Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคเบาจืด DI (Diabetes Insipidus), (สมาชิกกลุ่ม 5 คน, 1.นางสาวณภาดา…
โรคเบาจืด DI (Diabetes Insipidus)
สาเหตุที่พบมากที่สุด มาจากความผิดปกติของสมองส่วนต่อมใต้สมอง อาจจะมาจากการติดเชื้อ การผ่าตัด หรือการบาดเจ็บที่ศีรษะ จนทำให้ไม่สามารถสร้างฮอร์โมนที่ควบคุมการปัสสาวะเหมือนคนทั่วไปได้ หรืออาจจะมาจากความผิดปกติของไต ที่ไม่สามารถดูดซึมน้ำกลับเข้าร่างกายในระดับที่สมดุลได้ รวมถึงสภาวะทางจิต และผลข้างเคียงจากการใช้ยารักษา
อาการและอาการแสดง
อาการหลัก คือ ปัสสาวะปริมาณมากและบ่อย รวมจนถึงกระหายน้ำมากผิดปกติ เป็นเหตุให้เกิดภาวะอื่นๆ ตามมา เช่น
อ่อนเพลีย จากการเสียเกลือแร่เมื่อปัสสาวะ และขาดการพักผ่อนอย่างเพียงพอ เพราะอาจต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะระหว่างนอนหลับ
ปัสสาวะรดที่นอน เนื่องจากปวดปัสสาวะบ่อยและมีปริมาณมากจนอาจกลั้นไม่อยู่ขณะหลับ
ภาวะขาดน้ำ เพราะเสียน้ำมาก สังเกตได้จากผิวแห้ง ปากคอแห้ง วิงเวียนศีรษะ อาจมีภาวะความดันโลหิตต่ำ และหัวใจเต้นเร็วด้วย
ขาดสมดุลจากเกลือแร่ มักจะทำให้วิงเวียน กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นตะคริว ปวดกล้ามเนื้อ และปวดศีรษะบ่อยๆ
การรักษา
แม้จะไม่รุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต แต่จากอาการที่กล่าวไว้ข้างต้นก็มีส่วนที่กระทบต่อการดำเนินชีวิตอยู่ไม่น้อย หากใครที่มีอาการใกล้เคียงภาวะของโรค ก็ควรเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและทำการรักษาตามสาเหตุของการเกิดโรค ซึ่งการรักษานั้นจะแตกต่างตามปัจจัยการเกิดโรค
หากเกิดจากสมองทำงานผิดปกติ ก็รักษาจากต้นเหตุที่ทำให้สมองทำงานไม่ปกติ เช่น การรักษาเนื้องอก เยื่อหุ้มสมองอักเสบ มะเร็งสมอง
หากเกิดจากฮอร์โมนในร่างกายบกพร่อง ก็มีทั้งยากิน ฉีด และพ่นจมูก เพื่อเพิ่มฮอร์โมนดังกล่าวไว้ควบคุมการทำงานของร่างกายให้เป็นปกติ
กรณีเป็นโรคเบาจืดที่เกิดจากการกระหายน้ำมากๆ ทั้งที่ร่างกายได้รับน้ำเพียงพอแล้ว รักษาโดยจำกัดน้ำดื่มร่วมกับการรักษาทางจิตเวช
หากเกิดจากผลข้างเคียงจากยาที่ใช้จากโรคอื่น สามารถเปลี่ยนยา หยุดยา และหาวิธีทดแทนการรักษาโรคนั้น
เบาจืด (Diabetes Insipidus) คือโรคที่ร่างกายสูญเสียความสมดุลของน้ำ ซึ่งเกิดขึ้นได้น้อยในคนทั่วไป โดยมีผลมาจากความผิดปกติของฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก (Antidiuretic Hormone) ซึ่งก่อให้เกิดอาการกระหายน้ำอย่างรุนแรงแม้จะดื่มน้ำเข้าไปแล้วก็ตาม ส่งผลให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมากผิดปกติ และปัสสาวะออกมามากกว่าที่ควรจะเป็น ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงอาจถึงขั้นปัสสาวะมากถึงวันละ 20 ลิตรได้
อธิบาย
โรคเบาจืดแบ่งออกเป็น 4 ชนิด ได้แก่
โรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง (Cranial Diabetes Insipidus) เป็นชนิดของโรคเบาจืดที่พบได้บ่อยที่สุด ซึ่งเกิดจากความเสียหายของต่อมใต้สมอง หรือสมองส่วนไฮโปทาลามัส มีหลายสาเหตุ เช่น ผลพวงจากการติดเชื้อที่สมอง การผ่าตัด เนื้องอกที่สมอง หรือการบาดเจ็บที่ศีรษะ จนทำให้สมองส่วนไฮโปทาลามัสไม่สามารถสร้างฮอร์โมนที่ควบคุมการปัสสาวะได้
โรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของไต (Nephrogenic Diabetes Insipidus) เป็นโรคที่เกิดจากระบบการทำงานของไตไม่สามารถตอบสนองต่อฮอร์โมนแอนติไดยูเรติกได้ โดยเป็นผลจากความเสียหายของไต หรือการใช้ยาบางชนิด เช่น ลิเทียม ซึ่งเป็นยาที่ใช้ในผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพจิต เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีโรคเบาจืดอีก 2 ชนิดที่พบได้น้อย ได้แก่ โรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของกลไกควบคุมการกระหายน้ำ (Dipsogenic Diabetes Insipidus) ซึ่งเกิดจากความผิดปกตของกลไกการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการกระหายน้ำภายในสมอง และโรคเบาจืดที่เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes Insipidus)
เนื่องจากโรคเบาจืดเป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากฮอร์โมนภายในร่างกาย จึงไม่สามารถป้องกันได้ร้อยเปอร์เซนต์ แต่ก็สามารถลดความเสี่ยงโรคเบาจืดได้ ด้วยการป้องกันสาเหตุที่อาจส่งผลให้สมองทำงานผิดปกติและกระทบต่อการผลิตฮอร์โมนที่เกี่ยวข้อง เช่น การหลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนที่ศีรษะ และหลีกเลี่ยงการใช้ยาโดยไม่จำเป็น หรือรับประทานยาโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ นอกจากนี้หากพบว่ามีอาการผิดปกติต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับศีรษะและสมอง หรือมีอาการอื่น ๆ เช่น ปัสสาวะบ่อยและมากผิดปกติ หรือกระหายน้ำตลอดเวลาก็ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจอย่างละเอียด หากพบว่ามีอาการที่อาจส่งผลให้เกิดโรคเบาจืดจะได้รักษาได้อย่างทันท่วงที
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
1.เสี่ยงต่อเกิดภาวะ hypovolemia
2.เสี่ยงต่อเกิดภาวะ hypernatraemia
การพยาบาล
รับประทานยาหรือใช้ยาควบคุมการหลั่ง ADH ตามแผนการรักษา
ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอไม่มากไปหรือน้อยไปและพกไว้ติดตัวอยู่เสมอ
3.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเต็มจัดเพราะร่างกายจะขับเกลือออกทางไตและออกน้อย2-3ชั่วโมง เพื่อช่วยลดจำนวนครั้งในการตื่นมาปัสสาวะมากับปัสสาวะเป็นเหตุให้ร่างกายถูกดึงน้ำออกไปมาก
4.พักผ่อนให้เพียงพอด้วยการดื่มน้ำให้น้อยลงหรืองดดื่มน้ำก่อนเข้านอนอย่าง
5.รับประทานผักผลไม้ให้มาก ๆ เพื่อให้ร่างกายได้เกลือแร่ที่เพียงพอ
•การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
-การตรวจปัสสาวะ
-ค่าฮอร์โมนเอดีเอช
-ค่าน้ำตาลในเลือด
-ค่าเกลือแร่ต่างๆ
-ค่าความถ่วงจำเพาะในปัสสาวะ<1.010
•การตรวจพิเศษ
-การตรวจเลือดและปัสสาวะในภาวะอดน้ำ
-ฉีดฮอร์โมนเอดีเอช
-ตรวจสมองด้วยการถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
-เอกซเรย์คอมพิวเตอร์
ข้อแนะนำ
อาการปัสสาวะบ่อยและกระหายน้ำบ่อย มักมีสาเหตุมาจากโรคเบาหวานเป็นส่วนใหญ่ ส่วนน้อยมากที่มีสาเหตุจากโรคเบาจืด การแยกโรคทั้ง 2 นี้ในเบื้องต้นสามารถกระทำโดยการตรวจปัสสาวะ ซึ่งจะพบลักษณะจำเพาะของแต่ละโรค กล่าวคือ เบาหวานจะพบระดับน้ำตาลในปัสสาวะ (ตรวจเลือดจะพบระดับน้ำตาลในเลือดสูง) ส่วนเบาจืดจะตรวจไม่พบน้ำตาลในปัสสาวะ และปัสสาวะจะมีความถ่วงจำเพาะระหว่าง 1.001-1.005 (คนปกติทั่วไปจะมีความถ่วงจำเพาะมากกว่า 1.015)
ผู้ที่เป็นโรคทางจิต เช่น จิตเภท (schizophrenia) หรือผู้ที่มีความผิดปกติของกลไกควบคุมการกระหายน้ำ (thirst-regulating mechanism) ในสมองส่วนไฮโพทาลามัส ก็อาจทำให้มีอาการดื่มน้ำมากผิดปกติ เกิดอาการปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย และปัสสาวะมีความถ่วงจำเพาะต่ำคล้ายโรคเบาจืดได้
สมาชิกกลุ่ม 5 คน
1.นางสาวณภาดา คุ้มวงศ์ 6501110800018
2.นางสาวพุทธรักษา กิ่งภูเขา 6501110800041
3.นางสาวมณฑิรา สีมูล 6501110800045
4.นายโชคชัย อ่อนคำหล้า 6501110800070
5.นางสาวกัลยารัตน์ เศรษฐีสำราญ 6501110800095
อธิบาย
สาเหตุ
การตรวจพิเศษ
การป้องกันโรคเบาจืด