Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือด - Coggle Diagram
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือด
การประเมินภาวะสุขภาพผู้ใหญ่ระบบหัวใจและหลอดเลือด
การซักประวัติ
ประวัติการเจ็บป่วยปัจจุบัน
หายใจลําบากหรือเหนื่อยหอบ (Dyspnea)
ภาวะที่ผู้ป่วยรู้สึกถึงความไม่สบายหรือมีการหายใจลําบาก ผู้ปวยอาจอธิบายว่าหายใจไม่พอ หายใจไม่อิ่มหายใจไม่สุดหายใจแน่นเหนื่อยหอบหิวอากาศซึ่งพบไดห้ลังออกกําลังกายหากเกิดขึ้น ในขณะพัก (dyspnea at rest) อาจมีความผิดปกติของหัวใจและทางเดินหายใจ
เจ็บหน้าอกหรือเจ็บอก (Chest pain or discomfort)
เกิดจากหลายสาเหตุทั้งระบบหัวใจและหลอดเลือดเช่น กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ลิ้นหัวใจตบี ระบบทางเดินหายใจเช่น ลิ่มเลือดในปอด ปอดอักเสบ ลมในช่องเยื่อหุ้มปอด ระบบทางเดินอาหาร เช่น แผลเปปติค ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อรวมถึง งูสวัด ความวิตกกังวลหรือซึมเศร้า
ภาวะเขียว (Cyanosis)
ภาวะเขียวจะพบเมื่อค่า arterial oxygen saturation <85% หรือ absolute level of deoxyhemoglobin ใน capillary bed > 5 g/dl ภาวะนี้ แบ่งได้เป็น 2 ลักษณะคือ
1) Central cyanosis:Arterialoxygendesaturation(SaO2ต่ำ)อาจเนื่องจากความผิดปกติในการทํางานของ ปอด จะมีอาการเขียวเมื่อระดับค่าเฉลี่ยของ Hgb ลดต่ำลงถึง 4 gm/dl หรือมี methemoglobin 5 gm% 2) Peripheral cyanosis: เกิดจากหลอดเลือดของผิวหนังหดตัวจากการลดของปริมาตร เลือดออกจากหัวใจ การอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่หนาวเย็นหรือการอุดตันหลอดเลือดแดงหรือหลอดเลือดดํา
หมดสติชั่วคราวหรือเป็นลม (Syncope)
การสูญเสียความรู้สึกตัวหรือหมดสติชั่วคราว แล้วรู้สึกตัวเป็นปกติได้เอง มักเกิดจากการมีปริมาณ เลือดไหลเวียนในสมองลดลง จากการมีความดันโลหิตลดลง หากความดันซิสโตลิคต่ำกว่า 60 mmHg นาน 6-8 วินาทีจะหมดสติได้
ใจสั่น (Palpitation)
อาการที่รับรู้การเต้นของหัวใจที่ผิดปกติทั้งความเร็ว(rate)ความแรง(amplitude)และความ สม่ำเสมอ (regularity) รู้สึกเหมือนสั่นสะเทือนในทรวงอก อาจอึดอัดหรือเจ็บหน้าอกร่วมด้วย ผู้ป่วยอาจ ให้ประวัติ หัวใจเต้นแรง (pounding) หัวใจเต้นเหมือนจะออกนอกทรวงอก (jumping) หัวใจเต้นเร็ว เหมือนกําลังวิ่งแข่ง (racing) หรือ เต้นไม่สม่ำเสมอ (irregular)
บวม (Edema)
อาการบวมเฉพาะที่(localizededema)พบได้บ่อยในส่วนขาถ้าพบทขี่าข้างเดียวมักเกิดจาก deep vein thrombosis หรือ cellulitis ถ้าขาบวม 2 ข้างในเวลาเย็น มักพบในภาวะหัวใจล้มเหลว หรือ chronic venous insufficiency
การตรวจร่างกาย ( Physical examination)
สภาพทั่วไป (general appearance)
ประเมินภาวะสุขภาพโดยรวม ความสมบูรณ์ของร่างกาย ภาวะโภชนาการ ลักษณะโครงสร้างท่าทาง สัดส่วนของร่างกาย ท่าทางเจ็บปวด สุขวิทยาส่วนบุคคล สัญญาณชีพ
ผิวหนัง: ดูสีผิว ประเมินภาวะซีดหรือ cyanosis และ ความตึงตัวของผิวหนัง
ศีรษะและใบหน้า: ใบหน้าบวมใน Myxedema มีการเผาผลาญต่ำและหัวใจเต้นช้า ตาโปน
(exophtalmos) หัวใจเต้นเร็วพบในภาวะ hyperthyroidism อาจทําให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวตามมาได
ช่องท้อง
ตับโตและกดเจ็บเนื่องจากมี venous congestion ในภาวะหัวใจล้มเหลว ถ้าอาการรุนแรงมาก ขึ้นจะพบม้ามโต พบบ่อยในผู้ป่วย constrictive pericarditis หรือ tricuspid valve disease
-ไต มีขนาดใหญ่ มักพบในผู้ป่วยแรงดันเลือดสูงจาก Polycystic disease
-ท้อง อาจพบก้อน (aneurysms of abdominal aorta) บริเวณ ช่องท้องต่ำกว่าสะดือ
แขนและขา:
