Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (Hypertensive disorder of pregnancy) -…
ภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (Hypertensive disorder of pregnancy)
พยาธิสภาพ
เกิดจากความบกพร่องในพัฒนาการของรก ซี่งมีผลทำให้มีภาวะ hypoperfusion และขาดเลือด
รกที่ขาดเลือด (placental ischemia) จะหลั่งสารเคมีที่มีฤทธิ์กระตุ้นการหดรัดตัวของหลอดเลือด ทําให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น
กราไหลเวียนเลือดส่วนปลายที่ลดลงจะทําให้มีการขาดออกซิเจน และควมาเสียหายต่อเซลล์บุหลอดเลือดฝอย
ส่งผลให้มีความผิดปกติของการส่งผ่านสารน้ำภายในและภายนอกหลอดเลือด (impaired vascular permeability) น้ำจะรั่วออกนอกหลอดเลือดและคั่งอยู่ตามเนื้อเยื่อต่างๆ
ภาวะความดันโลหิตสูงในขณะตั้งครรภ์ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงต่างๆของร่างกาย สามารถก่อพยาธิสภาพต่อหญิงตั้งครรภ์ ดังนี้
ระบบไต (Renal system)
จากการที่ปริมาณการไหลเวียนที่ไตลดลง การทำลายของชั้นเยื่อบุหลอดเลือดในไต ทำให้อัตราการกรองของไตลดลง ส่งผลให้ปริมาณปัสสาวะลดลง และระดับ serum uric acid และ creatinine เพิ่มขึ้น เกิดการซึมผ่านของโปรตีน abumin และ globulin ออกทาง
ปัสสาวะ เซลล์ร่างกายที่เสียโปรตีนจะมีความดันภายในเซลล์ (oncotic pressure) ลดลง ทำให้เกิดการคั่งของน้ำในเนื้อเยื่อ และเกิดอาการบวมน้ำของอวัยวะต่าง ๆ
ระบบหัวใจและปอด (Cardiopulmonary system)
รุนแรงจะมี plasma albumin ลดลง และพบโปรตีนในปัสสาวะ (proteinuria) และการรั่วของ
capillaries ทำให้ colloid osmotic pressure ลดลง จึงมีความเสี่ยงต่อการเกิด
น้ำท่วมปอด และสารน้ำในระบบไหลเวียนโลหิตจะรั่วออกไปคั่งตามเนื้อเยื่อต่างๆ (generalized edema) ส่งผลให้ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจลดลง เลือดมีความ
หนืดมากขึ้น (hemoconcentration) มีค่า hematocrit สูงขึ้น
ระบบเลือดและการแข็งตัวของเลือด (Hematologic and coagulation systems)
เกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำเฉียบพลัน และมีปัจจัยการแข็งตัวของเลือดชนิดอื่นๆ ลดลงด้วย อาจเกิดจากกลไกทางระบบ ภูมิคุ้มกัน หรือเกล็ดเลือดไปจับตัวเกาะกลุ่มตามเยื่อบุหลอดเลือดที่ถูกทำลาย นอกจากนี้พยาธิสภาพในหลอดเลือด อาจทำให้มีการแตกและการทำลายเม็ดเลือดแดง เนื่องจากเม็ดเลือดแดงเคลื่อน
ผ่านหลอดเลือดที่มีการหดเกร็งและมีขนาดเล็กลง
ระบบตับ (Hepatic system)
จากการที่เลือดไปเล้ยงตับน้อยลง การทำหน้าที่ของตับเสียไปมีผลทำให้เซลล์ตับบวมหรือมีเลือดออกในแคปซูลตับ(Subcapsular hemorrhage) ในที่สุดทำให้เซลล์ตับตาย (Necrosis)บางรายพบ periportal
hemorrhagic necrosis หรือ subcapsular hepatic necrosis หรือ hematoma ดังนั้นบางรายจึงมีอาการปวดใต้ ชายโครงขว่า หรือจุกแน่นใต้ลิ้นปี คลื่นไส้อาเจี่ยน มี blood glucose ลดลง ในรายรุนแรงอาจพบมีตับแตก (hepatic
rupture) ได้
ระบบประสาท (Neurological system)
จากการที่เยื่อบุหลอดเลือดถูกทำลาย อาจทำให้เกิดการแตกของหลอดเลือดฝอย มีเลือดออกในสมอง เป็นจุดเลือดเล็ก ๆ หรือเป็นก้อนใหญ่ (petechial hemorrhage) และผลจากหลอดเลือดหดเกร็ง (vasospasm) ทำให้มีสมองบวม(cerebral edema) อาจพบ อาการปวดศีรษะ ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง มี hyperreflexia หรือมีอาการซักเกร็ง-ชักกระตุก (seizure)
รกและมดลูก (Placenta and uterus)
จากการถูกทำลายของ endothelial มีผลทำให้เส้นเลือดในแนวเฉียงของมดลูก (spiral arteries) มีการเปลี่ยนแปลง โดยพบว่าเส้นเลือดแคบลงและเหยียดออกจาก intervillous space ซึ่งเป็นส่วนที่รกสัมผัสกับกล้ามเนื้อ จึงมีผลทำให้มีเส้นเลือดไปเลี้ยงบริเวณรกน้อยกว่าปกติ การที่เส้นเลือดไปเลี้ยงรกน้อยกว่าปกติ ทำให้รกเสื่อม จึงมีผลต่อทารกทำให้ทารกได้รับเลือดจากแม่น้อยลง ทำให้ทารกในครรภ์โตช้าและมีขนาดเล็กกว่าปกติ (IUGR)
อาการและอาการแสดง
ภาวะ Preeclamsia
Mild preeclamsia
ความดันโลหิต >= 140/90 mmHg
มีอาการบวม น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น >1.5 kg/ 2 wks.
