Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
"ภาษา" จิรัฏฐ์ เวียงเจริญ ๖๐๑/๖ - Coggle Diagram
"ภาษา"
จิรัฏฐ์ เวียงเจริญ ๖๐๑/๖
ธรรมชาติของภาษา
“ภาษา”
มาจากคํากริยาในภาษาสันสกฤตว่า “ภาษ” แปลว่า พูด, กล่าว ใช้เป็นคํานาม แปลว่า คําพูด
ประเภทของภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร
๑. วัจนภาษา หมายถึง ภาษาที่ใช้ถ้อยคํา
๒. อวัจนภาษา หมายถึง ภาษาที่ไม่ใช้ถ้อยคํา
เช่น การแสดงออกทางใบหน้า น้ำเสียง ท่าทาง เป็นต้น
ลักษณะทั่วไปของภาษา
๑. ภาษาใช้เสียงสื่อความหมาย
๒. หน่วยในภาษาประกอบกันเป็นหน่วยที่ใหญ่ขึ้น
๓. ภาษามีการเปลี่ยนแปลง
๓.๑ การเปลี่ยนแปลงจากธรรมชาติของการออกเสียง
การสับเสียง เช่น ตะกรุด – กะตุด
การกร่อนเสียง เช่น ลูกอ่อน – ละอ่อน
การตัดเสียง เช่น อุโบสถ – โบสถ์
การกลายเสียง เช่น สะพาน – ตะพาน
การกลืนเสียง เช่น อย่างนั้น – ยังงั้น
๓.๒ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากอิทธิพลภายนอก มีลักษณะดังนี้ :
การยืมคํา เช่น ฟุตบอล
การใช้คําและสํานวนที่ต่างไปจากเดิม เช่น เมิล – ดู, กะลาสี – พวกลูกเรือ
๓.๓ การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม
๓.๔ ภาษาต่างๆ มีลักษณะที่ต่างและคล้ายกัน เช่น
-ภาษาแต่ละภาษาใช้เสียงสื่อความหมาย
-ภาษาแต่ละภาษามีชนิดคําต่างๆ คล้ายกัน
-ภาษาแต่ละภาษาต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา
๓.๕ ภาษาย่อมมีส่วนประกอบที่เป็นระบบ มีระเบียบแบบแผน
ลักษณะทั่วไปของภาษาไทย
๑. ภาษาไทยเป็นภาษาคําโดด เช่น พ่อ แม่ ปู่ เสื้อ นอน พูด หู ปาก ถ้วย ชาม
๒. ภาษาไทยสะกดตรงมาตรา เช่น แม่กก – มัก ชัก นัก
๓. คําภาษาไทยคําเดียวมีหลายความหมายและหลายหน้าที่ เช่น ไก่ขัน, น่าขัน, ขันน้ํา
๔. ภาษาไทยเป็นภาษาเรียงคํา เช่น กันชนรถยนต์ – รถยนต์ชนกัน
๕. คําขยายจะวางไว้หลังคําที่ถูกขยาย เช่น นักร้องร้องเพลงเสียงหวานไพเราะ
๖. ภาษาไทยมีคําลักษณนาม เช่น กระเทียม ๔ กลีบ, ตะกร้า ๒ ใบ
๗. ภาษาไทยมีการสร้างคําขึ้นใหม่ เช่น ยางลบ, บ้านเรือน, เล็กๆ, อุทกภัย, ราชูปโภค
๘. คําภาษาไทยเปลี่ยนมีการเปลี่ยนระดับเสียงของคํา เช่น คา ค่า ค้า
๙. ภาษาไทยมีระดับ ตัเช่น ล้ม, ตาย, ถึงแก่กรรม, อนิจกรรม, อสัญกรรม, สวรรคต
เสียงในภาษา
๑. เสียงสระและรูปสระ
ภาษาไทยมีเสียงสระ ๑๒ คู่ เป็นสระเสียงเดี่ยวหรือสระแท้ ๙ คู่ สระประสมหรือสระเลื่อน ๓ คู่
มีรูปสระ ๒๑ รูป
๒. เสียงพยัญชนะและรูปพยัญชนะ
ภาษาไทยมีเสียงพยัญชนะ ๒๑ เสียง พยัญชนะท้าย ๘ เสียง รูปพยัญชนะ ๔๔ รูป
๓. เสียงวรรณยุกต์และรูปวรรณยุกต์
ภาษาไทยมีเสียงวรรณยุกต์ ๕ เสียง รูปวรรณยุกต์ ๔ รูป
ส่วนประกอบของภาษา
ได้แก่ เสียง คํา และประโยค
