Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่2 กระบวนการพัฒนานวัตกรรม, นายสมยศ ไสยรส รหัส 6314991028 - Coggle…
บทที่2 กระบวนการพัฒนานวัตกรรม
การทบทวนวรรณกรรม(Literature Review)หมายถึงกระบวนการ สืบค้นศึกษาทบทวนวิเคราะห์สังเคราะและสรุปเก่ียวกับหลักการ แนวคิด ทฤษฎีท่ี เก่ียวข้องกับประเด็นปัญหา ทั้งในอดีตและ ปัจจุบันเพื่อให้เกิดความชัดเจนในปัญหาท่ีจะสร้างนวัตกรรมหรือทาวิจัยเพื่อ
นกไปสู่การกกหนดกรอบแนวคิดอย่างมีเป้าหมาย
วัตถุประสงค์ของการทบทวนวรรณกรรม
รวบรวมแนวความคิดในการตั้งปัญหาวิจัย/นวัตกรรม
มีความรอบรู้ในข้อเท็จจริงที่เป็นที่ยอมรับ
เป็นการประเมินความเป็นไปได้ในการทาวิจัย/นวัตกรรม
เพื่อรวบรวมข้อมูลรายละเอียดในเรื่องวิธีการและเครื่องมือที่จะใช้ในการทาวิจัย 6. เพื่อให้เกิดความกว้างขวางในการเปรียบเทียบ
การทบทวนวรรณกรรมจะช่วยให้สามารถออกแบบนวัตกรรมหรือการวิจัยได้
3.การเตรียมกรอบทฤษฎีการวิจัยในการวิจัย/นวัตกรรม
ประโยชน์ของการทบทวนวรรณกรรม
ทบทวนความรู้เดิมและติดตามความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น
ทาให้รู้ว่าสิงที่เราสนใจอยากรู้มีใครเคยทกมาแล้วบ้าง ป้องกันการทาวิจัยซ้ำซ้อน
ทาให้ทราบถึงแนววิธีการของผู้วิจัยอื่นๆ ว่ามีแนวทางอย่างไร
ใช้กำหนดกรอบแนวคิดการวิจัย กำหนดขอบเขตของการทำวิจัย ที่ชัดเจน
เพื่อให้ทราบถึงอุปสรรค หรือข้อบกพร่องในการทาวิจัยเรื่องนั้นๆ
เพื่อให้สามารถต่อยอดงานวิจัย/พัฒนานวัตกรรมใหม่
ขั้นตอนในการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
กกหนดเรื่องและ ขอบเขตเรื่องที่จะทบทวนกรรม : กำหนดคำสำคัญ (KEYWORDS) กระจายคกสำคัญสำหรับการสืบค้นออกเป็นกลุ่มๆ ตามหัวเรื่องที่สนใจ เช่น ใช้ PICO ในการกำหนด KEYWORDS
กำหนดแหล่งสารสนเทศที่จะสืบค้น
ค้นหาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
พิจารณาความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล
การบันทึกข้อมูลในการทบทวนวรรณกรรมและเขียนเรียบเรียง
หลักในการคัดเลือกวรรณกรรม
ผู้เขียน : พิจาารณาความเชี่ยวชาญประสบการณ์ในเรื่องนั้น
ความถูกต้อง เป็นการตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาความสอดคล้องกับเนื้อหาและปัญหาที่กำหนด
ความทันสมัย:ควรพจิารณาเนื้อหาที่ทันสมัยมีการพิมพ์ล่าสุดไม่เกิน5ปี
แหล่งข้อมูล แหล่งข้อมูลที่มาจากปฐมภูมิจะน่าเชื่อถือกว่าทุติยภูมิ
วิธีการเขียน:ควรพิจารณางานเขียนที่เข้าใจง่ายการเรียบเรียงดีไม่ซับซ้อน
การอ้างอิง มีการอ้างอิงที่ทันสมัยและน่าเชื่อถือ
แหล่งสืบค้นวรรณกรรมที่นิยมแพร่หลาย
1.หนังสือตำรา
2.ห้องสมุด
3.Online Database
การสังเคราะห์วรรณกรรม
1.การสังเคราะห์วรรณกรรมด้วยวิธีวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ต้อง สืบค้น รวบรวม และคัดเลือกวรรณกรรม อย่างเป็นระบบ วิเคราะห์ เปรียบเทียบ / ผลการวิจัยแต่ละเรื่องว่า เหมือนหรือต่างกันอย่างไร สังเคราะห์ในรูปการเขียน แบบพรรณนา(narration) เป็นการวิเคราะห์เชิงคุณภาพอย่างเป็นระบบ
การสังเคราะห์วรรณกรรม ด้วยวิธีวิเคราะห์อภิมาน (Meta Analysis) ใช้ ระเบียบวิธีทางสถิติ และการแจงนับ สังเคราะห์เนื้อหา รายละเอียดของระเบียบ วิธี และผลการวิจัยนาเสนอเสนอข้อค้นพบจากงานวิจัยทุกเรื่องในหน่วย มาตรฐาน เดียวกัน บูรณาการข้อค้นพบ เพื่อแสดงความเกี่ยวข้องของ งานวิจัยการเขียน ทบทวนผลการวิจัย ควรเป็นการบรรยาย สรุปผลการวิจัยประกอบด้วยหัวข้อ ได้แก่ ชื่อเรื่อง, กลุ่มตัวอย่าง, วิธีการศึกษา, ผลการวิจัย
สิ่งที่ผู้วิจัยต้องทบทวนจากวรรณกรรม
ทบทวนสถานการณ์ ประเด็นปัญหา (Issues Review) เป็นการทบทวนในสิ่งที่ชี้บอกว่าเรื่องที่จะทำเป็นปัญหาเป็นการหาช่องว่างของความรู้ (Gaps of Knowledge)