พบไข่ขาวในปัสสาวะ
Severe preeclamsia
BP >= 160/110 mmHg
บวมทั้งตัว น้ำคั่งในปอด
ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน
พบ Protien ในปัสสาวะ 3+ - 4+
มีอาการนำของอาการชัก ปวดศีรษะมาก ซึม
ปัสสาวะ < 500 ml/day
คลื่นไส้ อาเจียนพุ่ง
ปวดเจ็บบริเวณลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา
เด็กดิ้นน้อยลง
อาการขั้นรุนแรง
HELLP syndrome
Hemolysis (H) มีภาวะเม็ดเลือดแดงแตก
Elevated liver enzymes (EL) คือการทำงานของตับลดลง มีการเพิ่มของเอนไซม์ในตับ
Low platelet count (LP) เกร็ดเลือดต่ำ
ภาวะ Eclamsia เป็นภาวะที่สตรีตั้งครรภ์ที่มี Pereclampsia แล้วมีอาการชักเกร็งหมดสติ
ระยะก่อนชัก (Premonitoring stage)
จะมีอาการเกร็งกระตุกของกล้ามเนื้อใบหน้า กระสับกระส่าย นัยน์ตากรอกไปมา
ระยะเกร็ง (Tonic stage)
ลำตัวแข็งเกร็ง แขนงอ มือกำแน่น ขางอพับ หน้าเขียว
ระยะชัก (Clonic stage)
ชักกระตุกของกล้ามเนื้อทั้วร่างกายอย่างแรง ซึ่งอาการชักจะเริ่มที่หน้าก่อนต่อมาที่แขนและขาจนชักทั้งตัว
ระยะหมดสติ (Coma stage)
เกิดภายหลังการชักกระตุก นอนนิ่งไม่เคลื่อนไหว อยู่ในสภาพหมดแรง อาจมีอาการหยุดหายใจเป็นบางครั้ง ทำให้เกิดการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์จากการคั่งของ lactate acidosis อาจมีอาการเขียว (cyanosis) จากการขาดออกซิเจน
การประเมินและการวินิจฉัย
1.การซักประวัติ
ซักประวัติเพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น ความดันโลหิตสูง
ประวัติอาการและอาการแสดงของภาวะ Preeclamsia เช่น ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว
2.การตรวจร่างกาย
ประเมินอาการบวมกดบุ๋ม (pitting edema)
การประเมินระดับของความดันโลหิต
การประเมินระดับรีเฟลกซ์
3.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ได้แก่ CBC, Platelet count, liver function test, renal function test, coagulation profile
การตรวจพิเศษ เพื่อทำนายการเกิด Preeclamsia
Proteinuria ตั้งแต่ 300 mg/day หรือ spot urine/creatinine raito >= 30 mg/mmol
Renal insufficiency (creatinine >= 0.09 mmol/L หรือภาวะ oliguria)
Liver disease (มีระดับ transaminase เพิ่มสูงขึ้น หรือ มีอาการจุกที่ลิ้นปี่ หรือเจ็บใต้
ชายโครงด้านขวา)
Neurological problems เช่น มีอาการชัก (eclampsia), การตอบสนองต่อรีเฟลกซ์มากเกินไป (hyperreflexia)
Hematological disturbance ได้แก่ ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (thrombocytopenia), ภาวะลิ่มเลือดแพร่กระจายเต็มหลอดเลือด (disseminated
intravascular coagulation: DIC), การมีเม็ดเลือดแดงแตก (hemolysis)
Fetal growth restriction ทารกในครรภ์ขาดสารอาหารหรือมีการเจริญเติบโตช้า