Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

กรณีศึกษา - Coggle Diagram

- - - - ภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงความดันในหลอดเลือดที่สูงขึ้น ซึ่งในปัจจุบันแพทย์วินิจฉัยว่าในภาวะปกติผู้ที่มีความดันเท่ากับหรือมากกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท เป็นผู้ที่มีความดันโลหิตสูง หากปล่อยทิ้งไว้ให้อยู่ในระดับนี้นานๆ อาจทำให้อวัยวะต่างๆในร่างกายเสื่อม เช่น มีโอกาสเป็นโรคหัวใจตีบตัน 3-4เท่า และโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน 7 เท่าของผู้ที่มีความดันปกติ และถ้าปล่อยทิ้งไว้ความดันจะเพิ่มขึ้นทุกๆ 10 มิลลิเมตรปรอทต่อปี
        
        Dx.ผู้ป่วยมีประวัติโรคประจำตัวเป็นโรคความดันโลหิต Hypertension
      - อาการและอาการแสดงของความดันโลหิตสูง (Hypertension)
        
        ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการแต่อย่างใด อาจมีอาการปวดมึนท้ายทอย ตึงที่ต้นคอ เวียนศีรษะ บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะตุบๆ เหมือนไมเกรน ในผู้ป่วยที่เป็นมานาน อาจมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ใจสั่น นอนไม่หลับ และเมื่อมีอาการมากอาจโคมา และเสียชีวิตได้ หากปล่อยไว้นาน ไม่รักษา อาจส่งผลเสียต่อร่างกายดังนี้
        • เลือดไปเลี้ยงไตไม่พอ ไตวายเรื้อรัง
        • หลอดเลือดหัวใจหนา หัวใจขาดเลือด หัวใจวาย
        • หลอดเลือดตีบ โป่งพอง เลือดไปเลี้ยงอวัยวะได้น้อยลง
        • มีผลต่อเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา ทำให้จอประสาทตาเสื่อม
        • เป็นสาเหตุของอัมพฤกษ์ อัมพาต
        
        อาการที่ผู้ป่วยมี -ผู้ป่วยมีภาวะเหนื่อยงาย อ่อนเพลีย
        -ผลการตรวจความดันโลหิตสูง
        วันที่ 27 05 66 BP 208/89 mmHg
        วันที่ 28 05 66 BP 209/107 mmHg
        วันที่ 29 05 66 BP 183/80 mmHg
        วันที่ 30 05 66 BP 180/75 mmHg
        วันที่ 31 05 66 BP 197/83 mmHg
        วันที่ 1 06 66 BP 189/81 mmHg
        วันที่ 2 06 66 BP 169/65 mmHg
        วันที่ 3 06 66 BP 169/59 mmHg
        วันที่ 4 06 66 BP 180/73 mmHg
        วันที่ 5 06 66 BP 184/68 mmHg
        วันที่ 6 06 66 BP 163/67 mmHg
        วันที่ 7 06 66 BP 160/60 mmHg
        
        การพยาบาลผู้ป่วยความดันโลหิตสูง
        
        1.การควบคุมอาหารเค็มอาหารไขมันและอาหารที่ให้พลังงาน
        
        2.การออกกำลังกาย แนะนำให้ผู้ป่วยออกกำลังกายโดยสม่ำเสมอให้เหมาะสม กับสภาพหัวใจหลอดเลือด สภาพร่างกาย และสภาพแวด ล้อม เช่น การเดินเร็ว วิ่งเหยาะ ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ หรือแม้แต่การทำงานบ้าน เป็นต้น
        
        หลีกเลี่ยงการสูดดมควันบุหรี่ที่ผู้อื่นสูบด้วย เพราะนิโคตินในบุหรี่ทำให้หลอดเลือดหดรัดตัวซึ่งทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
        
        หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์จทำให้ความดันโลหิตสูงและหัวใจวายได้
        
        หลีกเลี่ยงภาวะเครียดซึ่งจะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ควรทำจิตใจให้แจ่มใส หาวิธีผ่อนคลาย ความเครียด เช่นการออกก าลังกาย เทคนิคการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การนั่งสมาธิ การพักผ่อนให้เพียงพอ โดยเฉพาะการนอนหลับให้สนิท ถ้ามีปัญหาหรือมีความเครียดสูงอาจต้องปรึกษานักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์
        