นิ้วปุ้ม (clubbing of fingers and toes) แสดงว่า เนื้อเยื่อสวนปลายได้รับออกซิเจนน้อยเป็นเวลานานทําใหเนื้อเยื่อมีการขยายตัว เมื่อใชนิ้วชี้ทั้งสองมาประกบกันจะไมสามารถทําใหเล็บชนกันได้ ลักษณะปลายนิ้วจะเหมือนไม้ตีกลอง
การไหลเวียนของเลือดที่สวนปลาย (Capillary refill time) โดยการใหนิ้วกดที่เล็บแลวดูการ ไหลเวียนของเลือดเขามาที่เล็บ คาปกติไมเกิน 2 วินาที
อาการบวม ทดสอบโดยการกดบริเวณขา (pretibial region) ทั้ง 2 ข้าง 10-20 วินาที บริเวณ ดังกล่าวจะบุ๋มลง ซึ่งพบได้บ่อยในผู้ป่วย congestive heart failure
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
การดู (Inspection)
ทรวงอก
การหายใจ ดูความถี่ สม่ำเสมอ ความลึก ของการหายใจและ แรงที่ใช้ในการช่วยหายใจเข้า/ออก
ความผิดปกติของผิวหนัง: เช่น spider nevi-พบใน hepatic cirrhosis
ลักษณะทรวงอก: โครงสร้างของกระดูกทรวงอก เช่น Kyphoscoliosis หรือ Barrel-shaped chest มักพบในผู้ป่วยถุงลมโป่งพอง หลอดลมอักเสบ และ Corpulmonale
การคลํา (Palpation)
เป็นการประเมินการทํางานของหัวใจและหลอดเลือดแดงใหญ่ อาศัยการสั่นสะเทือนจากภายใน ทรวงอกมาสู่ผนังทรวงอกด้านนอก
การเคาะ (Percussion) ตรวจหาขอบเขตและขนาดของหัวใจ ช่วยประเมินภาวะหัวใจโต
การฟัง (Auscultation) เป็นการประเมินภาวะของหัวใจโดยการใช้ Stethoscope ดา้ น diaphragm ใช้ฟังในตําแหน่งที่มีความถี่สูง และ bell ฟังในตําแหน่งที่มีความถี่ต่ำ การฟังเสียงหัวใจปกติ (Heart sounds) จะได้ยิน 2 เสียงคือ S1 S2 แต่เสียง S3 และ S4 จะได้ยินในภาวะผิดปกติ
การตรวจพิเศษต่างๆ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ (Laboratory tests)
Cardiac enzymes ในผู้ที่มีอาการเจ็บหน้าอกได้แก่ ดู cardiac troponin I หรือ T (cTn), CK-MB, myoglobin ซึ่งเดิมใช้ค่า AST, CPK, CK-MB, LD
ฮอร์โมนBrainnatriureticpeptide(BNP)และNTerminal-pro-BNP(NT-proBNP) เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากหัวใจห้องล่างจะถูกหลั่งเข้าสู่กระแสเลือด
การตรวจการแข็งตัวของเลือด (Coagulation studies)
การตรวจพิเศษ
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiography, ECG หรือ EKG)
การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะวิ่งสายพาน/ การเดินสายพาน (Exercise Stress Testing)
การบันทึกติดตามการทํางานคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG Holter Monitoring)
การทดสอบการเป็นลมหมดสติด้วยเครื่องปรับระดับ (Tilt Table Test)
การตรวจทางภาพรังสี (Imaging): เป็นการตรวจการทํางานของหัวใจและหลอดเลือด
การถ่ายภาพรังสีทรวงอก (Plain Chest Radiography, Chest X-ray หรือ CXR)
การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ/ อัลตราซาวน์หัวใจ (Echocardiogram)
การตรวจหัวใจด้วยภาพคลื่นสะท้อนในสนามแม่เหล็ก (Cardiac MRI)
การตรวจสวนหัวใจหรือฉีดสีดูหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Angiography, CAG)
การตรวจระบบไฟฟ้าในหัวใจ (Cardiac Electrophysiology, EP Lab)
การตรวจหลอดเลือดที่คอ (Carotid Doppler Ultrasound)
การตรวจวัดความแข็งตัวของหลอดเลือด (Ankle-Brachial Index, ABI)
กระบวนการพยาบาลผู้ป่วยที่มีโรคหรือผิดปกตขิองหลอดเลือดแดง
ภาวะความดันโลหิตสูง (Hypertension)
อาการและอาการแสดงภาวะความดันโลหิตสูง
ระบบหัวใจและหลอดเลือด ส่งผลให้เหนื่อยหอบ แน่นหรือเจ็บหน้าอก หัวใจหยุดทํางานในที่สุด
ระบบประสาทและสมอง ปวดศีรษะ ตาพร่า ชักเกร็ง หลอดเลือดในสมองตีบ
ไต มีการตีบแข็งของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงไต เกิดภาวะไตวาย ทําให้บวม ปัสสาวะออกน้อย
ตา มีการเปลี่ยนแปลงของจอภาพ หลอดเลือดแดงที่เรตินาตีบ ถ้าเป็นมากจะมีการบวมและ เลือดออก ผู้ป่วยจะปวดตา ตามัวและมองไม่เห็น