พยางค์ ประกอบด้วย พยัญชนะต้น สระ วรรณยุกต์ การนําองค์ประกอบทั้ง ๓ ส่วนมาประสมกัน
เรียกว่า
วิธีประสมอักษร
การประสมอักษร ๓ ส่วน ได้แก่ สระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ เช่น ใจ, กา, ปู, เรา
การประสมอักษร ๔ ส่วน ได้แก่ สระ พยัญชนะ วรรณยุกต์
ตัวสะกด
เช่น ปาก, ปลง
การประสมอักษร ๔ ส่วนพิเศษ ได้แก่ สระ พยัญชนะ วรรณยุกต์
ตัวการันต์
เช่น การ์ตูน
การประสมอักษร ๕ ส่วน ได้แก่ สระ พยัญชนะ วรรณยุกต์
ตัวสะกด ตัวการันต์
เช่น ศุกร์
พันธกิจของภาษา
ต้นกำเนิดของภาษา
เชื่อว่า พระผู้เป็นเจ้าของแต่ละศาสนาเป็นผู้สร้าง
ต่อมาคเชื่อว่ามนุษย์เป็นผู้สร้างภาษา
ซึ่งอาจจะสร้างโดยอาศัยจาก
๑.การเลียนเสียงธรรมชาติเช่น
๒.เกิดขึ้นเพราะมนุษย์เปล่งเสียงเมื่อเกิดความรู้สึกต่างๆ
ความสำคัญของภาษา
๑.ภาษาช่วยธํารงสังคม
สังคมธํารงอยู่ได้เพราะ
คนในสังคมมีการแสดงไมตรีต่อกันการแสดงไมตรีต่อกัน
ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และระเบียบวินัยของสังคม
ประพฤติตนให้เหมาะแก่ฐานะของตน
๒.ภาษาแสดงความเป็นปัจเจกบุคคล
คนเรามักใช้คําแบบประโยคหรือโวหารอย่างเดียวกันเสมอ ๆ จนถือได้ว่า
เป็นการเฉพาะตัว
เมื่อเราได้ฟังหรือ่านงานเขียนใด ๆ เราก็พอรู้ได้ว่าเป็นสํานวนของใคร และระบุตัวบุคคลได้
๓. ภาษาช่วยให้มนุษย์พัฒนา
มนุษย์ใช้ภาษาถ่ายทอดประสบการณ์และความคิดเห็น
ในกรณีที่มนุษย์แลกเปลี่ยนความรู้และความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ แล้วมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ก็
อาจโต้แย้ง ถกเถียงอภิปราย
ซึ่งมักจะนําไปสู่คําตอบที่ถูกต้องตรงกัน
ถ้ามนุษย์ไม่มีภาษาจะต้องใช้เวลาหาประสบการณ์และคิดค้นอย่างลองผิดลองถูกด้วยตนเอง
เป็นการเสียเวลา ทําให้มีความรู้ไม่งอกเงยไปกว่ามนุษย์ในอดีต หรือไม่อาจค้นหาสิ่งใหม่ๆได้เลย
๔. ภาษาช่วยกําหนดอนาคต
เราใช้ภาษาทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน
วางแผนการเพื่ออนาคตได้ต่าง ๆ
๕. ภาษาช่วยจรรโลงใจ
ภาษา มีอิทธิพลเหนือจิตใจมากที่สุด
การเปลี่ยนแปลงของภาษา
เปลี่ยนแปลงเสียงของคํา
หลักฐานที่พบ
จากข้อความในศิลาจารึกพ่อขุนรามคําแหงมหาราช สังเกตได้ว่า
คําว่า
เข้า
เขียนตามอักขรวิธีในสมัยนั้นเป็น
เฃ๋า
พยัญชนะต้นเป็น ฃ
คําว่า
ข้าว
เขียนตามอักษรวิธีในสมัยนั้นเป็น
เข๋า
พยัญชนะต้นเป็น ข
จากหนังสือไตรภูมิกถา บทพระราชนิพนธ์ของพระญาลิไทยกษัตริย์ในสมัยสุโขทัย
มีคําบางคําที่การสะกดการันต์ แสดงว่าออกเสียงต่างกับปัจจุบัน
เช่น
ระไบ - ระบาย
อินธนู - อินทร์ธนู
ในสมัยรัตนโกสินทร์ หนังสือปกีระณําพจนาดถ์ ของพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร)
