Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาความผิดปกติของทางเดินหายใจ - Coggle Diagram
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาความผิดปกติของทางเดินหายใจ
การประเมินภาวะสุขภาพ
การซักประวัติ
ประวัติเจ็บป่วยปัจจุบัน
อาการเหนื่อยหอบ (Dyspnea)
อาการไอ (Cough)
ไอเป็นเลือด (Hemoptysis)
เจ็บหน้าอก (Chest Pain)
การตรวจร่างกาย
ลักษณะทั่วไป
การตรวจทางเดินหายใจส่วนบน
การตรวจทางเดินหายใจส่วนล่าง
การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพเิศษ
การตรวจทางโลหิตวิทยา (Hematology)
การตรวจเสมหะ (Sputum examination/sputum culture)
การวิเคราะห์น้ำในชิองเยื่อหุ้มปอด (Pleural fluid analysis)
การตรวจทางรังสี
ข้อวินจิฉัยทางการพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการตรวจพิเศษ
พร่องความรู้เกี่ยวกับการตรวจพิเศษ
เสี่ยงต่อการแพ้สารทึบแสง / มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการฉีดสารทึบแสง
เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนหลังการตรวจ pulmonary angiography
มีโอกาสสูดสำลักหลังไดรับยาสลบ
เสี่ยง/ มีการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อทางเดินหายใจ หลังการตรวจ bronchoscopy
มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนเช่น bronchospasm, laryngospasm, hypoxemia, bleeding,
การรักษาผู้ป่วยที่ได้รับการบำบัดในระบบทางเดินหายใจ
1.การบำบัดด้วยออกซิเจน (Oxygen Therapy)
ข้อบ่งชี้ในการให้ออกซิเจน
2.ผู้ที่เสี่ยงเกิดภาวะพร่องออกซิเจนในเลือดในภาวะวิกฤตหรือหลังผา ตัดที่มีฤทธิ์ยาสลบตกค้าง
ภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรัง
กล้ามเนื้อหัวใจตาย
ผู้ที่ต้องรักษาเฉพาะ เช่น คาร์บอนมอนอกไซด์เป็นพิษ
ผู้มีภาวะพร่องออกซิเจนในเลือด ค่า PaO2 60 มม.ปรอท หรือ SpO2 90%
วิธีการให้ออซิเจน
Nasal cannula
Mask non bag
Partial rebreathing mask
Non rebreathing mask
การพยาบาล
อธิบายเหตุผลการให้ออกซิเจนอย่างคร่าวๆแก่ผู้ป่วยและญาติ เพื่อลดความวิตกกังวล
ดูแลทางเดนิ หายใจให้โล่งเพื่อส่งเสริมการได้รับออกซิเจน
ให้ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ เพื่อให้เสมหะอ่อนตวัขับออกง่าย
ควรหมั่นดูแลทำความสะอาดปาก
เครื่องบริหารปอด (Incentive spirometry)
ข้อบ่งชี้ในการใช้ Incentive spirometry
ผู้ป่วยหลังผ่าตัดช่องอก ช่องท้อง เพื่อป้องกันปอดแฟบ
ผู้ป่วยที่นอนนานๆ และ ผู้สูงอายุ เพื่อส่งเสริมการขับเสมหะ
วิธีใช้ Incentive spirometry
จัดท่าผู้ป่วยศีรษะสูง หรือให้อยู่ในท่านั่งมากกว่า 45 องศาเพื่อส่งเสริมการขยายตัวของปอด
ให้หายใจ เข้า ออก ลึกๆยาวๆ
ให้ผู้ป่วย อม mouth piece ของ spirometer ปิดริมฝีปากให้สนิท
สูดลมหายใจเข้าเต็มที่ ช้าๆ ลึกๆ ให้บอลใน spirometer ลอยสูง คงไว้ให้นานที่สุด 5-10 นาที
ทำติดต่อกัน 5-10 ครั้ง/ ชั่วโมง แล้วพัก ทำทุก 1-2 ชั่วโมง
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดบริเวณทรวงอก (Thoracic surgery)
การเจาะปอด (thoracentesis/ thoracocentesis, pleural tap, needlethoracostomy)
การใส่ท่อระบายทรวงอก (tube thoracostomy, Intercostal drainage, ICD)
การต่อสายระบาย
การต่อแบบขวดเดียว โดยมีน้ำท่วมปลาย tube 2-3 ซม.