การประเมินภาวะสุขภาพ ผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตสูง
การซักประวัติ อาการสําคัญ ได้แก่ มึนงง ปวดศีรษะโดยเฉพาะตอนเช้าหลังตื่นนอน
การตรวจร่างกาย
สภาพทั่วไป
สัญญาณชีพ โดยตรวจชีพจรทั่วร่างกาย โดยเปรียบเทียบกันระหว่างซ้ายและขวา - น้ําหนักและดัชนีมวลกาย รอบเอว ผู้ชายไม่เกิน 36 นิ้ว และผู้หญิงไม่เกิน 32 นิ้ว
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count: CBC)
การตรวจวิเคราะห์ปัสสาวะ (Urinary Analysis: U/A)
การตรวจปัสสาวะหาค่า 24 hrs
การตรวจเลือด
การตรวจรังสีทรวงอก (CXR)
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG or EKG)
การรักษา Hypertension
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม(Lifestylemodification)
อาหารลดความดันโลหิต (Dietary approach to stop hypertension, DASH)
จํากัดการดื่มแอลกอฮอล
ออกกําลังกายแบบแอโรบิก
หยุดสูบบุหรี่
การผ่อนคลายความเครียด
ควบคุมน้ําหนัก วันละ 30-45 นาทีอย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 ครั้ง
การรักษาด้วยยา
ยาขับปัสสาวะ (Diuretics)
ยากลุ่ม Angiotensin converting enzyme inhibitors (ACEI)
ยากลุ่ม Angiotensin II receptor antagonists (ARB)
ยากลุ่ม Calcium antagonists เช่น amlodipine
ยากลุ่มอื่น
ภาวะ Arterial occlusion
อาการและอาการแสดง จะมีอาการปวดขาเวลาเดินหรือออกกําลังกาย และอาการจะหายไปภายใน1-2นาที ถ้าหยุดพัก(Intermittentclaudication)หากเป็นทหี่ลอดเลือด แดงที่เลี้ยงขาจะปวดที่เท้า ขาเย็นและชา ผิวหนัง ขนและเล็บเริ่มผิดปกติ หรือรู้สึกคล้ายเป็นตะคริว ถ้า หลอดเลือดแดงมีการอุดตันมากกว่าร้อยละ 75 จะมีปวดขณะพัก (rest pain) มักปวดในเวลากลางคืน
การประเมินภาวะสุขภาพผู้ที่มีภาวะ Arterial occlusion
การซักประวัติ อาการปวดขณะทํากิจกรรม ความรุนแรง ตําแหน่งที่ปวด ปัจจัยที่ทําให้เกิด อาการและวิธีทําให้อาการทุเลาลง ประวัติการสูบบุหรี่ในอดีตและปัจจุบัน ประวัติไขมันในเลือดสูงและ พฤติกรรมการรับประทานอาหาร ประวัติการเป็นความดันโลหิตสูง เบาหวาน
การตรวจร่างกาย:
ชีพจรส่วนปลาย โดยการคลําหลอดเลือดแดงที่แขนบริเวณ brachial และ radial artery สว่ นที่ ขาคลําที่ femoral, popliteal และ dorsalis pedis รวมทั้ง posterior tibial artery ประเมินความแรง เปรียบเทียบ2ข้างจะพบชีพจรผิดปกตใินส่วนที่ต่ำกว่าการตีบตัน(มักใช้เครื่องDopplerตรวจร่วมด้วย)
สังเกตลักษณะของผิวหนัง เล็บและขน บนขาและแขน ดูการแตกของผิวหนัง สีผิวเปลี่ยนแปลง ถ้ารุนแรงมากสีผิวจะเขียวคล้ําและเนื้อเน่าตาย การรับรู้สัมผัสลดลงร่วมกับรู้สึกเหมือนมีของแหลมทิ่มแทง
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจวัดความแข็งตัวของหลอดเลือด (Ankle brachial index: ABI)
การตรวจหลอดเลือดแดงด้วยภาพคลื่นสะท้อนในสนามแม่เหล็ก (Magnetic resonance Angiography: MRA)
การรักษา
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
การให้ยาในกลุ่มต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือด (Antiplatelet)
การผ่าตัด
การผ่าตัดเอาลิ่มเลือดออก (Embolectomy) หรือเอาสิ่งอุดตันในหลอดเลือดออก (Thrombectomy) เอาก้อนเลือดออก (Endarterectomy)
การใส่สายสวนเพื่อถ่างขยายหลอดเลือด (Angioplasty, Stenting)
การทําทางเบี่ยง (Peripheral bypass surgery)
การตัดอวัยวะที่ขาดเลือดออก (Amputation)
ภาวะหลอดเลือดแดงโป่งพอง (Arterial Aneurysm)
อาการและอาการแสดง บางรายผู้ป่วยอาจมีอาการปวดท้องปวดหลังหรือ อาการอื่นเช่น ureteric obstruction มีลิ่มเลือดอุดตันที่ขา หากเกิดภาวะ rupture Abdominal aortic aneurysm จะปวดท้องอย่างรุนแรง ความดันโลหิตต่ําและคลําได้ pulsatile mass ที่ผนังหน้าท้อง
