Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Pneumonia ปอดอักเสบ - Coggle Diagram

- - - - 4.2 โดยการล่าสักเข้าในปอด
  - - - อาการมักเกิดขึ้นทันทีด้วยอาการไข้สูง อาจไข้สูงตลอด
      - หนาวสั่น (โดยเฉพาะในระยะที่เริ่มเป็น)และหายใจ หอบ ในระยะแรกอาจมีอาการไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะต่อมาจะ
      - ไอมีเสมหะ ขันออกเป็นสีเหลือง สีเขียว สีสนิมหรือมีเลือด ปน ในเด็กโตและผู้ใหญ่อาจมีอาการเจ็บแปลบในหน้าอก เวลาหายใจเข้าหรือไอแรงๆบางครั้งอาจปวดร้าว
    - - มีไข้ 37-39 องศา ทุกคนเกือบทุกช่วงเวลา หนาว ไอเเห้งไม่มีเสมหะ เเละช่วงหลังๆเสมหะเหนียวข้น สีเสือง
    - - จากอาการแสดงคือ ใช้ไอ หายใจเร็ว ร่วมกับฟังปอด
        ใต้ยินเสียง crepitations หรือ bronchial breath sounds
      - ภาพรังสีทรวงอก ช่วยยืนยันการวินิจฉัยในผู้ป่วยที่ประวัติและการตรวจร่างกายไม่ชัดเจนนอกจากต้องการประเมินว่าผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อนจากปอดอักเสบหรือไม่
      - การพยาบาล
        