การต่อแบบสองขวด มีขวดแรกเป็นขวดรองรับน้ำหรือเลือดที่ระบายออกมา (trap bottle)
การต่อแบบ 3 ขวด เหมือนกับการต่อแบบ 2 ขวดที่เพิ่มขวดที่ 3 ไว้สำหรับต่อ suction
การดูแลผู้ป่วยใส่สายท่อระบายทรวงอก
1.บันทึกตำแหน่งของท่อระบายทรวงอกให้อยู่ตำแหน่งเดิม
ดูแลการทำงานของระบบดูแลให้ระดับน้ำที่ปลายแทงแก้วอยู่ใต้นำ้ 2-3 ซม
สังเกตการหายใจของผู้ป่วย กระตุ้นการทำ deep breathing exercise
ประเมินอาการปวด ดูแลให้ได้รับยาแก้ปวดหลังใส่สาย
การทำ Thoracotomy
การผ่าตัดเปิดลงไปในช่องทรวงอก ซึ่งอวัยวะมีทั้งปอด หัวใจและอวัยวะอื่นๆ เพื่อระบายเลือด หนองหรืออากาศในทรวงอก
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
แบบแผนการหายใจไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจากมีหนองในช่องเยื่อหุ้มปอด
-วัดสัญญาณชีพ โดยเฉพาะอุณหภูมิ ทุก 4 ชั่วโมง
ประเมินภาวะพร่องออกซิเจนจากระดับความรู้สึกตัว ลักษณะการหายใจ อาการหอบเหนื่อย สีผิว ปลายมือปลายเท้า ทุก 4 ชั่วโมง
ฟังเสยีงปอดเป็นระยะๆ เมื่อมีอาการเหนื่อยหอบ
ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะโดยเร็วที่สุดภายหลังเก็บเสมหะ/เลือดส่งตรวจ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ
ความผิดปกติในทางเดินหายใจส่วนบน (Upper respiratory disorders)
โรคคออักเสบหรือ คอหอยอกัเสบ (Pharyngitis)
สาเหตุของคออักเสบ
เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Rhinovirus, Adenovirus และ Coronavirus รองลงมาเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
อาการและอาการแสดง
คออักเสบจากเชื้อไวรัส ใช้เวลาฟักตัว 1-3 วันอาการน้ำมูกใสไหล ไอ เสียงแหบ มีไข้ต่ำ
คออักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย ใช้เวลาฟักตัว 2-5 วัน มีจุดหนองที่คอหอย ไข้สูง
ภาวะแทรกซ้อนของคออกัเสบ
เชื้อกลุ่มสเตรปโตค็อกคัสอาจลุกลามบริเวณใกลเคียงเกิดไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ
การวินิจฉัย
ประวัติอาการของผู้ป่วย
การตรวจร่างกาย. ตรวจดูในลำคอ คลำต่อมน้ำเหลืองลำคอ
การรักษา
รักษาตามสาเหตุและการรกัษาประคับประคองตามอาการ
ให้ยาปฏิชีวนะ 5-14 วัน หากมีลักษณะการติดเชื้อ GABHS
ต่อมทอนซิลและต่อมอดีนอยด์อักเสบ (Tonsillitis & Adenoiditis)
อาการและอาการแสดง
เจ็บคอมาก กลืนลำบาก ไข้สูงมากกว่า 38.3 องศาเซลเซียส หนาวสั่น ปวดศีรษะ
ภาวะแทรกซ้อน
ฝีรอบต่อมทอนซิล (Peri tonsillar abscess)
การรักษา
การรักษาด้วยยา
การผ่าตัด: ผ่าตัดต่อมทอนซิล (Tonsillectomy)
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
ไม่สุขสบายเนื่องจากปวดจากมีการอักเสบของต่อมทอนซิล
วางกระเป่าน้ำแข็งบริเวณคอเพื่อบรรเทาปวด
ดูแลให้ประทานยาแก้ปวดทุก 4- 6 ชั่วโมง และรับประทานก่อนอาหาร 30 นาที เพื่อบรรเทาปวดขณะกลืน
มีไข้เนื่องจากการอักเสบและติดเชื้อ
กลั้วคอบ่อยๆด้วยน้ำเกลืออุ่นๆและแปรงฟัน หลังอาหาร
ดูแลให้ได้รับนำ้อย่างเพียงพอเพื่อขับเสมหะได้ง่าย
ไซนัสอักเสบหรือโพรงอากาศข้างจมูกอักเสบ (Sinusitis, Rhinosinusitis)
พยาธิสภาพ