การประเมินภาวะสุขภาพ
การซักประวัติ อาการปวดหลังและปวดท้องอย่างรุนแรง หรือเจ็บหน้าอก ถ่ายเป็นเลือดและปวดท้องภายหลัง รับประทานอาหาร :
การตรวจร่างกาย
คลําพบก้อนทยี่ อดอกหรือสะดือโดยมีจังหวะการเต้นตามชีพจรและฟังเสียงที่ก้อนได้ (pulsatile mass) ควรคลําชีพจรเปรียบเทียบความแรงทั้งสองข้าง
การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
การตรวจความสมบูรณ์ของเลือด (CBC) บอกถึงการเสียเลือด
การตรวจพิเศษ โดยการถ่ายภาพรังสีทรวงอก (CXR) การฉีดสีตรวจหลอดเลือดแดง (CT
Angiography) และการทําอัลตราซาวน์ช่องท้อง
การรักษา การผ่าตัด ป้องกันไม่ให้ aneurysm ขยายขนาด ก่อนจะเกิดการแตก
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีโรคหรือผิดปกติของหัวใจ
โรคหลอดเลือดแดงโคโรนารี (Coronary artery disease, CAD)
อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจ
ไม่มีอาการ เมื่อเริ่มมีหลอดเลือดตีบ
มีอาการและอาการแสดง หากหลอดเลือดแดงตีบร้อยละ 50 ขึ้นไป อาการที่พบเชน เจ็บเค้นอก
อาการอื่นได้แก่ ใจสั่น เหงื่อออก เหนื่อยขณะออกแรง เป็นลม หมดสติ หรือเสียชีวิตเฉียบพลัน
อาจมีอาการของหัวใจล้มเหลว ช่น เหนื่อยง่าย หัวใจเต้นเร็ว บวมหน้าแขน/ขา
การประเมินภาวะสุขภาพผู้ที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจ
การซักประวัติอาการเจ็บแน่นหน้าอกประวัติเจ็บป่วยในอดีตเพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยที่รวดเร็วและได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ป้องกันการเกิดอันตรายต่อชีวิตและลดการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายมากขึ้น
การตรวจร่างกาย
อาจไม่พบความผิดปกติ ในรายที่อาการรุนแรงจะพบ สัญญาณชีพผิดปกติ เช่น ความดันโลหิตต่ำจังหวะการเต้นของหัวใจและการหายใจผิดปกติ ระดับความรู้สึกตัวลดลง ผิวหนังเย็นชื้น คลื่นไส้ อาเจียน หากหัวใจข้างซ้ายวาย ฟังปอดอาจพบ Crepitation ที่ปอดทั้งสองข้าง
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
-cardiacenzymes*ที่บ่งชถี้ึงการตายของกล้ามเนื้อหัวใจเช่นTroponinT(TnT), Myoglobin, Total CPK, CK-MB ระดับ cardiac enzymes ที่สูงเกินค่าปกติ เป็นตัวบ่งบอกว่ามีการ ตายของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจจากการขาดเลือด
การส่งตรวจ SGOT, LDH ค่าจะอยู่ในระดับสูงกว่าปกติ
การตรวจไขมันในเลือด เพื่อหาปัจจัยเสี่ยง ควรตรวจภายใน 24 ชั่วโมงเพราะจะลดลงหลัง 24 ชั่วโมงแรกของ MI
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete blood count, CBC) จะพบเม็ดเลือดขาว (WBC) มีค่าสูงขึ้นระหว่าง 12,000-15,000 ลูกบาศก์มม. ซึ่งจะสูงในระยะแรกและคงอยู่ 3-7 วัน หลัง เกิดอาการเจ็บหน้าอก
การตรวจ Erythrocyte sedimentation rate (ESR) พบอัตราการตกตะกอนของเม็ด เลือดแดงมีค่าสงขึ้นอย่างช้าๆ และค่าสูงอยู่นานเกินกว่าสัปดาห์
การตรวจพิเศษอื่นๆ
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG)*
การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกําลังกาย (Exercise stress testing)
การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (Coronary arteriography)
การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (Echocardiography) ประเมินการบีบตัวของหัวใจและดูภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น Mitral regurgitation
การตรวจหัวใจด้วยภาพคลื่นสะท้อนในสนามแม่เหล็ก (Magnetic resonance imaging)
การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ
ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เชน่ การรับประทานอาหารปริมาณที่เหมาะสมไม่ทํา ใหเ้กิดภาวะอ้วนและน้ําหนักเกิน จํากัดอาหารไขมัน จํากัดอาหารแป้งและน้ําตาล จํากัดอาหารเค็ม/เกลือโซเดียม ออกกําลังกาย และเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงโดยเฉพาะการสูบบุหรี่
ดูแลควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง
การรักษาด้วยยาต่างๆ ตามอาการ เช่น ยาขยายหลอดเลือดหัวใจ ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่นยา Aspirin ยาลดไขมันในเลือด
การรักษาในภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
การรักษาด้วยยา 3 กลุ่ม
ยาต้านเกร็ดเลือด (Antiplatelet agents) เป็นยาขัดขวางการเกาะกลุ่มของเกร็ดเลือด ที่ นิยม คือแอสไพริน (Aspirin), Clopidogrel
ยาละลายลิ่มเลือด (Thombolytic หรือ fibrinolytic agents) ช่วยละลายลิ่มเลือดที่อุดตัน ในหลอดเลือดแดงโคโรนารี
ยาต้านการเเข็งตัวของเลือด (Anticoagulant agents) ออกฤทธิ์กระตุ้นการทํางานของ Antithrombin III ทําให้ปัจจัยการแข็งตัวของเลือดหมดไป
การสวนหัวใจ และพิจารณาเปิดหลอดเลือดหัวใจ
การขยายหลอดเลือดโดยการใช้บอลลูนร่วมกับเครื่องมือใหม่ (Percutaneous Coronary Intervention, PCI) คือ การนําเอาเทคโนโลยีใหม่มาใช้เพื่อลดการตีบซ้ํา
การขยายหลอดเลือดหัวใจตีบด้วยบอลลูน (Percutaneous Transluminal Coronary Angioplasty, PTCA)
การผ่าตัดทําทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ หรือ การทําทางเดินของหลอดเลือดใหม่ (Coronary Artery Bypass Grafting, CABG หรือ Bypass) เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจในเส้นทางใหม่
ภาวะหัวใจห้องบนสั่น (Atrial fibrillation, AF)
การประเมินภาวะสุขภาพผู้ที่มีภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว
การซักประวัติ สอบถามระยะเวลา ความถี่ ความรุนแรง ปัจจัยกระตุ้น ผู้ป่วยบาง รายอาจไม่มีอาการใจสั่นหรือเหนื่อยขณะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Subclinical)
การตรวจร่างกาย
เมื่อมี AF อาจมี drop beat หรือ pulse deficit คือ อัตราการเต้นหัวใจการฟังหัวใจได้มากกว่า จับชีพจร เสียง S1 มีความดังที่หลากหลาย อาจพบความผิดปกติอื่นร่วมด้วย
การตรวจพิเศษ
EKG
CXR
Echocardiogram
Thyroid function test
Holtermonitoring
การประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน
ปัจจัยเสี่ยงสูง(Majorriskfactors(ข้อละ2คะแนน):1)อายุ≥75ปี2)มีประวัติเคยเป็น stroke, transient ischemic attack หรือ thromboembolism
ปัจจัยเสี่ยง (Clinically relevant non-major risk factors
1) โรคหัวใจล้มเหลว
2) โรคความดันโลหิตสูง
3) โรคเบาหวาน
4) โรคหลอดเลือดผิดปกติ
5) อายุ
6) เพศหญิง
การป้องกันภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว
การป้องกันการเกิด thromboembolism (clot control) จะประเมินความเสี่ยง Ischemic stroke โดยใช้ CHA2DSc score มีคะแนน 0-9 (หากเสี่ยงในการเกิด 0- 15 %) พิจารณาให้ anticoagulant ทุกราย โดยประเมินความเสี่ยงการมีเลือดออกก่อนให้ยา ยาที่ให้คือ warfarin มี เป้าหมายของ INR 2-3 หากมีการเปลี่ยนลิ้นหัวใจอาจมีค่าเป้าหมาย INR ที่ 2.5-3.5 ปัจจุบันเริ่มใช้ยากลุ่ม ใหม่ new oral anticoagulant (NOAC)
การรักษาภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว
การรักษาด้วยยา
ยาเพื่อให้ EKG เป็น sinus rhythm เช่น Amiodarone ซึ่งต้องระวัง QT prolong
ยากลุ่มอื่นเพื่อควบคุม ventricular response และป้องกัน clot จะใช้ยาที่มีฤทธิ์กด AV
node ได้แก่ 1) ยาปิดกั้นเบตา เช่น Carvedilol 2) ยาปิดกั้นแคลเซียม เช่น Verapamil, Diltiazem 3) ยาดิจิทาลิส Digoxin
