Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
1G-5G - Coggle Diagram
1G-5G
2G
2G นั้นถูกนำมาใช้ช่วง พ.ศ. 2534 – 2543 โดยเปลี่ยนได้ส่งเสียงผ่านกระบวนการแอนะล็อกเป็นดิจิทัล โดยนำคลื่นเสียงมาเข้ารหัสดิจิทัล ก่อนที่จะแปลงสัญญาณดิจิทัลเป็นสัญญาณแอนะล็อกแล้วส่งผ่านคลื่นไมโครเวฟ
ยุค 2G นั้นมีการเชื่อมโยงติดต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จนก่อให้เกิดการกำหนดเส้นทางการเชื่อมกับสถานีฐาน (Base Station) ซึ่งก่อให้เกิดระบบ GSM (Global System for Mobilization) ทำให้พกโทรศัพท์เครื่องเดียวไปใช้งานได้ทุกที่ที่รองรับมาตรฐานดังกล่าว
-
-
-
-
-
-
6) ต้องการใช้สัญญาณดิจิทัลที่เข้มเพื่อช่วยการทำงานของโทรศัพท์มือถือ โดยถ้าไม่มีเครือข่ายครอบคลุมในพื้นที่เฉพาะสัญญาณดิจิทัลก็จะอ่อนแอ
เพื่อรองรับความต้องการใช้งานของผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น จึงได้มีการพัฒนาเทคโนโลยี 2G ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงได้มาเป็นเทคโนโลยี 2.5G ซึ่งใช้เทคโนโลยี GPRS (General Packet Radio Service) ซึ่งสามารถส่งข้อมูลแบบแพ็คเก็ตได้ ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของโทรศัพท์มือถือให้เหมาะสมกับการใช้งานอินเตอร์เน็ต
-
-
-
-
-
-
1G
1G นั้นถูกนำมาใช้ในช่วง พ.ศ. 2523 – 2533 ครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น เทคโนโลยี 1G ยังคงใช้งานสัญญาณวิทยุ (radio signal) ในการรับส่งคลื่นเสียงเท่านั้น
ในยุค 1G หากกล่าวถึงมาตรฐานการสื่อสารไร้สาย จะมีมาตรฐานอยู่หลายแบบ แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ เช่น AMPS (ของสหรัฐอเมริกา) TACS (ของสหราชอาณาจักร) หรือ NMT (กลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย)
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
4G
4G เริ่มนำมาใช้ช่วง พ.ศ. 2553 ถึงปัจจุบัน โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า LTE (Long Term Evolution) ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมา เพื่อตอบสนองความต้องการ QoS (Quality of Service) และการใช้งานที่ต้องการแบนด์วิดท์และความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูง เช่น การส่งข้อความมัลติมีเดีย (MMS) การคุยผ่านวิดีโอ ทีวีบนมือถือ HDTV และการออกอากาศวิดีโอดิจิทัล (Digital Video Broadcasting : DVB)
-
-
-
-
-
-
6) สามารถให้บริการต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลายตามความต้องการของผู้ใช้ เนื่องจากสามารถรองรับการใช้งานได้มากขึ้น
5G
4G เริ่มมีการพัฒนามาตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2553 โดยสิ่งที่อาจจะเห็นได้จากเทคโนโลยี 5G ในอนาคต เช่น คุณภาพการเชื่อมต่อและความครอบคลุมที่ดีขึ้น จุดเด่นของ 5G ก็คือ World-Wireless World Wide Web (WWWW) ซึ่งถือว่าเป็นการสื่อสารไร้สายที่สมบูรณ์แบบที่สุด
-
-
-
-
-
5) รองรับการทำงานกับ WWWW หนังสือพิมพ์มัลติมีเดีย ชมรายการทีวีด้วยความคมชัด มัลติมีเดียแบบโต้ตอบ เสียง สตรีมมิงวิดีโอ อินเทอร์เน็ต VR AR และอื่น
3G
3G นั้นถูกนำมาใช้ช่วง พ.ศ. 2543 – 2553 โดยยังอยู่บนพื้นฐานของระบบ GSM ใน 2G แต่เพิ่มความเร็วได้ถึง 14 Mbps หรือมากกว่าโดยใช้เทคนิคแพ็กเก็ตสวิตซ์ชิง นอกจากนี้สิ่งที่เทคโนโลยี 3G ต่างกับ 2G ก็คือ คุณสมบัติการเชื่อมต่อตลอดเวลา (always on) กล่าวคือโทรศัพท์มือถือ 3G จะเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของ 3G ตลอดเวลาที่เปิดใช้งานโทรศัพท์ โดยไม่จำเป็นต้องล็อกอิน (log in) เข้าเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเหมือน 2G โดยค่าบริการอินเทอร์เน็ตจะถูกเรียกเก็บ ก็ต่อเมื่อมีการเรียกใช้ข้อมูลผ่านเครือข่ายเท่านั้น ซึ่งแตกต่างกับระบบ 2G ที่จะเสียค่าบริการตั้งแต่ล็อกอินเข้าในระบบเครือข่าย
เทคโนโลยี 3G ใช้เครือข่ายไร้สายแถบกว้าง (wideband) ซึ่งเพิ่มความเร็วในการรับส่งข้อมูล เพื่อรองรับการให้บริการโทรทัศน์และวิดีโอ รวมทั้งบริการ Global Roaming ในทางปฏิบัติเทคโนโลยี 3G ทำงานในช่วง 2100 MHz และมีแบนด์วิดท์ 15 – 20 MHz ที่ใช้สำหรับบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และการคุยผ่านวิดีโอ
-
-
-
-
5) อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง / การรักษาความปลอดภัยที่ดีขึ้น / การประชุมทางวิดีโอ / เกม 3D / สตรีมทีวี / โทรทัศน์บนมือถือ (mobile TV) / โทรศัพท์
-
-
UMTS (Universal Mobile Telecommunication System) ใช้ในยุโรป เป็นเทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลในมาตรฐาน 3G ที่ส่งผ่านสัญญาณเครือข่ายแบบ WCDMA มีความเร็วสูงสุดอยู่เพียง 384 kbps
WCDMA (Wideband Code Division Multiple Access) เป็นระบบเครือข่าย 3G มาตรฐานใหม่ที่ใช้วิธีการเข้าถึงแบบ DS-CDMA (direct-sequence code division multiple access) และใช้วิธีการ รวมแบบแบ่งความถี่ (frequency-division duplexing : FDD) เพื่อรองรับบริการที่ต้องการความเร็วสูงและความจุสูง
HSDPA (High-Speed Downlink Packet Access) คือเทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลที่พัฒนามาจากระบบ UMTS โดยสามารถรับส่งข้อมูลได้ความเร็วสูงถึง 14.4 Mbps (downlink) ซึ่งขึ้นอยู่กับโทรศัพท์มือถือและผู้ให้บริการเครือข่าย 3G
HSUPA (High-Speed Uplink Packet Access) คือเทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลที่พัฒนามาจาก UMTS เช่นกัน ซึ่งตอนนี้ความเร็วสูงสุดในในการส่งข้อมูลคือ 5.76 Mbps (Uplink) (Internet ตามบ้านส่วนใหญ่ความเร็วในการส่งข้อมูลจะอยู่ที่ 512 kbps) ไม่ว่าการรับข้อมูลจะเร็วแค่ไหนก็ตาม
HSPA (High-Speed Packet Access) คือการรวม HSDPA และ HSUPA เข้าด้วยกันเรียกรวม ๆ กันว่าเป็น HSPA ทำให้ได้ประสิทธิภาพทั้งรับ-ส่งที่ดีกว่า
-
-
-