เกิดจากมีการติดเชื้อจากจมูกเข้าสู่ไซนัสโดยเชื้อโรคผ่านรูเปิดหรือสิ่งสกปรกเข้าจมูกจากการว่ายน้ำหรือรากฟันอักเสบ มีเชื้อเข้าทาง Maxillary sinus ซึ่งส่งผลให้เยื่อบุในไซนัสบวม รูเปิดระหว่างไซนัสและจมูกอุดตัน เยื่อบุจะสร้างเมือกเพิ่มขึ้นเเละค้างอยู่ในไซนัสเป็นเวลานาน ทำให้ออกซิเจนในโพรงไซนัสถูกดูดซึมเกิดความดันลบ รบกวนการทำงานของขนกวัด เมื่อปริมาณน้ำเพิ่มมากขึ้นจะปวดและเม่ือมีการคั่งค้างจะเกิดการติดเชื้อตามมา
อาการและอาการแสดง
ปวด กดเจ็บบริเวณโพรงอากาศข้างจมูก มักเป็นในช่วงเวลาตื่นนอนตอนเช้า คือ คัดจมูก
การประเมินภาวะสุขภาพ
การรักษา
กำจัดสาเหตุเช่น โรคหวัดภูมิแพ้ ริดสีดวงจมูก ฟันผุ
การให้ยา
การระบายน้ำหรือหนองในโพรงอากาศข้างจมูก
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
-การหายใจไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจากคัดจมูกและมี nasal packing
ประเมินสัญญาณชพี และการมีเสมหะคั่งค้างในทางเดินหายใจ
จัดให้นอนศีรษะสูง เพื่อลดอาการบวม
ประคบเย็น เพื่อห้ามเลือดและบรรเทาปวด ในช่วงแรกและเมื่อผ่าน48 ชั่วโมง หลังผ่า ตัดให้ประคบอุ่นเพื่อให้ยุบบวมและบรรเทาปวด
เลือดกำเดา (Nasal bleeding, Epistaxis)
อาการและอาการแสดง
มีเลือดออกทางจมูก แบบช้า ๆหรืออาจไหลแรง ซึ่งทำให้เกิดภาวะช็อกได้
การรักษา
การปฐมพยาบาลโดยบีบจมูกก้มหน้า ประคบเย็น ห้ามสั่งน้ำมูก ห้ามรับประทานยา aspirin
เลือดออกจากผนังกั้นจมูกส่วนหลังเป็นตำแหน่งที่เลือดออกมากและหยุดยาก
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
-เสี่ยงต่อภาวะช็อก เนื่องจากมีการเสียเลือดออกจากร่างกาย
จัดท่านั่งศีรษะสูงก้มหน้าเล็กน้อย ป้องกันเลือดไหลลงคอและคลื่นไส้อาเจียน
ประเมินจำนวน สี ลักษณะของเลือดที่ออก และซักถามตำแหน่งที่ออก
ถ้าเลือดออกไม่มาก ให้ผู้ป่วยบีบจมูก 2 ข้างให้แน่นนาน 5- 8 นาที
ริดสีดวงจมูก (Nasal polyps)
เป็นภาวะที่มเีนื้องอกของเยื่อบุจมูกและโพรงอากาศข้างจมูกมักเกิดจากการอักเสบเรื้อรังของจมูก จากการเป็นโรคหวัด
อาการและอาการแสดง
คัน จาม คัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง เมื่ออาการมากขึ้นจะพบอาการคัดจมูก ไอ ระคายคอ
การรักษา
การกำจัดริดสีดวงจมูกออกโดย ใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์พ่นจมูก
การรักษาโรคที่เกิดร่วมและการป้องกันการเกิดซ้ำของริดสีดวงจมูก
มะเร็ง ศีรษะและลำคอ (Head and neck cancer)
ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งศีรษะและลำคอ มีดังนี้ พันธุกรรม การดื่มสุรา สูบบุหรี่ เชื้อไวรัส Human papilloma virus (HPV)
อาการและอาการแสดง (Nasopharynx cancer)
แน่นจมูก ปวด หรือ น้ำมูกไหลข้างเดยีว หูอื้อ ฟังไม่ชัด ก้อนที่คอโต
อาการและอาการแสดง (Laryngeal cancer)
เสียงแหบ (Hoarseness ) เพิ่มขึ้นเรื่อยๆและเป็นนานกว่า 2 สัปดาห์ก้อนในคอ หายใจลำบาก หายใจเสียงดัง (Dyspnea และstridor)
การประเมินภาวะสุขภาพผู้ป่วยมะเร็งศีรษะและลำคอ (Nasopharynx, Laryngeal cancer
การซักประวัติ
การตรวจร่างกาย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจพิเศษ การตรวจรังสีวินิจฉัย
การรักษามะเร็งโพรงจมูก
รังสีเป็นการรักษาหลักของมะเรง็หลังโพรงจมูกโดยใช้รังสีพลังงานสูงในการฆ่าเซลล์มะเร็ง
การรักษามะเร็งสายเสียง