การช็อกหัวใจด้วยไฟฟ้า (cardioversion) เพื่อปรับอัตราการเต้นของหัวใจใหม่ ซึ่งต้องระวังการเกิดลิ่มเลือด จะต้องให้ Heparin หาก AF เกิดขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง
การจี้ด้วยไฟฟ้า (radiofrequency ablation) 4) การรักษาด้วยการผ่าตัด (AF surgery)
การพยาบาลผู้ป่วยโรคลิ้นหัวใจผิดปกติ (Cardiac valvular disease, Valvular heart disease, Heart valve disease)
โรค Mitral Stenosis
โรค Mitral Regurgitation
โรค Aortic Stenosis
โรค Aortic Regurgitation
อาการและอาการแสดง ส่วนใหญ่ไม่มีอาการผิดปกติ อาจพบหัวใจเต้นแรง รู้สึกได้ที่บริเวณ carotid และ temporal
การประเมินภาวะสุขภาพผู้ที่มีโรคลิ้นหัวใจผิดปกติ
การซักประวัติหอบเหนื่อย
การตรวจร่างกายสัญญาณชีพชีพจรไม่สม่ำเสมอหอบเหนื่อยขาบวมเสียงฟู
การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
การถ่ายภาพรังสีทรวงอก (CXR) เช่น หัวใจโต หรือเส้นเลือดไปปอดขยายใหญ่
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) เช่น QRS สูงจากหัวใจโต P wave ไม่ชัดเจน หากไมตรัล ตีบ หรือพบ AF
การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (Echocardiogram) บอกความรุนแรงของลิ้นหัวใจ
การตรวจเลือด หาสาเหตหรือโรคร่วม
การรักษาผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของลิ้นหัวใจ
การรักษาด้วยยาได้แก่1)ยาดิจิทาลิสรักษาอาการเต้นเร็วของเวนตริเคิล2)ยาต้านการแข็งตัวของ เลือดลดการเกิด thrombus 3) ยาปฏิชีวนะ 4) ยาขับปัสสาวะหากมีภาวะหัวใจล้มเหลว
การรักษาด้วยวิธีการขยายหรือถ่างลิ้นหัวใจตีบด้วยบอลลูน (Balloon valvuloplasty) การเปลี่ยนลิ้น หัวใจผ่านทางสาย (Transcatheter aortic valve replacement) โดยไม่ต้องผ่าตัด
การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดเปลี่ยนหรือซ่อมแซมลิ้นหัวใจ เมื่อมีข้อบ่งชี้ เช่น Closed mitral valvotomy, open mitral valvotomy, Mitral valve repair, Aortic valve repair, Valve replacement
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของหัวใจเนื่องจากการอักเสบติดเชื้อ
การอักเสบที่เยื่อบุหัวใจ (Infective Endocarditis)
อาการและอาการแสดง
โดยทั่วไปผู้ป่วยจะมี อาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ได้แก่ครั่นเนื้อตัว มีไข้เป็นๆหายๆไอเบื่ออาหารน้ําหนักตัวลดปวดหลังและ ข้อ เมื่อลิ้นหัวใจถูกทําลายมากขึ้นจะได้ยินเสียง murmur อาจพบความผิดปกติของระบบประสาทเช่น ปวดศีรษะ หรือ stroke จากการอุดตันเส้นเลือด
การอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจ (Myocarditis)
อาการและอาการแสดง
อาการไม่รุนแรงหรือปานกลาง จะอ่อนเพลีย เหนื่อยหอบ ใจสั่น รู้สึกไม่สุขสบาย หรือเจ็บอก อืดแน่นท้อง เป็นบางครั้ง ถ้ารุนแรงจะพบอาการของหัวใจล้มเหลว หรือหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
การอักเสบของเยื่อหุ้มหัวใจ (Pericarditis)
อาการและอาการแสดง เจ็บบริเวณหน้าอก คอ ใต้ไหปลาร้าและสะบักด้านซ้าย โดยมีอาการมาก ขึ้นเมื่อหายใจเข้าลึกๆ นอนราบหรือพลิกตัว และอาการลดลงเมื่ออยู่ในท่านั่งหรือโน้มตัวไปด้านหน้า (leaning forward) ตรวจร่างกาย ฟังหัวใจมีเสียง friction rub
การพยาบาลผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจเสื่อมหรือกล้ามเนื้อหัวใจพิการ (Cardiomyopathy)
การประเมินภาวะสุขภาพผู้ที่มีโรครคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกต
การซักประวัติอาการสําคัญประวัติการเจ็บป่วยปัจจุบันประวัติเจ็บป่วยในอดีต
การตรวจร่างกาย สัญญาณชีพ น้ําหนักตัวเพื่อประเมินการคั่งของน้ํา ฟังเสียงหัวใจ ฟังเสียงปอด เพื่อประเมินภาวะน้ําคั่งในปอด รวมถึงการมี jugular vein distention
การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
การตรวจเลือด: ตรวจการทํางานของไต ตับและต่อมไทรอยด์ ตรวจหาระดับของเหล็ก การตรวจฮอร์โมน BNP และการตรวจทางพันธุกรรม (Genetic testing or screening)
การถ่ายภาพรังสีทรวงอก (CXR)
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG)
การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ/ อัลตราซาวน์หัวใจ (Echocardiogram)
การตรวจอื่นๆเช่น การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกําลังกาย (Exercise Stress Testing) การตรวจหัวใจด้วยภาพคลื่นสะท้อนในสนามแม่เหล็ก (Cardiac MRI) การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Angiography, CAG)
การรักษา ตามอาการ และรักษาภาวะหัวใจล้มเหลว
ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart failure)
สาเหตุและปัจจัยชักนําของการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว
สาเหตุพื้นฐาน (Underlying cause)
ความสามารถในการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจลดลงจากพยาธิสภาพ
กล้ามเนื้อหัวใจทํางานหนัก
สาเหตุชักนํา (Precipitating cause)
การมีภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ
การอุดตันภายในหลอดเลือดแดงปอด
การติดเชื้อ
ภาวะโลหิตจาง
สาเหตุอื่น ๆ ได้แก่ การออกกําลังกายมากเกินไป การรับประทานอาหารไม่เหมาะสม
อาการและอาการแสดงของภาวะหัวใจล้มเหลว
อาการเหนื่อยหอบ (Dyspnea) เป็นอาการสําคัญ ความรุนแรงจากน้อยไปถึงมาก
เหนื่อยเวลาออกแรง (Dyspnea on exertion, DOE)
เหนื่อยเมื่อนอนราบ (Orthopnea)
เหนื่อยหอบในเวลากลางคืน (PND)
เหนื่อยหอบจากภาวะน้ําท่วมปอด (Pulmonary edema)
ไอ
ภาวะสมองพร่องออกซิเจน (Cerebral anoxia)
อ่อนเพลีย (Weak) และอ่อนล้า (Fatigue)
บวม (Edema)
อาการของระบบทางเดินอาหาร
หลอดเลือดดําใหญ่บริเวณคอโป่งพอง (Neck vein engorged)
การประเมินภาวะสุขภาพผู้ที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว
การซักประวัติ
อาการสําคัญ
หัวใจห้องซ้ายล้มเหลว มีอาการหอบเหนื่อย สอบถามมีเหนื่อยขณะออกกําลัง นอนราบ ไม่ได้ต้องลุกขึ้นมานั่งตอนกลางคืน พบในโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ลิ้นหัวใจ เบาหวาน ความดันสูง พิษ สุราเรื้อรัง ต่อมไร้ท่อ
หัวใจห้องขวาล้มเหลว จะมีขาบวม ท้องมานน้ํา มักพบหลังห้องซ้ายล้มเหลว
ผลกระทบจากอาการเหนื่อย
ประวัติเจ็บป่วยในอดีต การใช้ยาหรือการเจ็บป่วยเช่น โลหิตจาง ไทรอยด์ ติดเชื้อในเลือด
การตรวจร่างกาย
ลักษณะทั่วไป เช่น หายใจหอบเหนื่อย นอนราบไม่ได้ บวม ซีด เขียว
สัญญาณชีพ ชีพจรเบาเร็ว ความดันต่ำ ความดันชีพจรแคบหรือกว้าง มีไข้หากติด เชื้อ หรือเป็นผลจากหัวใจล้มเหลว
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ระบบทางเดินหายใจ
ระบบทางเดินอาหาร
กระบวนการพยาบาลผู้ป่วยที่มีโรคหรือผิดปกตขิองหลอดเลือดดํา
ภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดดําลึกส่วนปลายหรือลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดํา (Deep vein thrombosis, DVT)
อาการและอาการแสดง
calf vein thrombosis ปวดร้อนที่น่อง บวมบริเวณข้อเท้า ไข้ต่ำๆ
iliofemoral thrombosis ปวดทั่วทั้งขา มีบวมแบบ Pitting edema ซึ่งอาการบวมนั้นจะ กระจายไปเหนือเข่า
การประเมินภาวะสุขภาพผู้ป่วยที่มีภาวะผิดปกติของหลอดเลือดดํา:
การซักประวัติ อาการสําคัญเช่น อาการปวด บวม มีประวัติเคยเป็นมาก่อน ประวัติเจ็บป่วยในอดีต ปัจจัยเสี่ยง
การตรวจร่างกาย
ปวดข้อเท้า น่อง กระจายไปทั่วทั้งขา มีบวมกดบุ๋มซึ่งกระจายไปเหนือเข่า กดเจ็บแนวหลอด
เลือดดําที่ขา ผิวอุ่นและสีคล้ํากว่าข้างปกติ เห็น superficial collateral vein ชัดเจน