        แนะนำเกี่ยวกับการรับประทานยา ให้รับประทานยาอย่างต่อ เนื่องสม่ำเสมอเพราะโรคนี้รักษาไม่ หายขาด การรักษาอย่างสม่ำเสมอช่วยควบคุมภาวะโรคไม่ให้เป็นมากขึ้นหรือมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นน้อยหรือ ช้าที่สุด ควรบอกให้ผู้ป่วยทราบเกี่ยวกับยาและผลข้างเคียงของยาโดยสังเขป ถ้ามีอาการผิดปกติจากผลข้างเคียง ของยาให้ผู้ป่วยรีบไปพบแพทย์ ไม่ควรหยุดยาเอง
        
        สาเหตุของความดันโลหิตสูง (Hypertension)
        
        มากกว่าร้อยละ 90 ไม่มีสาเหตุ มีเพียงส่วนน้อยที่มีสาเหตุ เช่น โรคของต่อมไร้ท่อบางชนิด โรคไต โรคของหลอดเลือดบางประเภท ที่ทำให้ความดันโลหิตสูงได้ ปัจจัยที่ส่งเสริมให้มีความดันโลหิตสูง มีหลายปัจจัย เช่น อายุ เพศ พันธุกรรม เชื้อชาติ ภาวะนํ้าหนักตัวเกินหรือโรคอ้วน และการรับประทานอาหารเค็มจัด เป็นต้น
        
        ผู้ป่วยมีภาวะโรคไตเรื้อรัง
    - - พยาธิสภาพโรค เบาหวานเกิดจากความบกพร่องของฮอร์โมนอินซูลิน อินซูลินเป็นฮอร์โมนที่ผลิตโดยดับ น าหน้าที่ช่วยน้าน้ำตาลเรียกโกะในเคียงเจ้าเรา ทั่วร่างกาย เพื่อมาให้เป็นพลังงาน สำหรับการทำหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ผู้ที่เป็นเบาหวานจะพบว่าตับอ่อนผลิตอินซูลินได้น้อยหรือไม่ได้เลย T.C ESSENC 2 500ml หรือผลิตได้ปกติแต่ประสิทธิภาพของอินซูลินลดลง เมื่อขาดอินซูลินหรืออินซูลินทำหน้าที่ไม่ได้ น้ำตาล ในเลือดจึงเข้าสู่เซลล์ต่างๆ ได้น้อยกว่าปกติจึงเกิดการคั่งของน้ำตาลในเลือดและน้ำตาลก็ถูกขับออกมาทาง ปัสสาวะ น้ำตาลที่เข้มข้นสูงจะพาน้ำออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้ป่วยปัสสาวะบ่อยพร้อมกับสูญเสีย เกลือแร่บางชนิด โดยเฉพาะโซเดียม ร่างกายจึงขาดทั้งอาหาร น้ำ เกลือแร่ จึงมีอาการหิวบ่อย กินจุ กระหายน้ำบ่อย และน้ำหนักลดลง ผอมลง บางรายอาจอ่อนเพลีย
        
        Dx.ผู้ป่วยมีประวัติโรคประจำตัวเป็นโรคเบาหวานและมีการผ่าตัดนิ้วเท้าด้านซ้ายของผู้ป่วย(นิ้วโป้งและนิ้วกลาง)เนื่องจากมีบาดแผลจากการติดเชื้อเบาหวาน
      - อาการและอาการแสดงของภาวะโรคเบาหวาน (Diabetes mellitus)
        
        ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะต้องตื่นมาปัสสาวะตอนกลางคืน หิวน้ำบ่อย หิวบ่อย รับประทานจุ แต่น้ำหนักลด ผิวแห้ง เป็นแผลแล้วหายยาก ตาพร่ามัว ชาบริเวณปลายมือปลายเท้า หย่อนสมรรถภาพทางเพศ
        
        อาการที่ผู้ป่วยมี ผู้ป่วยมีอาการ ผิวแห้ง หิวน้ำบ่อยครั้ง
      - สาเหตุโรคเบาหวาน (Diabetes mellitus)
        