การผ่าตัดในมะเร็งกล้องเสียงขึ้นกับรอยโรค ถ้าเป็นบริเวณ glottis, supraglottis, pyriform sinus
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
วิตกกังวลเนื่องจากพร่องความรู้เกี่ยวกับการผ่าตัดและผลของการผ่าตัด
อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติทราบถึงวัตถุประสงคการผ่าตัดสภาพหลังผ่าตัดโดยเฉพาะการหายใจทาง Stoma และการพูดทไม่มีเสียง
-อธิบายเกี่ยวกับการฝึกพูดและการใช้กล้องเสียงเทียม
วางแผนเกี่ยวกับการสื่อสารโดยวิธีอื่นท่ไีม่ใช่การพูด
-พร่องความรู้ในการดูแลผู้ป่วยที่ใส่ท่อ
แนะนำเทคนิคการทำแผล
แนะนำให้สังเกตอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive sleep apnea, OSA)
ปัจจัยเสี่ยง
1.อายุ พบความชุกของโรคมากขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น จนถึงช่วงอายุ 50-60 ปี
เพศ พบภาวะหยุดหายใจขณะหลับในเพศชายสูงกว่าเพศหญิงถึง 2-3 เท่า
ความอ้วน (obesity) ความอ้วนถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด
พยาธิสภาพ
โรคอ้วน มีผลต่อระบบหายใจเช่น ก่อนไขมันในลำคอและคอหอย เบียดพื้นที่ทางเดินหายใจ ทำให้พื้นที่หน้าตัดของทางเดินหายใจส่วนบน บริเวณ oropharynx แคบลง การมีไขมันปริมาณมากบริเวณรอบทรวงอก หน้าท้องและในช่องท้องทำให้ทรวงอกและปอดขยายตัวได้ยากขึ้น แรงดันในช่องท้องเพิ่มขึ้น
อาการ
นอนกรน มีอาการคล้ายหายใจไม่สะดวกขณะนอนหลับ
อ่อนเพลีย ง่วงนอนในเวลากลางวัน
การตรวจร่างกาย
ตรวจพบระบบทางเดินหายใจส่วนบนแคบ เส้นรอบคอและรอบเอวใหญ่
การรักษา
การรักษาด้วยเครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (CPAP)
การรักษาด้วยทันตอุปกรณ์(oral appliance)
การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดทางเดินหายใจ
กระบวนการพยาบาลผู้ป่วยที่มีโรคหรือความผิดปกติในทางเดินหายใจส่วนล่าง
โรคหลอดลมอักเสบ (Bronchitis)
การอักเสบของเยื่อบุผิวภายในหลอดลมทําให้ต่อมเมือก (mucous gland)
สาเหตุหลอดลมอกัเสบเฉียบพลัน
การติดเชื้อส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรยี Mycoplasma pneumonia
สารเคมี ควัน ไอเสียรถยนต์ ฝุ่นละออง มลพิษ
อาการ
ไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ไอบ่อย ระยะแรกจะไอแห้งๆ ต่อมาเสมหะมีปริมาณมากขึ้น
การประเมินภาวะสุขภาพ
การซักประวัติ
การตรวจร่างกาย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การรักษาในหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน
การพักผ่อนให้มาก
การดื่มน้ำอุ่นมากๆ (วันละ 10–15 แก้ว) เพื่อช่วยให้เสมหะออกได้ง่ายขึ้น งดสูบบุหรี่
การหลีกเลี่ยงสิ่งระคายเคืองหรือกระตุ้นให้ไอ
การพยาบาล
แบบแผนการหายใจไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจากหลอดลมหดเกร็งตัว
มีไข้จากการติดเชื้อในทางเดินหายใจ
กลไกทำให้ทางเดินหายใจให้โล่งไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจากการติดเชื้อและมีเสมหะมาก
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมนิการหายใจ ฟังปอด ทุก 4 ชั่วโมง
ดูแลการพักผ่อนและการได้รับอาหารและน้ำให้เพียงพอ ดื่มน้ำอุ่นมากๆ
ดูแลให้ทางเดินหายใจชุ่มชื้น
แนะนำ/ กระตุ่นให้ผู้ป่วยไอที่ถูกวิธี ขับเสมหะและบวนทิ้งทุก 2 ชั่วโมง
