เทคนิคการให้คำปรึกษาและการประสานกับผู้ปกครองและผู้ที่เกี่ยวข้อง

แนวคิดในการให้คำปรึกษาแก่ผู้ปกครองและผู้เกี่ยวข้องกับเด็กพิการ

สัมพันธภาพและความรู้ความเข้าใจของบุคคลในครอบครัวมีความสำคัญต่อพัฒนาการและความมั่นคงทางอารมณ์และสังคมของสมาชิกทุกคน หากสมาชิกคนใดมีปัญหาทางอารมณ์จะมีผลกระทบต่อสมาชิกคนอื่นๆ และบรรยากาศในครอบครัว ส่งผลต่อบุคลิกภาพ ปฏิสัมพันธ์ รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลกันของสมาชิกในครอบครัว การให้คำปรึกษาแก่ผู้ปกครองและผู้ที่เกี่ยวข้องที่เหมาะสมจะทำให้เด็กพิการได้รับความช่วยเหลือ ส่งผลต่อการสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นเอื้ออาทรและการวางแผนการจัดการศึกษาและการรับบริการที่จำเป็นทำให้เด็กพิการประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิตสามารถเข้าสู่สังคมและพึ่งพาตนเองได้โดยครอบครัวเป็นฐาน

เทคนิควิธีการให้คำปรึกษาแก่ผู้ปกครองและผู้ที่เกี่ยวข้อง

๑. ศึกษาประวัติครอบครัว เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับภูมิหลังของครอบครัวรูปแบบปฏิสัมพันธ์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันโดยให้ผู้รับการปรึกษาเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ ในครอบครัว คนสำคัญในชีวิต

๒. รับฟังเรื่องราวอย่างตั้งใจ จับประเด็นเนื้อหาความรู้สึกเพื่อสื่อกลับให้ผู้รับคำปรึกษารับรู้ตนเองสะท้อนความรู้สึก เพื่อให้ผู้รับการปรึกษาได้ทราบถึงความรู้สึกของตนเอง อาจสะท้อนโดยใช้คำพูดที่แสดงความรู้สึกจากเนื้อความที่ผู้รับการปรึกษาได้พูดมาแล้ว เช่น “ คุณรู้สึกว่า……… ”

๓. ทวนคำพูด การพูดต่อเติมประโยคให้สมบูรณ์การนำคำตอบของผู้รับคำปรึกษามาประกอบการสนทนา

๔. สรุปความ โดยสรุปคำพูดของผู้รับการปรึกษาให้สั้นลง เป็นการให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้รับคำปรึกษา

๕. ยกตัวอย่างประสบการณ์ของตนเองหรือผู้อื่นเพื่อให้ผู้รับคำปรึกษารู้สึกว่าปัญหาที่ตนพบนั้นเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้และผู้อื่นก็เคยประสบมาเช่นกัน

๖. สนับสนุน โดยการพูดให้กำลังใจแก่ผู้รับคำปรึกษาและเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่ผู้รับคำปรึกษาได้ทำนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เช่น “สิ่งที่คุณทำนั้นนับว่าเป็นการเสียสละอย่างมาก”

การประสานงานกับผู้ปกครองและผู้ที่เกี่ยวข้อง

วัตถุประสงค์ของการประสานงาน

๑. เพื่อแจ้งให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทราบ

๒. เพื่อรักษาไว้ซึ่งความสัมพันธ์อันดี

๓. เพื่อขอคำยินยอมหรือความเห็นชอบ

๔. เพื่อขอความช่วยเหลือ

๕. เพื่อขจัดข้อขัดแย้งที่อาจมีขึ้น

๖. เพื่อให้งานสำเร็จตามเป้าหมาย

๗. เพื่อให้งานมีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนดไว้

ประโยชน์ของการประสานงาน

๑. ช่วยให้การทำงานบรรลุเป้าหมายได้อย่างราบรื่นรวดเร็ว

๒. ช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากรในการปฏิบัติงาน

๓. ช่วยให้ทุกผ่ายเข้าใจถึงนโยบายและวัตถุประสงค์ขององค์การ

๔. ช่วยสร้างความสามัคคีและความเข้าใจในหมู่คณะ

๕. เสริมสร้างขวัญของผู้ปฏิบัติงาน

๖. ลดอันตรายจากการทำงานให้น้อยลง

๗. ช่วยลดข้อขัดแย้งในการทำงาน

๘. ช่วยให้ปฏิบัติงานเป็นหมู่คณะและเพิ่มผลสำเร็จของงาน

๙. ช่วยเกิดความคิดใหม่ๆและปรับปรุงอยู่เสมอ

๑๐. ป้องกันการทำงานซ้ำซ้อน

๑๑. การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ประเภทของการประสานงาน

๑. การประสานงานอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ

๒. การประสานงานภายในองค์การและภายนอกองค์การ

๓. การประสานงานในแนวดิ่ง (Top- Down Bottom-up)

เทคนิคการประสานงาน

๑. กำหนดเป้าหมายในการประสานงานให้ชัดเจน

๒. เตรียมข้อมูลที่จะใช้ในการประสานงานให้ครบถ้วนครอบคลุม

๓. ศึกษาข้อมูลของบุคคลหรือหน่วยงานจะประสานงานด้วย

๔. วางแผนการประสานงานที่สอดคล้องกับเป้าหมายและระยะเวลา

๕. เตรียมตนเองให้พร้อมและเหมาะสมตามกาลเทศะ

๖. เคารพและให้เกียรติผู้ที่ประสานงานด้วยรวมทั้งเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น

๗. ประเมินผลการสื่อสารและประสานงานทุกครั้ง

๘. ปรับปรุงและพัฒนาแนวทางการประสานงานจากผลการประเมินทุกครั้ง