกติ
        4) ไม่ มีประวัติญาติสายตรงเป็นเบาหวาน
        5) ไม่มีประวัติความทนต่อกลูโคสผิดปกติ
        6) ไม่มีประวัติการ ตั้งครรภ์ และการคลอดที่ผิดปกติ
    - - หญิงที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์มีโอกาสเป็นเบาหวานในอนาคตมากกว่าหญิงปกติ ควรได้รับการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด หลังคลอด 6-8 สัปดาห์ โดยวิธี 75 g OGTT
        
        ในรายนี้นัดมาตรวจ 75 g OGTT ใน 6 สัปดาห์
  - - - ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ พบได้บ่อยในหญิงตั้งครรภ์ที่ใช้อินซูลินในการรักษามักพบร่วมกับการรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา รับประทานอาหารได้น้อย หรือมีการออกกำลังกายที่มากเกินไป
      - ภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (pregnancyinduced hypertension) พบอุบัติการณ์นี้ได้ร้อยละ 10 - 40 เมื่อเทียบกับหญิงที่ตั้งครรภ์ปกติ
      - ครรภ์แฝดน้ำ (polyhydramios) ภาวะนี้พบได้ร้อยละ 10 - 20 กลไกการเกิดยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าเกิดจากทารกในครรภ์มีภาวะระดับน้ำตาลในเลือดสูง จึงมีการขับถ่ายปัสสาวะมากขึ้น
      - การติดเชื้อ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงของกรด-ด่าง ในช่องคลอด ทำให้เกิดการติดเชื้อในช่องคลอด ได้ง่าย และนอกจากนี้ยังมีในปัสสาวะมาก เป็นอาหารของเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อของระบบ ทางเดินปัสสาวะเพิ่มขึ้นกว่าครรภ์ปกติถึง 3 เท่า ซึ่งการติดเชื้อจะส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์อาจเกิดภาวะ เจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ร่างกายอยู่ในภาวะเป็นกรด เพิ่มโอกาสติดเชื้อของแผลผ่าตัดได้บ่อยกว่าหญิงหลัง คลอดที่ไม่เป็นเบาหวาน
      - การคลอดยาก (dystocia) เป็นผลจากทารกมีขนาดใหญ่ ทำให้เกิดการคลอดยากมีโอกาสไหล่ติดขณะคลอดได้สูง เพิ่มอุบัติการณ์การช่วยคลอดด้วยสูติศาสตร์หัตถการและอัตราผ่าตัดคลอด ทารกได้รับบาดเจ็บขณะคลอด เช่น เกิดอันตรายต่อเส้นประสาทบริเวณแขน เป็นอัมพาตบริเวณใบหน้า เป็นต้น
      - การตกเลือดหลังคลอด เนื่องจากมดลูกยืดขยายมากขณะตั้งครรภ์จากทารกตัวโตหรือครรภ์ แฝดน้ำ ทำให้หลังคลอดการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูกไม่ดีเกิดการตกเลือดหรือการเสียเลือดจากการฉีกขาด ของช่องทางคลอดหรือจากการใช้สูติศาสตร์หัตถการ และในรายที่มีความดันโลหิตสูงที่ได้รับยาแมกนีเซียม หรือในรายที่เจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ที่ได้รับยายับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก อาจส่งผลให้มดลูกหดรัดตัว ไม่ดีหลังคลอด
      - ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เกิดขึ้นในช่วงปลาย ไตรมาสที่สองและไตรมาสที่สามของการตั้งครรภ์ เนื่องจาก เป็นช่วงที่มีการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนและเอนไซม์ที่มีฤทธิ์ ต้านอินซูลิน ผลจากฮอร์โมนและเอนไซม์ดังกล่าวจะทำให้การ ตอบสนองของเนื้อเยื่อต่ออินซูลินลดลงหรือเกิดภาวะดื้ออิน ซูลิน โดยเฉพาะที่เซลล์ไขมันและกล้ามเนื้อ มีผลให้ระดับน้ำตาล ในเลือดสูง (กาญจนา ศรีสวัสดิ์, 2557)
    - - ทารกพิการแต่กำเนิด (congenital malforma-tion) พบได้ร้อยละ 5 - 10 เมื่อเทียบกับการตั้งครรภ์ปกติ
      - ทารกตัวโต คือ ทารกแรกคลอดที่มีขนาดใหญ่ น้ำหนักมากกว่า 4,000 กรัม พบได้ถึงร้อยละ 15 - 45 ในหญิงที่เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
      - ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำในทารกแรกเกิด ในภาวะที่หญิงตั้งครรภ์ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ น้ำตาลจะผ่านรกไปสู่ทารกมากกว่าปกติ ทำให้เบต้าเซลล์ของทารกมีจำนวนมากขึ้นและหลั่งอินซูลินมากขึ้น (fetal hyperinsulinemia) ซึ่งภาวะนี้จะคงอยู่ตลอดการตั้งครรภ์ เป็นผลให้ทารกมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำในช่วงวันแรก ๆ หลังการคลอด ซึ่งในทารกแรกเกิดรายนี้ที่เกิดจากมารดาที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ มีระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ
      - ภาวะบิลิรูบินในเลือดสูงเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยในทารกที่มารดาเป็นโรคเบาหวานสาเหตุสัมพันธ์กับการคลอดก่อนกำหนดและภาวะเลือดข้น ทำให้เกิดการทำลายของเซลล์เม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้น ทารกจึงเกิดอาการตัวเหลือง
      - กลุ่มอาการหายใจลำบากแรกเกิดกลไกการเกิดกลุ่มอาการหายใจลำบากในทารกแรกเกิดยังไม่ทราบแน่ชัดแต่พบว่าทารกที่เกิดจากมารดาที่เป็นโรคเบาหวานมีการหลั่งสารลดแรงตึงผิว (surfactant) ลดลงเมื่ออยู่ในภาวะอินซูลินในเลือดสูง และมีการพัฒนาของปอดทารกช้ากว่าปกติ การดูแลหญิงที่เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (กาญจนา ศรีสวัสดิ์ และอรพินท์ สีขาว, 2557)
      - ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ ทารกที่มารดาเป็นโรคเบาหวาน มักเกิดในช่วง 3 วันแรก ของการคลอดและพบว่ามีความสัมพันธ์กับการคลอดก่อน กำหนด สาเหตุเชื่อว่าเกิดจากต่อมพาราธัยรอยด์ถูกกด (กาญจนา ศรีสวัสดิ์,2557)
      - ภาวะเลือดข้น (Polycythemia) ระดับ Hct เกินร้อยละ 60 เชื่อว่าเกิดจากภาวะเนื้อเยื่อขาดออกซิเจนเรื้อรัง ทำให้มีการสร้างเม็ดเลือดแดงจากตับเพิ่มขึ้น เลือดจึงมีความหนืดสูง (นันทพร แสนศิริพันธ์, 2560)
      - ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (IGUR). มักเกิดในโรคเบาหวานที่มีพยาธิสภาพของหลอดเลือด เช่น Class D ขึ้นไป ทำให้สารอาหารและออกซิเจนเข้าสู่ทารกน้อยลง (นันทพร แสนศิริพันธ์, 2560)
  - - - ประเมินสภาพแรกรับในห้องคลอด โดยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และการติดตามระดับน้ำตาล ในเลือด
        