โรคปอดอักเสบ (Pneumonia, Pneumonitis)
สาเหตุ
การติดเชื้อ โดยเชื้อที่พบบ่อย (Typical)
การฉายรังสีในมะเร็งปอด มะเร็งเต้านม
การสำลักสิ่งแปลกปลอม
Hypoventilation ในผู้ป่วยติดเตียง
ชนิดของปอดอักเสบ
1) Community-acquired pneumonia (CAP) การเกิด CAP
2) Hospital-acquired pneumonia (HAP)
3) Ventilator -acquired pneumonia (VAP)
4) Healthcare-associated pneumonia (HCAP)
พยาธิสรีรวิทยา
ระยะบวมคั่ง (Stage of Congestion or Edema) เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ปอดจะแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว
ระยะเนื้อปอดแข็ง (Stage of Consolidation) ระยะแรกจะพบว่ามีเม็ดเลือดแดงและไฟบรินอยู่ในถุงลมเป็นส่วนใหญ่
ระยะปอดฟื้นตัว (Stage of Resolution) เมื่อร่างกายสามารถต้านทานโรคได้
อาการ
เชื้อแบคทีเรียมักไข้สูงทันทีทันใด หนาวสั่น (โดยเฉพาะในระยะที่เริ่มเป็น) อ่อนเพลีย หายใจหอบ
การประเมินภาวะสุขภาพ
การซักประวัติ
การตรวจร่างกาย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การรักษา
การรักษาทั่วไป
การทำทางเดินหายใจให้โล่ง โดยกระตุ้นการไอ การดูดเสมหะ
การให้ออกซิเจนทาง Nasal Cannula, Face Mask
การรกัษาจำเพาะด้วยยาต้านจุลชีพ
ปอดอักเสบจากไวรัส ไม่มียาที่จำเพาะ ยกเว้นไข้หวัดใหญ่ และ COVID-19
ปอดอักเสบจากแบคทีเรย
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
-การขับเสมหะไม่มีประสิทธิภาพ/ ทางเดินหายใจไม่โลง เนื่องจากมีเสมหะมาก/เหนียวข้น
ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง โดยจัดให้นอนศีรษะสูง 30 องศา เพื่อให้ปอดได้ยืดขยายไดเต็ม ที่เคาะปอด จัดท่าระบายเสมหะ ดูดเสมหะตามความจำเป็น
ฟังเสียงปอดเป็น ระยะๆ เมื่อมอีาการเหนื่อยหอบ
วัดสัญญาณชีพ โดยเฉพาะอุณหภูมิ ทุก 4 ชั่วโมง
ปอดอักเสบจากเชื้อโควิด มีแนวทางการรักษามีดังนี้
ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรือสบายด (ี Asymptomatic COVID-19)
o ให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอก โดยแยกกักตัวที่บ้าน (Out-patient with self Isolation)
ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุ่นแรง ไม่มีปอดอักเสบ ไม่มีปัจจยัเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง/โรคร่วมสำคัญและภาพถ่ายรังสีปอดปกติ
ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รนุ แรงแต่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรงหรือมีโรคร่วมสำคัญ หรือ ผู้ป่วยไม่มีปัจจัยเสี่ยงแต่มีปอดอักเสบ (pneumonia) เล็กน้อยถึงปานกลาง ยังไม่ต้องให้ oxygen
ผู้ป่วยยืนยันที่มีปอดอักเสบที่มีhypoxia (resting O2 saturation ≤94% ปอดอักเสบรุนแรง ไม่เกิน 10 วันหลังจากมีอาการ และได้รับ oxygen
วัณโรคปอด (Lung Tuberculosis, TB lung)
ปัจจัยเสี่ยงของวัณโรค คือ ผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค (อยู่บ้านเดียวกัน/เป็นผู้ดูแล) ผู้ที่มภูมิคุ้มกันต่ำจากเบาหวาน เอชไอวีผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
อาการ
ไอเรื้อรังเกิน 2 สัปดาห์ ไอแห้งๆหรือมีเสมหะสีเหลือง เขียวหรือไอปนเลือด (hemoptysis)
การประเมินภาวะสุขภาพ