        1.ดูแลทางเดินหายใจให้โล่งโดยการดุดเสมหะและให้อย่างเพียงพอ
        
        2.ให้ออกซิเจนตามแผนการรักษา 3 Lpm
        
        3.แนะนำกระตุ้นให้ติ่มนํ้าหรือให้สารน้าเข้าทางหลอด
        
        4.แนะนำให้รับประทานอาหารอ่อนที่มีโปรตีนสูง
        
        5.ยาแก้ไอ ยาขับเสมหะจะช่วยทําให้เสมหะระบายออกได้สะดวก
        
        6.ยาปฏิชีวนะ
        
        7.จัดท่านอนศีรษะสูง30 องศา
- - - - ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เมื่อยตัว
      - เสียงเปลี่ยนและมีเสมหะ
      - มีไข้สูง 39 องศาเซลเซียส
      - รู้สึกหนาว แต่เหงื่อออก
      - มีน้ำมูกคัดจมูก
      - คอแห้ง รู้สึกคันคอและไอ
      - เจ็บคอ กลืนน้ำลายแล้วเหมือนมีมีดบาด
      - เหนื่อย อ่อนเพลียกว่าปกติ นอนซมไม่อยากทำอะไร
    - - Basic Reproductive Rate(R0) คือ ค่าเฉลี่ยที่ผู้ป่วย 1 คนจะแพร่เชื้อให้ผู้อื่นในกลุ่มประชากรที่มีความไวต่อการรับเชื้อค R0 ของโรคโควิด19 อยู่ที่ประมาณ 2 และ 4
      - Clinical Onset Interval คือ ช่วงเวลาแสดงอาการในผู้ป่วยรายต่อๆ กันในห่วงโช่ของ การแพร่ระบาด ในงานวิจัยส่วนใหญ่ เวลาเฉล่ียอยู่ที่ 4 และ 5 วัน
      - Case Fatality Ratio (CFR) หรืออัตราการเสียชีวิต คือ สัดส่วนของผู้ป่วยท่ีถึงแก่ชีวิต อัตราคร่าวๆของทัว่ โลกอยู่ที่7%
    - - Nucleic Acid Amplification Test (NAATs) ใช้เพื่อตรวจวินิจฉัยการติดเชื้อ
        (ว่าตรวจพบไวรัสหรือไม่) ในระยะเฉียบพลันของโรค การตรวจเทคนิคนร้ใช้เวลาระหว่าง 13 นาทีถึง 3 ชั่วโมง และจําต้องมีอุปกรณ์เครื่องมือเฉพาะ
      - การตรวจหาแอนติบอดี้ด้วยการสร้างภูมิคุ้มกันจะใช้ตรวจหาแอนติบอด้ี IgM และ IgG ทร่สร้างขค่นมาต้านไวรัส ไม่ประโยชน์ในการวินิจฉัยโรคเน่ืองจากการ ตอบสนองของร่างกายไม่สามารถตรวจพบได้ในสัปดาห์แรกของการเจ็บป่วย การตวจใช้เวลา 15 นาทีและสามารถใช้ตรวจว่าใครเคยติดเช้ือมาก่อน การศึกษาในระดับประชากรด้วยเทคนิคตรวจแอนติบอดี้
      - การตรวจหาแอนติเจน ใช้ตรวจหาแอนติเจนของไวรัสและอาจเป็นประโยชน์ใน การวินิจฉัยการติดเชื้อเฉียบพลัน การพัฒนาชุดตรวจทําอยู่ในหลายประเทศ
    - - กลุ่มอาการสีเขียว รับประทานฟ้าทะลายโจร เเละยาตามอาการ
      - กลุ่มอาการสีเหลืองมรับประทานยาฟาวิพิราเวียร์และยาตามอาการ
      - กลุ่มอาการสีแดงรับประทานยาเรมเดซิเวียร์ เเละยาตามอาการ
- - - - 1.ระยะบวมคั่ง (Stage of Congestion or Edema)เมื่อเชื้อ โรคเข้าสู่ปอดจะแบ่งตัวอย่างรวดเร็วร่างกายจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง มีโลหิตมาคั่ง ในบริเวณที่มีการอักเสบ หลอด โลหิตขยายตัว มีแบคทีเรีย เม็ดโลหิตแดง ไฟบริน และเม็ดโลหิตขาว(เป็นพวกนิวโตรฟิลและโฟลิมอร์ฟ)ออกมากิน แบคทีเรียระยะนี้กินเวลา 24-48ชั่วโมง หลังจากเชื้อโรคเข้า สู่ปอด
      - 2.ระยะเนื้อปอดแข็ง (Stage Of Consolidation) ระยะแรก จะพบว่า มีเม็ดโลหิตแดงและไฟบรินอยู่ในถุงลมเป็น ส่วน ใหญ่ หลอด โลหิตฝอยท่อผนังถุงลมปอดขยายตัวมากขึ้นท่าให้เนื้อปอดสีแดงจัดคล้ายตับสด(Red heptization) ใน รายที่มีการอักเสบรุนแรงจะมีการอักเสบลุกลามไปถึงเนื้อปอดด้วย ในเวลาต่อมาจะมีจํานวน เม็ดโลหิตขาวเข้ามาแทนที่เม็ดโลหิตแดงในถุงลมมากขึ้นเพื่อกินเชื้อโรค ระยะนี้ ถ้าตัดเนื้อปอดมาดูจะเป็นสีเทาปนด่า (grey heptatization)เนื่องจากมีหนอง(Exudate) เซลล์โพลีมอร์โฟและไฟบริน หลอดโลหิตฝอยที่ผนัง ถุงลมปอดก็จะหดตัวเล็กลงระยะนี้ กินเวลา 3-5วัน จากการที่ผนังถุงลมบวม มีหนองในถุงลม ทําให้การระบายอากาศภายในปอดไม่เพียงพอและหลอดลมหดรัดตัวทําให้อุดกั้นทางเดินอากาศด้วย
      - 3.ระยะปอดฟื้นตัว(Stage of Resolution) เมื่อร่างกายสามารถต้านทานโรคได้เม็ดโลหิตขาวสามารถทำลายแบคทีเรียที่อยู่ในถุงลมปอดได้หมด เนี้อปอดกลับคืนสู่ สภาพปกติใต้การอักเสบที่เยื่อหุ้มปอดจะหายไปหรือมีพังผืดขึ้นแทนถ้าเชื้อออกจากปอดทางท่อนํ้าเหลืองไปถึงต่อมน้ําเหลือง ถ้าต่อมนํ้าเหลืองเก็บเชื้อโรคได้หมดโรค จะเป็นเฉพาะที่ปอด แต่ถ้าต่อมนํ้าเหลืองไม่สามารถเก็บเชื้อโรคได้หมด เชื้อโรคจะเข้าสู่กระแสโลหิตไปทั่วร่างกาย เช่น สมอง ข้อ ถ้ามีความรุนแรงจะช็อคจากการติดเชื้อได้