ทบทวนบริบท (Context Review) เพื่อให้เห็น ความเป็นมาของเรื่องที่จะศึกษา
ทบทวนทฤษฎี (Theoretical Review) เป็นการทบทวนเพื่อรวบรวมทฤษฎีที่เกี่ยวข้องในแง่มุมต่างๆ
ทบทวนระเบียบวิธีวิจัย (Methodological Review) เป็นการเปรียบเทียบจุดอ่อน จุดแข็ง ของงานวิจัยที่ทามาแล้ว ทั้งด้านการออกแบบวิจัย กลุ่มตัวอย่าง การเก็บข้อมูล และวิธีการวิเคราะห์
ทบทวนบูรณาการ (Integrative Review) เพื่อนาเสนอ องค์ความรู้ที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดย สรุปรวบรวมผลงานวิจัย ต่างๆ ที่สัมพันธ์กับสมมติฐานการวิจัย
การคิดเชิงออกแบบไว้ 7 ด้าน
ความมั่นใจที่สร้างสรรค์ (creativeconfidence)
ทำ (make it )
เรียนรู้จากความล้มเหลว (learn fromfailure)
การเข้าใจอย่างลึกซึ้ง (empathy)
การยอมรับความคลุมเครือ (embrace ambiguity)
การมองโลกในแง่ดี (optimism)
การทางานทวนซ้ำ(iterate, iterate, iterate)
กรอบความคิดของการคิดเชิงออกแบบมีท้ังหมด 11 ด้าน
1.การสร้างความเข้าใจอย่างลึกซึ้งกับความต้องการการของคนและบริบทของคน (empathetic toward people’s needs and context)
2.การเปิดรับความคิดเห็นที่แตกต่างและการรับฟังมุมมองความคิด(collaborativelygearedand embracing diversity)
3.ความกระตือรือร้นและความกระหายใคร่รู้จะช่วย เปิดสู่มุมมองทางความคิดที่ใหม่ (inquisitive and open to new perspectives and learning)
4.การมีสติสัมปชัญญะในการใช้ความคิดหรือใน กระบวนการใช้ความคิด (mindful of process and thinking modes)
5.การเรียนรู้จากประสบการณ์ (experiential intelligence)
การลงมือทาอย่างตั้งใจและเปิดเผย (taking action deliberately and overt) 7. การสร้างสรรค์อย่างมีสติ (consciously creative)
การยอมรับความไม่แน่นอนและเปิดใจยอมรับ กับความเสี่ยง (accepting of uncertainty and open to risk)
พฤติกรรมการสร้างแบบจำลอง (modelling behavior)
ความปรารถนาและต้องการที่จะทาในสิ่งที่ แตกต่าง (desire and determination to make a difference)
การตั้งคาถามเชิงวิพากษ์ (critically questioning)
กระบวนการออกแบบความคิดไว้ 5 ขั้นตอน ดังนี้
1.เข้าใจปัญหา (empathize) 2.กาหนดปัญหาให้ชัดเจน (define) 3.ระดมความคิด (ideate) 4.สร้างต้นแบบท่ีเลือก (prototype) 5.ทดสอบ (test)
การตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
1.3W1H ( Who/What/Why/How)
2.STP – Segment Target และ Position
การสร้างรูปแบบทางธุรกิจ (BUSINESS MODEL INNOVATION : BMI) โดยใช้ BUSINESS MODEL CANVAS (BMC)
BMC 1.Customer segment (กลุ่มลูกค้า)
2.Value proposition (คุณค่าของสินค้าและบริการ)
3.Channels (ช่องทางการเข้าถึงลูกค้า)
4.Customer relationships (ความสัมพันธ์กับลูกค้า)
5.Revenue streams (รายรับ)
6.Cost structure (รายจ่าย ต้นทุน)
7.Key resources (ทรัพยากร)
8.Key activities (กิจกรรมหลัก)
9.Key partners (ผู้ร่วมงานหลัก)
5 ขั้นตอนการใช้หลักฐานเชิงประจักษ์โดยมี 5 ขั้นตอน (5A) ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 การตั้งคไถามทางคลินิก(Ask) ในรูปแบบของ PICO
P = Population of interest,
I = Intervention or area of interest,
C = Compare intervention or group
O = Outcome)
ขั้นตอนที่ 2 การสืบค้นเพื่อหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ดีที่สุด (Acquire)
ขั้นตอนที่ 3 การประเมินหลักฐานเชิงประจักษ์อย่างมีวิจารณญาณ (Appraise)
ขั้นตอนที่ 4 การบูรณาการหลักฐานเชิงประจักษ์กับผู้เชี่ยวชาญ และบริบท ความต้องการ ค่านิยมของผู้รับบริการ (Apply)
ขั้นตอนที่ 5 การประเมินผลลัพจากการปฏิบัติ(Analyze & Adjust)
นายสมยศ ไสยรส รหัส 6314991028