การซักประวัติ
การตรวจร่างกาย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การรักษา
วัณโรคสามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยใช้ยา Isoniazid (INH), Rifampicin (R), Pyrazinamide (Z)
ปัญหาทางการพยาบาล
แบบแผนการหายใจไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจากมีการติดเชื้อ
ในระบบทางเดนิ หายใจ
วัดสัญญาณชีพ โดยเฉพาะอุณหภูมิ ทุก 4 ชั่วโมง
ประเมินภาวะพร่องออกซิเจน เช่น กระสับกระส่าย
ฟังเสียงปอดเป็น ระยะๆ สังเกตลักษณะ สีกลิ่นของเสมหะ
ฝีที่ปอด (Lung abscess)
เชื้อที่เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย คือ กลุ่ม (1) Aerobic และ Anaerobic Streptococci (2) Saureus และ (3) Gram-negative organisms
อาการและอาการแสดง
ไข้ ไอมีเสมหะมากและมีกลิ่นเหม็น อาจจะเจ็บหน้าอก น้ำหนักลด
ภาวะแทรกซ้อนของฝีในปอด ได้แก่ การลุกลามไปยังโพรงเยื่อหุ้มปอด
การประเมินภาวะสุขภาพ
การซักประวัติ
การตรวจร่างกาย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การรักษา
-การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ในกรณีที่สงสัยว่ามีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียหรือเช้ืออื่นๆ
การรักษาด้วยยาขยายหลอดลม ในรายที่ได้ยินเสียง Wheeze หรือ Rhonchi
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
การหายใจไม่เพียงพอเนื่องจากปอดขยายตัวได้ไม่เต็มที่
วัดสัญญาณชีพ โดยเฉพาะอุณหภูมิ ทุก 4 ชั่วโมง
-ประเมินระดับความรู้สึกตัว การหายใจ อาการหอบเหนื่อย สีผิว ปลาย
มือปลายเท้า ทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
หนองในเยื่อหุ้มปอด (Empyema, Empyema thoracis)
อาการแสดง
ไข้ หอบเหนื่อย เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย เจ็บหน้าอกเฉพาะเวลาหายใจเขาสุดหรือไอ
การประเมินภาวะสุขภาพ
การรักษา
การให้ยาปฏิชีวนะ ครอบคลุมเชื้อที่อาจเป็นสาเหตุของการเกิด empyema
การเจาะปอด (Thoracentesis) เพื่อระบายน้ำหรอืหนอง ตรวจหาเชื้อก่อนให้ยาปฏิชีวนะ
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
-แบบแผนการหายใจไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจากมีหนองในช่องเยื่อหุ้มปอด
-วัดสัญญาณชีพ โดยเฉพาะอุณหภูมิ ทุก 4 ชั่วโมง
-ประเมินภาวะพร่องออกซิเจนจากระดับความรู้สึกตัว
ปอดแฟบ (Atelectasis)
โรคที่มีการอดุ กั้นในปอด (Obstructive pulmonary diseases)
สาเหตุจากการสำลัก เสมหะอุดกั้น การมีลมหรือของเหลวในช่องอก การกดของเนื้องอก
การประเมินภาวะสุขภาพ
การซักประวัต
การตรวจร่างกาย
การตรวจพิเศษ
การรักษา
การดดู เสมหะ เคาะปอด จัดท่าให้ผู้ป่วยระบายเสมหะ
การใช้ยาขยายหลอดลม การผ่าตัด หรือการรักษาวิธีอื่น ๆ
การป้องกันในผู้ได้รับการผ่าตัด ฝึกไอ กระตุ้นการไอ การบรหิารปอด ฝึกหายใจเข้าลึก ๆ
การพยาบาล
มีโอกาสเกิดปอดแฟบเนื่องจากพร่องความรู้เกี่ยวกับการบริหารปอด
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic obstructive pulmonary disease: COPD)
ปัจจัยเสี่ยง
ได้แก่ การสัมผัสกับควันบุหรี่ การติดเชื้อ หรือการอาศัยในครอบครัวที่แออัดตั้งแต่วัยเด็ก การอาศัยอยู่ในชุมชนที่มีมลภาวะ (PM2.5/10 สูง)