        สาเหตุของโรคเบาหวานมีหลายปัจจัยร่วมกันทั้งปัจจัยทางพันธุกรรม (genetic factor) และปัจจัยสิ่งแวดล้อม (environmental factor)
        1.กรรมพันธุ์
        2.น้ำหนักเกิน ความอ้วน ขาดการเคลื่อนไหว ขาดการออกกำลังกาย
        3.อายุที่มากขึ้น มีโอกาสเป็นเบาหวานได้มากขึ้น
        4.โรคของตับอ่อน เช่น ตับอ่อนอักเสบ ได้รับการผ่าตัดตับอ่อน
        5.การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น หัด หัดเยอรมัน คางทูม ซึ่งมีผลต่อตับอ่อน
        6.ความเครียดเรื้อรัง
        7.การได้รับยาบางชนิด ทำให้มีการสร้างน้ำตาลมากขึ้นหรือการตอบสนองของอินซูลินได้ไม่ดี
        8.การตั้งครรภ์ เนื่องจากมีการสร้างฮอร์โมนจากรกหลายชนิด ซึ่งมีผลยับยั้งการทำงานของอินซูลิน
      - การพยาบาลโรคเบาหวาน (Diabetes mellitus)
        
        สังเกตระดับความรู้สึกตัวและอาการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย เช่น ซึม กระวนกระวาย ชักหรือหมดสติ เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยได้ทันท่วงที
        
        วัดสัญญาณชีพทุก 15 นาทีเพื่อประเมินอาการเปลี่ยนแปลงและวางแผนการช่วยเหลือได้ทันท่วงที
        
        ดูแลการได้รับยาลดระดับนํ้าตาลอินซูลินตามแผนการรักษาของแพทย์
        
        ติดตามผลระดับนํ้าตาลในเลือดเพื่อประเมินระดับนํ้าตาลอยางใกล้ชิดเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ป่วย
- - - - อาการที่ผู้ป่วยมี Dx .วันที่ 28 พฤษภาคม 2566 ผู้ป่วยมีภาวะไข้สูง 40 c’ ผู้มีอาการท้องอืดในวันที่ 14 มิถุนายน 66 และผู้ป่วยอาเจียนตลอดเวลาที่พักอยู่บนวอร์ดผู้ป่วย ตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2566 – 14 มิถุนายน 2566
      - การพยาบาล
        
        การพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอักเสบที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ การรักษาพยาบาลตามอาการ เช่น การพยาบาลเพื่อบรรเทาความไม่สุขสบายจากอาการไข้ ไอ และหายใจเหนื่อยหอบ ให้การดูแลเช็ดตัว ลดไข้และให้ยาบรรเทาอาการไอตามแผนการรักษา ดูแลให้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ การเปิดโอกาส ให้ผู้ป่วยและญาติได้ซักถามข้อสงสัยต่างๆ พร้อมทั้งติดตาม ประเมินอาการไอและการหายใจเป็นระยะ
        
        2.การพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอักเสบที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น ผู้ป่วยสูงอายุที่มีภูมิคุ้มกัน ติดเชื้อ ดื้อยา มีการติดเชื้อในกระแสเลือด ในระยะนี้ต้องเฝ้าระวังและประเมินภาวะแทรกซ้อนอย่างละเอียด เพราะ ภาวะแทรกซ้อนนี้อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยการประเมิน สัญญาณชีพ ลักษณะรูปแบบการหายใจ การ ระบายอากาศ ระดับความรู้สึกตัว สังเกตอาการผิดปกติ หากพบความผิดปกติรายงานแพทย์ เพื่อให้การ รักษาอย่างถูกต้องทันท่วงทีและเหมาะสม
        
        การพยาบาลที่ผู้ป่วยได้รับ
        
        -ผู้ป่วยได้รับยา Para (500) 1 tab q 6 hr. ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2566
        
        Off cannular 3-5 lpm ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2566 – 5 มิถุนายน
        
        -สังเกตอาการและอาการผิดปกติของผู้ป่วย
        
        -การประเมินระดับความรู้สึกตัวของผู้ป่วย ผลการประเมินวันที่ 12/06/66 ผู้ป่วยมีระดับความรู้สึกตัวอยู่ที่ E4V5M4 มีระดับความรู้สึกตัวที่ดี
        
        -ประเมินลักษณะการหายใจ ผลการประเมินวันที่ 13/06/66 ผู้ป่วยไม่มีอาการหายใจหอบเหนือยและอาการหายใจลำบาก
        