        ตรวจครรภ์ พร้อมคาดคะเนน้ำหนักทารกในครรภ์อีกครั้งในระยะคลอด หากพบว่าทารกในครรภ์ นํ้าหนักมากกว่า 4,000 กรัม ให้รายงานแพทย์เพื่อพิจารณาน้ำหนักทารกโดยการอัลตราซาวด์
        
        ให้การพยาบาลตามแผนการรักษา เช่น การชักนำการคลอด การเตรียมผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง
        
        ติดตามความก้าวหน้าของการคลอด เพื่อเฝ้าระวังการคลอดล้าช้า และติดตามประเมินภาวะสุขภาพ ของทารกในครรภ์
        
        ดูแลให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษาของแพทย์และติดตามระดับน้ำตาลในเลือด หากระดับน้ำตาลในเลือดสูง ต้องรายงานแพทย์ เพื่อพิจารณาให้ยาอินซูลิน
        
        หากวางแผนคลอดทางช่องคลอด ต้องเตรียมพร้อมในการช่วยเหลือกรณีเกิดการคลอดยาก หรือ การคลอดติดไหล่
    - - ให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาวะเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานหลังคลอด และแนะนำพฤติกรรมที่เหมาะสม ในการเพื่อป้องกันโรคเบาหวานหลังคลอด การรับประทานอาหารและการออกกำลังกายที่เหมาะสม
        
        นัดมาตรวจติดตามระดับน้ำตาลในเลือดหลังคลอด 6 สัปดาห์ โดยการดื่มน้ำตาล 75 กรัม และตรวจ ระดับน้ำตาลในเลือดหลังดื่ม 2 ชั่วโมงหากผลการตรวจปกติ แนะนำให้ทำการตรวจซ้ำทุกๆ 3 ปี (ADA 2016)
        
        แนะนำเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาอย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาล ในเลือดและลดนํ้าหนักมารดาหลังคลอดได้ (Ostbye, et al., 2012)
        
        การวางแผนครอบครัว หากต้องการมีบุตรอีก อธิบายให้ทราบแนวโน้มของการเกิดโรคเบาหวานใน การตั้งครรภ์ต่อไป หากมีบุตรเพียงพอแล้วควรทำหมัน ส่วนวิธีการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวที่เหมาะสมที่สุดคือ การใส่ถุงยางอนามัย ส่วนการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดแนะนำชนิดที่มีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนอย่างเดียว เนื่องจาก ไม่มีผลกระทบต่อการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต สามารถฉีดยาคุมกำเนิดและยาฝังคุมกำเนิดได้ ใส่ห่วงอนามัย คุมกำเนิดได้แต่หลีกเลี่ยงในรายที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อในโพรงมดลูก
    - - ค้นหาปัจจัยเสี่ยง เช่น อายุ ประวัติการเป็นเบาหวานของบุคคลในครอบครัว ค่าดัชนีมวลกาย เป็น ต้น และแนะนำแนวทางในการตรวจคัดกรองเบาหวานขณะตั้งครรภ์
        
        แจ้งผลการคัดกรองเบาหวานให้หญิงตั้งครรภ์ทราบ ทั้งผิดปกติและปกติ ซึ่งถ้าระดับน้ำตาลในเลือด 1 ชั่วโมงหลังดื่มน้ำตาล 50 กรัม เท่ากับ 140 มก./มล. หรือสูงกว่าจะต้องนัดมาตรวจเพื่อวินิจฉัยภาวะเบาหวานขณะ ตั้งครรภ์ ในสัปดาห์ต่อไป
        
        ให้ข้อมูลเกี่ยวการดูแลรักษาและการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดทั้งชนิด เอ วัน และ เอ ทู
        
        ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น นักโภชนบำบัด เพื่อรับคำแนะนำการรับประทานอาหาร ตามหลักโภชนบำบัด พิจารณาอาหารที่รับประทานให้เหมาะสม รับประทานช้าๆ เพื่อรับประทานได้น้อยลง งดดื่ม เครื่องดื่มที่มีนํ้าตาล
        
        แนะนำการเจาะระดับน้ำตาลในเลือดจากปลายนิ้วด้วยตนเอง เพื่อติดตามระดับน้ำตาลในเลือดก่อน รับประทานอาหารและหลังรับประทานอาหาร 2 ชั่วโมง พร้อมแนะนำการใช้เครื่องตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ชนิดต่างๆ
        