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจ CBC และ blood smear
การตรวจ coagulogram ได้แก่ PT, aPTT, TT
การตรวจการทํางานของตับ ไต
การตรวจ D-dimer ซึ่งเป็นโปรตีนเกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือดหากผลเป็นบวก (> 500 ng/ml) จะได้รับการตรวจ compressive doppler ultrasound (CDU) เพื่อยืนยัน
การใช้คลื่นเสียงความถี่สูงตรวจหลอดเลือดดํา (Venous ultrasound) โดยกด probe บนหลอด เลือดดําซึ่งจะต้องยุบลงหมด หากไม่ยุบแสดงว่ามีลิ่มเลือด หรือการทํา doppler ultrasound หากมี DVT เหนือเข่า เพราะเส้นเลือดใหญ่จะเห็นชัด
การฉีดสีเข้าทางหลอดเลือดดํา(Venography)
การตรวจอื่นเช่น Antiphospholipid (APL) antibodies เช่น Lupus anticoagulant (LAC),
Protein S, Protein C, Antithrombin
การรักษา แบ่งเป็น 3 ช่วง คือ ช่วง 7 วันแรก ช่วง 3 เดือนแรก และช่วงหลัง 3 เดือน
ให้สารน้ําอย่างเพียงพอ
ให้ผู้ป่วยนอนพัก
รักษาโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น ผู้ป่วยภาวะที่มีหัวใจวายการรักษาภาวะนี้ก็เป็นการเพิ่มการ ไหลเวียนเลือดจากหัวใจให้ดีขึ้น ลดการคั่งของเลือดในขา เป็นต้น
ให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulants)
ภาวะเส้นเลือดขอด (Varicose vein)
สาเหตุการเกิดภาวะหลอดเลือดดําขอด แบ่งได้เป็น 2 สาเหตุหลัก
Primary varicose vein เป็นสาเหตุหลักของการเกิดเส้นเลือดขอด
Secondary varicose vein เส้นเลือดขอดประเภทนี้มักเกิดตามหลังภาวะลิ่มเลือดอุดตัน (DVT) ได้เพราะ DVT ทําให้เกิดการ อุดตันของหลอดเลือดดําหรืออาจเป็นผลมาจากการทําลายลิ้น (ลิ้นรั่ว venous incompetence) ก็ได้
อาการและอาการแสดง
ปวดขา ปวดหลอดเลือดดําที่โป่งออกของเส้นเลือดขอดหรืออาจเจ็บทั้งขา รู้สึกหนักขาด้านที่มี เส้นเลือดขอด อาการจะแย่ลงเมื่อยืน หรือก่อนมีประจําเดือนและมักจะเป็นมากในช่วงฤดูร้อน อาการดีขึ้น เมื่อเดินและนอน ร่วมกับยกขาสูง
บวม มักจะมีอาการปวดร่วมด้วย
ตะคริว (Cramps) ที่ขา
การประเมินภาวะสุขภาพ
การซักประวัติ ประกอบด้วย
อาการที่เกิดขึ้นครั้งแรก อาชีพ การตั้งครรภ์ ประวัติเจ็บป่วยในอดีต
การตรวจร่างกาย
หลอดเลือดดําขอดที่ผิวหนัง มีผิวหนังสีเข้มขึ้นและบวมที่บริเวณหน้าแข้ง ในท่ายืน
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ: การฉีดสีเข้าทางหลอดเลือดดํา (Venography)
การรักษา
การรักษาแบบประคับประคอง (Conservative treatment) อาการจะดีขึ้นหากนอนให้ยกขา
สูงกว่าลําตัวเล็กน้อย และใช้ถุงน่องรัดที่ขาเวลาเดินหรือยืน
การผ่าตัด การทํา venous stripping และ vein avulsion เพื่อกําจัดเส้นเลือดขอดและสาเหตุ
ที่ทําให้เป็นเส้นเลือดขอด
ภาวะหลอดเลือดดําอักเสบ (Thrombophlebitis)
อาการและอาการแสดงผู้ป่วยที่มีภาวะผิดปกติของหลอดเลือดดํา
ปวด บวม แดง (erythema) , หลอดเลือดดําเป็นลําแข็ง บริเวณส่วนปลาย บวม ซีดและเย็น
ปวดน่องเวลากระดกปลายเท้าขึ้น (dorsiflexion) หรือมี positive Homan's sign
การประเมินภาวะสุขภาพ
การซักประวัติ อาการปวด บวม ปวดน่องร่วมด้วย ประวัติเจ็บป่วยในอดีต
การตรวจร่างกาย
บันทึกน้ําหนักตัว สังเกตบริเวณหลอดเลือดดําที่อยู่ตื้น คลําอุณหภูมิของผิวหนัง
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การฉีดสารทึบแสงเข้าทางหลอดเลือดดํา (Venography)
การใช้คลื่นเสียงความถี่สูงชนิดพิเศษตรวจเลือดเลือดดํา (Doppler Ultrasonography)
การรักษาและป้องกัน
หยุดฉีดยา หรือเปลี่ยนตําแหน่งที่ฉีดยาใหม่
ยกบริเวณที่อักเสบให้สูงขึ้น ประคบด้วยความร้อน พันผ้าด้วยแผลเพื่อลดบวม
ให้ยาแก้ปวด , NSAIDs (ชนิดทา , รับประทาน) หรือ Antibiotics หากเกิดการติดเชื้อ