        -ประเมินสัญญาชีพ ผลการประเมินวันที่ 13/06/66
        T: 36.4 องศา PR: 70/ครั้งต่อนาที
        RR:20/ครั้งต่อนาที BP: 156/68 mmhg
    - - • โรคปอดอักเสบชุมชน (Community-acquired Pneumonia) ซึ่งพบได้บ่อยที่สุดและเกิดขึ้นนอกโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาล โดยทั่วไปเกิดจากแบคทีเรีย สิ่งมีชีวิตที่คล้ายแบคทีเรีย ไวรัส รวมถึง โควิด –19
      - • ปอดอักเสบที่ติดมาจากโรงพยาบาล (Hospital-acquired Pneumonia)
      - • ปอดอักเสบที่เกิดจากการเข้ารับการบริการด้านสุขภาพ (Healthcare-associated Pneumonia)
      - • ปอดอักเสบที่เกิดจากการเข้ารับการบริการด้านสุขภาพ (Healthcare-associated Pneumonia)
      - อาการที่ผู้ป่วยมี Dx . U/D วันที่ 27 พฤษภาคม 2566 ATK positive
  - - - Dx.ผล CT brain วันที่ 27 05 66 พบ Mucosal thickening in bilateral in bilateral ethmoid and maxillary sinses,possibly sinusitis.
    - - • ปวดหน่วงๆ ตามบริเวณไซนัสอักเสบ เช่น หน้าผาก หัวตา โหนกแก้ม หรือรอบๆ ดวงตา
      - • ปวดศีรษะ มักเป็นมากช่วงเช้าหรือบ่าย โดยเฉพาะเมื่อก้มศีรษะ หรือเปลี่ยนท่า
      - • น้ำมูกเป็นหนองข้นสีเขียวหรือเหลือง เวลาสูดจมูกแรงๆ รู้สึกน้ำมูกไหลลงคอ
      - • คัดแน่นจมูก หายใจมีกลิ่นเหม็นคาว
      - • ปวดหู หูอื้อ เจ็บคอ มีไข้ อ่อนเพลีย
      - อาการที่ผู้ป่วยมี ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ และมีไข้ในบางเวลา
    - - ไข้หวัดซึ่งเป็นโรคติดเชื้อไวรัสมักเป็นสาเหตุของโรคไซนัสอักเสบเฉียบพลัน การติดเชื้อแบคทีเรียตามมาภายหลังอาจพบได้ในบางกรณี
        
        เชื้อแบคทีเรีย ส่วนใหญ่เป็นชนิด Streptococcus pneumoniae, Heamophilus influenzae,และ Staphylococcus aureus
        
        เชื้อไวรัส ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อ Rhinovirus
        
        เชื้อรา มักพบกลุ่มเชื้อ Aspergillus, Rhizopus, และ Candida
      - การพยาบาลไซนัสอักเสบ (Sinusitis)
        
        • ใช้น้ำเกลือล้างจมูกระหว่างวัน
        
        • ใช้ยาพ่นจมูกจำพวกสเตียรอยด์เพื่อป้องกันและรักษาอาการ
        
        • ใช้ยาบรรเทาอาการคัดจมูก ในรูปแบบยาน้ำ ยาเม็ด หรือยาพ่น
        
        • ยาภูมิแพ้เพื่อบรรเทาอาการไซนัสอักเสบกำเริบจากภาวะภูมิแพ้
        
        • ยาแก้ปวด
  - - - • มีไข้สูง ตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป
      - • มีอาการของระบบทางเดินหายใจ + อาการร่วมอื่น ๆ เช่น
        