พยาธิสภาพ
การสร้าง mucus มากกว่าปกติและการทำงานของ cilia ผิดปกติทำให้ไอเรื้อรังมีเสมหะ
การตีบของหลอดลมและการสูญเสีย elastic recoil ของเนื้อปอดทำให้เกิด airflow limitation และ air trapping
การตีบของหลอดลมและการทำลายของเนื้อปอดและหลอดเลือดมีผลให้แรงต้านการไหลของอากาศ (resistance airway) สูงขึ้น ทำให้หายใจลำบาก ต้องเพิ่มแรงในการหายใจ มีผลต่อการแลกเปลี่ยนกาซทำให้เกิด hypoxemia, hypercapnia ตามมาซึ่งอาจทำให้เกิด pulmonary hypertension และ cor pulmonale
การหลั่ง inflammatory mediator มีผลต่ออวัยวะอื่นๆทำให้เกิดโรคร่วม เช่น muscle wastingIHD, heart failure, type 2 DM, metabolic syndrome, osteoporosis, anemia, และ depression
อาการ
มีอาการเหนื่อยหอบเมื่อออกแรง ไอเร้อืรัง ไอมีเสมหะมากตอนเช้า หายใจลำบาก
ภาวะแทรกซ้อน
การติดเชื้อ ภาวะหายใจวาย การมีลมในช่องเยื่อหุ้มปอด ปอดมีถุงโป่ง (bullae)
การประเมินภาวะสุขภาพ
การซักประวัติ
การตรวจร่างกาย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
การรักษา
1.การให้คำแนะนำเลิกสูบบุหรี่
2.การให้วัคซีน influenza ปีละครั้ง โดย pneumococcal vaccine ชนิด PCV13, PPSV23
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
แบบแผนการหายใจไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างระบบหายใจ
จัดท่าศีรษะสูงเพื่อให้หายใจได้มีประสิทธิภาพ แลกเปลี่ยนก๊าซดีขึ้น
-ดูแลให้ยาขยายหลอดลม ยาสเตียรอยด์ ยาปฏชีวนะ ตามแผนการรกัษาของแพทย์และสังเกตอาการข้างเคียงของยา
-กระตุ้นให้ดื่มน้ำอุ่นมากๆอย่างน้อยวันละ 2 – 3 ลิตร/วัน
โรคหอบหืด (Asthma)
พยาธิสรีรวิทยา
สารก่อภูมิแพ้ก่อให้เกิดการอักเสบในหลอดลม สารก่อภูมิแพ้เหล่านี้จะกระตุ้นเซล eosinophils,basophils, mast cells และ T lymphocyte กระตุ้น การผลิตสารที่เกี่ยวของกับการอักเสบ cytokinemediator ต่างๆเช่น interleukin รวมทั้ง Immunoglobulin E ของหลอดลมกระตุ้นกล้ามเนื้อเรียบหลอดลมให้หนาตัวขึ้น หลอดลมไวต่อสิ่งกระตุ้น การสร้างเสมหะมากขึ้น
สาเหตุ
1) สารก่อภูมิแพ้ 2) มลพิษในอากาศ 3) การติดเชื้อของทางเดินหายใจ 4) การออกกาลังกายและ hyperventilation 5) อากาศที่เปลี่ยนแปลงซัลเฟอร์ไดออกไซด์ 3) อาหารและยา 8) การแสดงอารมณ์ที่รุนแรง 9) การสูบบุหรี่
อาการทางคลินิก
การติดเชื้อ ไวรัส หรือแบคทีเรีย สารก่อภูมิแพ้ สารก่อการระคายเคือง มลพิษทางอากาศเช่น ฝุ่น PM2.5 และควันบุหรี่ ยากลุ่ม NSAIDS
การประเมินภาวะสุขภาพ
การรักษา
การรกัษาด้วยยา มียา 2 กลุ่มหลัก
1.1 ยาควบคุมโรค (Controller medications )
1.2 ยาบรรเทาอาการ (Reliever) ได้แก่ ยากลุ่ม short acting β 2 agonist
การรกัษาที่ไม่ใช้ยา (non-pharmacological therapies)
ควรหยุดสูบบุหรี่
มีการออกกำลังกายสม่ำเสมอแบบแอโรบิค
ควรปรับสิ่งแวดล้อมในบ้านและที่ทำงาน
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
-แบบแผนการหายใจไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจากมีการตีบแคบของทางเดินหายใจ
ประเมินความรุนแรงของโรค ประกอบด้วย1) การหายใจ ลักษณะการหายใจลำบาก หายใจตื้น จังหวะไม่สม่ำเสมอ อัตราการหายใจเร็ว เสียง Breath sound decrease