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จร.๕ ก็ใช้คำว่า
ระใบ
นอกจากนี้ ยังใช้คำว่า
ผู้
ที่คนไทยสมัยนั้นใช้คำว่า
ภู
ปรากฏในลายพระหัตถ์ที่สมเด็จพระเจ้าบรรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศ
รานุวัดติวงศ์มีถึงพระยาอนุมานราชธนตอนหนึ่งที่สังเกตได้ว่า สมัยก่อน
คำว่า
วิเศษ
คนไทยออกเสียงพยางค์แรกเป็นเสียงโท
แต่ปัจจุบันออกเสียงพยางค์แรกของคําว่า วิเศษ เป็นเสียงตรี
เปลี่ยนแปลงความหมายของคํา
ในจารึกนครชุม จารึกมหาศักราช ๑๒๗๙ ปีระกา(พ.ศ.๑๙๐๐) มีข้อความว่า
“ไพร่ฟ้าข้าไทย ขี่เรือไปค้าขี่ม้าไปขาย”
เมื่ออ่านแล้วจะรู้สึกแปลก เพราะปัจจุบันเราไม่พูดว่า
ขี่เรือ
๑. คําหนึ่งความหมายกว้างกว่าอีกคําหนึ่ง
ความหมายแคบเข้า
คือเดิมเคยมีหลายความหมาย ต่อมาก็ความหมายเดียว
หรือเดิมเคยใช้กับคําได้หลายคํา ต่อมาก็ใช้กับคําได้คําเดียว
เช่น ไหล ในสมัยสุโขทัย หมายถึง เลื่อนไปอย่างของเหลว อาจปรากฏร่วมกับคําว่า
ปลา และรัศมีแต่ปัจจุบัน ไหล หมายถึง การเคลื่อนที่ไปอย่างของเหลวเท่านั้น
ความหมายกว้างออก
คือคําที่สมัยโบราณมีความหมายแคบกว่าคําในสมัยปัจจุบัน
เช่น คำว่า เถื่อน
สมัยสุโขทัย หมายถึง ป่า ดังปรากฏในสุภาษิตพระร่วง
“เข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า หน้าศึกอย่านอนใจ”
และสมัยปัจจุบัน เถื่อน ยังคงหมายถึง ป่า และเป็นขยายคําอื่น ได้แก่ นอกกฎหมาย ไม่เจริญ และ โหดร้ายทารุณ
๒. คําหนึ่งความหมายต่างกับอีกคําหนึ่ง (ความหมายย้ายที่)
คือ คําที่สมัยโบราณมีความหมายอย่างหนึ่ง แต่ในสมัยปัจจุบันมีความหมายอีกอย่างหนึ่ง
เช่น รับสั่ง หมายถึง รับคําสั่ง
แต่ปัจจุบัน รับสั่ง เป็นราชาศัพท์ หมายถึง พูด บอก คําสั่ง ใช้แก่เจ้านาย
เลิกใช้คําเดิมแล้วเปลี่ยนเป็นคําใหม่
การเลิกใช้คํา
พบในข้จดหมายหลวงอุดมสมบัติซึ่งเขียนไว้ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์
“จะว่ากล่าวไปอย่างไรๆ ให้มากก็จะเพ้อเสียเปล่า ป่วยงานเขียนเปลืองกระดาษเปลืองดินสอ
”
คําว่า
ป่วยงาน
ปัจจุบันเราไม่ใช้ ซึ่งอาจสันนิษฐานได้ว่า น่าจะหมายความว่าอย่าง
เดียวกับ
ป่วยการ
คือ เสียงการงานหรือเสียประโยชน์
การสร้างคําใหม่
คิดคําใหม่โดยเลียนเสียงธรรมชาติ
เช่น กริ่ง จิ้งจก ตุ๊กๆ
การประกอบคําขึ้นใหม่
คำประสม
เช่น น้ําหอม ปืนลม
คำซ้อน
เช่น สร้างสรรค์ ถูกต้อง
คำซ้ำ
เช่น เด็ก ๆ เรา ๆ
คำสมาส
เช่น ภูมิประเทศ ลิขสิทธิ์
คิดคําใหม่จากคําที่มีอยู่เดิม
หมายถึง คิดคําให้มีเสียงสระ พยัญชนะ หรือวรรณยุกต์ให้แปลกออกไปจากคําเดิม
มีคําหลายคําที่เสียงและความหมายใกล้เคียงกัน เช่น จนสงสัยได้ว่าจะมีผู้คิดขึ้นโดยอาศัยแนวเทียบจากอีกคําหนึ่ง เช่นรวม –ร่วม, เดียว – เดี่ยว,ล่ม – ล้ม, แจก – แจง