        แสบคอ เจ็บคอ
        
        ปวดศีรษะ
        
        อ่อนเพลีย
        
        คลื่นไส้ อาเจียน
        
        สูญเสียการรับรส เเละ กลิ่น
    - - ต้นตอของไวรัสน่าจะมาจากการที่ไวรัสจากสัตว์ตัวกลางระบาดมาสู่คน
    - - ให้ความรู้ความเข้าใจกับผู้ป่วยเรื่องอาการของโรคการรักษาและระยะเวลาการรักษาเฝ้าระวังอาการ
      - . ส่งตรวจ Chest X-ray และติดตามผลอ่าน เพื่อรายงานแพทย์
      - แนะนำการดื่มน้ำบ่อยๆ บรรเทาอาการไอ เจ็บคอ
      - ประเมิน และติดตามสอบถามอาการ ปวดศีรษะและอาการอื่นๆ เป็นระยะ ตามเวลาที่ ตรวจวัดสัญญาณชีพ
      - แนะนำให้นอนพักเมื่อมีอาการปวดศีรษะ และดูแลให้ยา Paracetamal 1 เม็ด รับประทาน เวลาปวด หรือมีไข้ห่างกัน 4 ชั่วโมง และดูแลให้ รับประทานยา bromhexine, Pseudoephedrine และ Chlorpheniramine อย่างละ 1 เม็ด 3 เวลา หลังอาหาร เพื่อบรรเทาอาการไอ และเจ็บคอ 6. ดูแลให้รับประทานยา Lopinavir/ Ritonavir (200/50 mg.) 2 เม็ด ห่างกัน 12 ชั่วโมง
- - - - ข้อมูลสนับสนุน
      - S: ผู้ป่วยมีอาการหายใจหอบเหนื่อยและหายใจไม่สะดวก
      - O: on cannula 4 lpm. วันที่ 27 05 66 BP 208/89 mmHg
    - - อัตราการหายใจ 16 - 20 ครั้ง/นาที ความ อิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (Spo2 ) 95 - 100 %
      - นอนราบได้ ฟังปอดปกติ ไม่มีเสียง crepitation
      - คลื่นไฟฟ้าหัวใจปกติ ไม่มีหัวใจเต้นผิด จังหวะ
      - ได้รับปริมาณสารนํ้าตามแผนการรักษา
      - ความดันโลหิต 120/80 มิลลิเมตรปรอท ชีพจร 60 –100 ครั้ง/นาที
    - - สังเกตอัตราการหายใจ ฟังปอด และ วัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (Spo2) ทุก 4 ชั่วโมง
      - ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับปริมาณสารนํ้าตาม แผนการรักษาอย่างเคร่งครัด
      - ติดตามคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
      - บันทึกสารนํ้าเข้าและออกจากร่างกาย
      - ติดตามผลเอกซเรย์ปอดเพื่อเฝ้าระวังภาวะ Pneumonia
      - 6.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาลดความดันโลหิต และยาขับปัสสาวะตามแผนการรักษา
      - 7.สังเกตอาการผิดปกติอันมีสาเหตุมาจาก ความดันโลหิตสูง เช่นอาการปวดศีรษะ ตาพร่ามัว คลื่นไส้อาเจียน ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด แขนขา อ่อนแรง
- - - - ไม่มีอาการและอาการแสดงของการสูญเสียของสารน้ำและอีเล็กโตรไลท์ในร่างกาย
      - ภาวะน้ำเกิน ได้แก่ ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร กล้ามเนื้อเป็นตะคริว คลื่นไส้ อาเจียน และถ้ามีภาวะน้ำเกินอย่างรุนแรง ระดับโซเดียมจะลดต่ำลงมาก และมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง เฉื่อยชา
      - โปตัสเซียมสูง ถ้าสูงกว่า 6.5 มิลลิอิควิวาเลนต์ต่อลิตร จะมีอาการกล้ามเนื้อกระตุกเป็นตะคริว คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ และถ้ามีระดับสูงมากถึง 8.0 มิลลิอิควิ วาเลนต์ต่อลิตร จะมีอาการเฉื่อยชา ซึม สับสน ไม่มีการเคลื่อนไหวของลำไส้ กล้ามเนื้อการหายใจ
    - - 1.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับสารน้ำที่ปริมาณที่เพียงพอกับสิ่งที่เสียไปในแต่ละวัน ตามแผนการรักษา
      - งดอาหารที่มีโปตัสเซียมสูง เช่น กล้วย ส้ม เนื้อสัตว์ เนื่องจากอัตรากรองที่โกลเมอรูลัสลดลง
      - ดูแลให้ยาผู้ป่วยตามแผนการรักษา โดยให้โซเดียมไบคาร์บอเนตเพื่อลดความเป็นกรดให้ กลูโคสและอินซูลิน เพื่อให้โปตัสเซียมเข้าไปในเซลล์ ให้โซเดียมโพลีสไทรีน ซัลโฟเนต เพื่อขับ โปตัสเซียมออกทางลำไส้
      - บันทึกปริมาณน้ำที่เข้าและออกในแต่ละวันว่าอยู่ในภาวะสมดุลหรือไม่
      - ติดตามผลการตรวจอีเล็คโทรไลท์ในเลือด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ โซเดียม โปตัสเซีม และ แคลเซียม รวมทั้งสังเกตอาการและอาการแสดงถึงการเสียสมดุลของอิเล็กโตร