2) ชีพจรและความดนัโลหิต ซึ่งบ่งบอกถึงความรุนแรง เช่น ชีพจรเบาเร็วมากและไม่สม่ำเสมอ ความดันโลหิตต่ำลงเรื่อยๆ
มะเร็งปอด (Pulmonary tumor, lung cancer)
โดยมะเร็งปอดแบ่งตามลักษณะเซลล์ที่ตรวจพบจากกล้องจุลทรรศน์แบ่ง 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1) Small cell lung cancer (SCLC)
2) Non-small cell lung cancer (NSCLC)
อาการทางคลินิก
ถ้าพบก้อนอยู่บริเวณถุงลมส่วนปลาย (Peripheral lesion)ตรวจพบมะเร็งได้โดยบังเอิญจากการเอ็กซเรย์ปอด ถ้าก้อนมะเร็งที่ถุงลมส่วนปลาย
ถ้าก้อนอยู่บริเวณหลอดลมใหญ่ (Bronchus) (Central lesion)หลอดลมถูกทำลาย ผู้ป่วยจะไอเสมหะมีเลือดปน หายใจลำบาก ฟังได้ยินเสียง Wheeze
การประเมินภาวะสุขภาพ
การรักษา
การผ่าตัดที่ใช้บ่อยคือ การตัดปอดทั้งข้างออก (Pneumonectory) การตัดปอดกลีบใดกลีบหนึ่งออก (Lobectomy) หรือการตัดบางสวนของกลีบปอดออก (Segmental resection)
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
ทางเดินหายใจไม่โล่งเนื่องจากการได้ยาระงบั ความรู้สึก/ปวดหลัง
ดูแลให้เปลี่ยนท่า ทุก 2 ชม.
กระตุ้นให้ไออย่างมีประสทิธิภาพ การหายใจเข้าออกลึกๆ และดูดเสมหะเมื่อจำเป็น)
กระตุ้นให้บริหารการหายใจโดยใช้ Incentive spirometer
กระบวนการพยาบาลผู้ป่วยที่มีโรคหรือความผิดปกติของการไหลเวียนเลือดในปอด
ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดปอด (Pulmonary embolism)
พยาธิสภาพ
ลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำเกิดจาก 3 ปัจจัย (Virchow’s triad) คือ เลือดคั่งในหลอดเลือดดำ การแข็งตัวของเลือดง่ายกว่าปกติและการบาดเจ็บของหลอดเลือด หากมีปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งหรือร่วมกันหลายปัจจัยจะส่งเสริมการเกิดลิ่มเลือดได้ ลิ่มเลือดอาจมาจากหลอดเลือดส่วนบนแต่ส่วนใหญ่มาจากหลอดเลือดดำที่ขา (Deep vein thrombosis หรือ DVT) หลุดเข้าสู่หลอดเลือด Inferior vena cava เข้าสู่ Right ventricle และหลอดเลือดแดงปอด (Pulmonary artery)
การประเมินภาวะสุขภาพ
การซักประวัติ
การตรวจร่างกาย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
การรักษา
การรักษาโรคเบื้องต้นและแก้ไขภาวะวิกฤติ กรณีช็อกหรือหัวใจวาย
การรักษาลิ่มเลือดเดิมและป้องกันการเกิดลิ่มเลือดใหม่
การป้องกัน
การควบคุมน้ำหนักตัว รับประทานอาหารไขมันต่ำ ลดความเสี่ยงการอุดตันของไขมัน/ ลิ่มเลือด
การเลิกสูบบุหรี่
การเดินทางเป็นเวลานานควรดื่มน้ำ ลุกเดินกระตุ้นการไหลเวียน
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
-เนื้อเยื่อร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ เนื่องจากมีการแลกเปลี่ยนก๊าซในถุงลมปอดลดลงจากพยาธิสภาพของ Acute Pulmonary Embolism
ติดตามและบันทึกอาการและอาการแสดงความผิดปกติของระบบ
ไหลเวียนเลือด ได้แก่ ความดันโลหิตลดลง ชีพจรเร็วขึ้น ความรู้สึกตัว
ลดลง ปลายมือปลายเท้าเขียว ปัสสาวะออกน้อย ค่า SpO2 < 90%
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ: ABG
ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนก๊าซและได้รบัออกซิเจนอย่างเพียงพอ
จัดท่า ศีรษะสูง เพื่อให้ปอดขยายตัวได้ดี
ให้ยาพ่นขยายหลอดลม ตามแผนการรักษา