        ให้คำแนะนำหญิงตั้งครรภ์ในการตรวจประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ โดยอัลตราซาวด์หรือเครื่องตรวจ อิเล็กทรอนิกส์ (Non-stress test) สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ตั้งแต่อายุครรภ์ 32 สัปดาห์ขึ้นไป
        
        ให้คำแนะนำในการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนหรือผลกระทบ เช่น ความดันโลหิตสูง ภาวะน้ำคร่ำ มากกว่าปกติ เจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ทารกในครรภ์ดิ้นน้อย หรือเสียชีวิตในครรภ์ เป็นต้น
        
        ให้คำแนะนำในการวางแผนเตรียมคลอดตามแผนการรักษาของแพทย์โดยให้สมาชิกในครอบครัว เข้ามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เช่น หากควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ แนะนำให้รอคลอดเมื่ออายุครรภ์ครบ
    - - การควบคุมอาหาร หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับพลังงานในแต่ละวันเฉลี่ยวันละ 1,800-2,000 กิโลแคลอรี โดย ได้แคลอรีจากคาร์โบไฮเดรตร้อยละ 50-55 ไขมันร้อยละ 25-30 โปรตีนร้อยละ 20 โดยมีหลักการในการรับประทาน อาหาร ดังนี้
        
        1.1 การแบ่งมื้ออาหารเป็น 3 มื้อหลัก และควรมีอาหารว่าง 3 มื้อ และหญิงตั้งครรภ์ที่ต้องฉีดอินซูลิน จะต้องรับประทานอาหารให้ตรงเวลา และมีปริมาณที่คงที่ ปริมาณพลังงานที่ต้องได้รับแต่ละวัน คือ 1,800-2,000 แคลอรี/วัน ปริมาณของอาหารมื้อเช้าควรให้เพียงร้อยละ 10 ของปริมาณอาหารที่ต้องการในแต่ละวัน และมื้อเที่ยง มื้อเย็น อาหารระหว่างมื้อ แบ่งเป็นร้อยละ 30
        
        1.2 การเลือกอาหารสำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวาน (พัทธนันท์ ศรีม่วง, 2555) ได้แก่
        
        1.3 งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพราะแอลกอฮอล์ ทำให้ตับลดการสร้างกลูโคสและไกลโคเจนทำให้เกิด ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
      - การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และวิธีที่เหมาะสม โดยการออกกำลังกายที่เน้นกล้ามเนื้อส่วนบน จะสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้หลังออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 4 สัปดาห์ อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ อย่าง น้อย 30 นาทีต่อครั้ง โดยใช้ความแรงระดับปานกลาง
      - การควบคุมโดยใช้อินซูลิน ซึ่งอินซูลินที่ใช้ในหญิงตั้งครรภ์ เป็นอินซูลินสังเคราะห์จากแบคทีเรียมี โครงสร้างคล้ายกับอินซูลินของคน ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงคนที่ไม่เป็นเบาหวานมากที่สุด ซึ่ง ความต้องการอินซูลินในแต่ละไตรมาสของหญิงตั้งครรภ์จะไม่เท่ากัน ไตรมาสแรกความต้องการอินซูลินจะน้อย และจะเริ่มมีความต้องการอินซูลินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่อายุครรภ์ 15 สัปดาห์ จนถึง 35 สัปดาห์ ซึ่งการฉีด อินซูลินควรฉีดก่อนอาหารประมาณครึ่งชั่วโมงเนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาในการดูดซึม หลังฉีดอินซูลินต้องเฝ้า ระวังภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ทำให้หญิงตั้งครรภ์มีอาการ หน้ามืด เวียนศีรษะ ใจสั่น หัวใจเต้นเร็วแรง สามารถ แก้ไขโดยการดื่มน้ำหวาน รับประทานผลไม่รสหวานหรือลูกอมทันที
      - การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ควรตรวจอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ซึ่งหญิงตั้งครรภ์สามารถตรวจได้ด้วย ตัวเองที่บ้านจากการเจาะเลือดตรวจจากปลายนิ้ว หรือมารับการตรวจที่โรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพตำบลใกล้บ้าน